“วงเราอาจเป็นโมเดลของคนที่ไม่กลัวการเริ่มต้น” วันใหม่ที่ยืนบนคำว่ามืออาชีพของ HENS

ความรู้สึกเสียดายที่ติดหนึบอยู่ในชีวิตช่วงนี้ ถ้าไม่นับเรื่องสำคัญอย่างงาน เงิน และความรัก หนึ่งในเรื่องที่ทำเรารู้สึกมากที่สุด คือการที่วงดนตรีที่เติบโตมาพร้อมกับเราเอ่ยคำบอกลากับแฟนๆ ที่เคียงบ่าเคียงไหล่ เป็นกำลังใจให้กันมากว่า 10 ปี

ทว่าการกลับมาของอดีตสมาชิกวง 25hours อย่าง ปู๋–ปิยวัฒน์ มีเครือ (กีตาร์), โฟร์–ประทีป สิริอิสสระนันท์ (กีตาร์), บัง–เอกศิริ กำบังภัย (เบส) และ จ๊อบ–กฤตพงศ์ สกุลนามอเนก (กลอง) ในฐานะวง HENS ย้ำเตือนเราว่า ไม่ว่าจะด้วยการจากลาหรือความรู้สึกเสียดายใดๆ ตราบใดที่เราไม่ยึดถือหรือกอดมันไว้แนบตัวมากเกินไป มันย่อมมีความสวยงามของสิ่งที่เรียกว่า ‘การได้เริ่มต้นใหม่’ อยู่เสมอ

แพนด้า, กลั้นไว้, ข้างเดียว และ It’s gotta be you คือ 4 ซิงเกิลที่วง HENS ทยอยปล่อยออกมาให้แฟนๆ รุ่นเก่าและรุ่นใหม่ได้ฟังกันแบบฉ่ำใจตลอดเดือนพฤษภาคมนี้ สำหรับเราแล้ว การได้ยินเพลงของพวกเขาไม่ได้ทำให้รู้สึกชุ่มฉ่ำอย่างเดียวเท่านั้น แต่มันคือสิ่งที่พิสูจน์ให้เราเห็นว่า ไม่มีอุปสรรคใดเลยที่ทำให้พวกเขายอมปล่อยตัวตนและอาชีพศิลปินหลุดหายไปจากอ้อมกอดของตัวเอง

เอาเป็นว่าตอนนี้ ถึงเวลาที่เรา (และ HENS) ต้องสละทิ้งความเสียดายก้อนนั้นไว้ข้างหลังแล้วล่ะ

HENS

ความตั้งใจของการเดินหน้านับหนึ่งใหม่ครั้งนี้คืออะไร

โฟร์ : เพราะตอนนี้เราไม่ได้มีแค่ตัวเองแล้ว เราแบกทีมงานไว้ด้วย และทุกคนก็มีภาระกันหมด ซึ่งหน้าที่ของพวกเราคือการเลี้ยงดูคน เลี้ยงดูตัวเอง 

คือถ้าวงมันค่อยๆ หายไป แบบที่ทุกคนเตรียมล่วงหน้า อันนี้เข้าใจได้ แต่วงเรามันหายไปแบบกะทันหันมาก อยู่ๆ ทุกคนก็ไม่มีรายได้เลย ซึ่งกับวงใหม่ เราบอกกับทุกคนตลอดแหละว่าต้องใช้เวลานะ แต่สิ่งสำคัญคือพวกเราต้องแข็งแรงกันก่อน แต่ละคนต้องหาทางทำให้ตัวเองอดทนให้ได้ ในเวลาที่มันยังไม่ดัง สิ่งที่ดีที่สุดคือการตั้งใจทำวงกันไป รอวันที่มันจะออกดอกออกผล

ไม่เคยรู้สึกว่าอยากจะยอมแพ้อะไรแบบนั้นเลยใช่ไหม

โฟร์ : เรารู้สึกว่าคำว่า ‘แพ้’ ที่คุณบอกมันคืออะไรวะ เราว่าจริงๆ การพ่ายแพ้ในวงการดนตรี มันเป็นเรื่องนามธรรมมากนะ เราแค่ต้องทำแค่นั้นเอง ถ้ามันแพ้ก็คงแพ้ตัวเอง แพ้ปีศาจอะไรไม่รู้แหละมั้ง

เราสรุปได้ไหมว่า น้ำหนักส่วนใหญ่ของคำตอบคือการทำเพื่อคนรอบตัว

โฟร์ : ก็หล่อๆ แบบนั้นได้ (หัวเราะ) แต่เราปฏิเสธไม่ได้ว่าเราก็ต้องการมันเหมือนกัน ดังนั้นการทำวง HENS เลยเป็นการทำวงในอีกรูปแบบหนึ่ง คือตอนทำ 25hours เราไม่มีอะไรที่ต้องดูแล เรามีแค่ตัวเราคนเดียว เวลาทำเพลงก็เหมือนไปแฮงเอาต์กับเพื่อน แต่เดี๋ยวนี้ไม่ใช่แล้ว เราต้องดูแลครอบครัว มีของที่ต้องผ่อน ไหนจะพ่อแม่อีก

จ๊อบ : ส่วนตัวเลยนะ ผมอยากทำงานในรูปแบบนี้ต่อแค่นั้นเอง แล้วพี่ๆ อีก 3 คนก็ยังรู้สึกแบบเดียวกัน ทุกคนอยากจะทำอะไรสนุกๆ ในมุมของตัวเอง ณ โมเมนต์นั้นสิ่งที่เราคิดกันจริงๆ คือเราจะเดินกันไปยังไงมากกว่า

HENS

เรื่องเงินสำคัญต่อการอยู่รอดมากๆ แต่สถานการณ์ตอนนี้คงต้องตัดเรื่องนี้ออกไปเลย วินาทีนี้สิ่งที่พวกคุณต้องการจากการเล่นดนตรีคืออะไร

โฟร์ : คงเป็นเรื่องตอบสนองจิตวิญญาณมั้ง ย้อนกลับไปตอนต้นที่เราบอกว่าทุกคนต้องแข็งแรงนะ คือเราต้องไม่มองว่าอาชีพศิลปินเป็นสิ่งที่ปลอดภัย ตอนนี้เราอาจมาถึงจุดที่เราเล่นดนตรีเพื่อให้มีชีวิตอยู่ สมมติวันนี้เราซื้อบิตคอยน์ เล่นหุ้น รวยจนไม่เล่นดนตรีอีกเลย ในมุมเรามันมีความเฉาอยู่ คือจิตวิญญาณเรามันหาย การที่เรายังทำสิ่งนี้อยู่มันเหมือนการย้ำตัวเองว่ามึงยังมีจิตวิญญาณอันนี้อยู่นะเว้ย 

จุดเปลี่ยนผ่านที่เกิดขึ้นทำให้พวกคุณมองโลกเปลี่ยนไปมากแค่ไหน

จ๊อบ : เรื่องการมองโลก เราว่าเราเปลี่ยนตลอด ตอนทำ 25hours ก็มีหลายช่วงที่มุมมองเปลี่ยน ถ้าจะเฉพาะเจาะจงช่วงที่ยุบวงก็รู้สึกอย่างหนึ่งว่า พวกเราต้องมีแผนสำรองมากกว่านี้ เพราะตอนนั้นเราเล่นดนตรีแบบที่ไม่โฟกัสเรื่องอื่น ผมเองก็รู้สึกว่ามันคืออาชีพหลักที่ผมจะทำทุกอย่างเพื่อมัน และผมมีความสุขทุกครั้งที่ได้อยู่ตรงนี้ แต่พอมันจบกะทันหันเลยกลายเป็นว่ามันไม่มีเสาให้เกาะเลย ดังนั้นสิ่งที่ผมเรียนรู้คือบางทีในช่วงที่เราเติบโตขึ้น เราอาจจะต้องมีแผนสำรองในชีวิตด้วย เพราะเราไม่รู้เลยว่าการดำเนินชีวิตในรูปแบบที่คุ้นเคยมันอาจจะจบในวันพรุ่งนี้หรือเปล่า

พอเคยเป็นศิลปินที่อยู่ในจุดที่สูงมากๆ การที่ตกลงมามันเจ็บหนักกว่าคนอื่นไหม

โฟร์ : ไม่รู้สึกว่าเจ็บนะ อาจเป็นเพราะว่าพวกเรา 4 คนไม่ได้เป็นคนที่ยึดติด ไม่มีอัตตา เราเลยเฉยๆ กับการเริ่มนับหนึ่ง เราบอกกับเพื่อนได้เลยว่าตอนนี้เรารับค่าจ้างน้อยกว่าครึ่งหนึ่งจากที่เคยได้ เพราะเรารู้ว่าเรายังใหม่ แต่ถ้าถามว่าเสียดายอะไร เราเสียดายเงินอย่างเดียว บอกตรงๆ เลยว่าทุกคนตายกันหมด

บัง : สำหรับผม ผมเสียดายความทรงจำทุกอย่างที่เกิดขึ้น ทั้งดีและร้ายนะ แต่มันก็ทำให้ผมได้รู้ว่าสิ่งที่สำคัญกว่าศิลปินคือคำว่ามืออาชีพ

ทำงานด้วยกันมาเกิน 10 ปีแล้ว อะไรคือสิ่งสำคัญของการเป็นทีมเวิร์กที่ดี

บัง : สำหรับผมคือความเข้าใจ เอาใจเขามาใส่ใจเรา พอเข้าใจกันมันก็จะเกิดความสมดุล รู้สึกว่าอยู่ด้วยกันแล้วสบายใจ

โฟร์ : เป็นไปไม่ได้เลยที่วงวงหนึ่งจะเพอร์เฟกต์ ไม่มีการทะเลาะกัน การไม่เข้าใจกันมันเป็นเรื่องปกติมากๆ แต่สิ่งสำคัญคือเราพยายามที่จะเข้าใจกันหรือเปล่า ยอมรับคนอื่นบ้างหรือเปล่า บางทีเราทะเลาะกันแต่พอกลับมาทบทวนตัวเองและรู้ว่า เออ เรื่องนี้กูผิดจริงว่ะ แต่กูไปว่าเขา ถ้าเราเก็ตเรื่องนี้ เราจะอยู่ด้วยกันได้

จ๊อบ : สำหรับผมคือการเปิดใจ เราต้องรับฟังไอเดียกันและกัน สมมติคุณทำงานกับใครสักคนหนึ่ง เรามีไอเดียเยอะมากเลย พอเสนอไป ไม่เอา ไม่ให้ทำ ตัวเราเองจะรู้สึกดาวน์ จากที่เคยไฟแรงๆ ไฟเราก็จะเริ่มมอดลงๆ แน่นอนว่ามันจะทำให้การนำเสนอไอเดียจากเราน้อยลงด้วย เพราะรู้ว่าไม่มีประโยชน์ที่จะพูดออกไป แต่ถ้าเราทำงานกับคนที่เปิดใจจริงๆ โอเค วันนี้ไอเดียอาจจะไม่ได้ดีในภาพรวม แต่สุดท้ายถ้าบางไอเดียของเรามันถูกหยิบไปใช้บ้าง ลึกๆ เราจะรู้สึกดีใจในฐานะคนใน มันสนุกกว่าการที่เราโดนปัดตลอด

อีกเรื่องที่สำคัญคือ ถ้าเราทำงานร่วมกับใครหรือองค์กรอะไรก็ตาม เราต้องเอาภาพรวมเป็นหลัก องค์กรต้องได้รับประโยชน์มากที่สุด ไม่ใช่ว่าดีกับใครคนใดคนหนึ่ง ถ้าเกิดทุกคนคิดแบบนั้นเราจะทำทุกอย่างไปด้วยกัน และมันจะทำให้เราเดินไปข้างหน้าด้วยกันได้

คนชอบพูดกันว่า การกลับมายืนจุดเดิมมันยากมาก พวกคุณกังวลอะไรแบบนั้นไหม

โฟร์ : ไม่กังวลเลย ทุกวันนี้โลกมันทำให้เราสบายใจกับการปล่อยเพลงมากนะ สื่อใหญ่มันพังทลายไปแล้ว กลายเป็นว่าไม่ว่าใครก็สามารถเป็นซูเปอร์สตาร์ได้จากคอมฯ ที่บ้าน ดังนั้นเราเชื่อเสมอว่าถ้ามีแรงสร้างงานด้วยตัวเองได้ แม่ง สิ่งนี้คือสิ่งที่ดีที่สุดแล้วเว้ย พี่บอล (ต่อพงศ์ จันทบุบผา) เคยเอาคำของพี่เมื่อย (ธวัชพนธ์ วงศ์บุญศิริ) มาบอกกับเราว่า ‘ไม่ต้องห่วงหรอก ถ้าเรามีแรงเราก็แต่งเพลงใหม่ได้’ เรารู้สึกว่าโคตรจริงเลย คือถ้ามันไม่ดังเราก็แต่งเพลงมาอีกดิ จะกลัวอะไรวะ

บัง : การกลับไปสู่จุดเดิมมันไม่ได้สำคัญกับเราแล้วนะเวลานี้ เพราะสิ่งที่สำคัญกว่าคือการทำผลงานเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ถ้ามีคนมาชอบงานเรามากขึ้นเรื่อยๆ สิ่งนี้ก็คือกำไร แล้วสุดท้ายเงินทองก็จะกลับมาเอง

เนื้อหาในอัลบั้มสุดท้ายของ 25hours ค่อนข้างเป็นมุมมองของคนที่โตมากๆ พูดเรื่องปรัชญาและชีวิต กับเพลงของ HENS เมสเซจมันต่างออกไปไหม

ปู๋ : เราถือว่า HENS เป็นวงเกิดใหม่ วิธีคิดมันต่างจากเดิม HENS เป็นวงที่อยากพูดเรื่องพื้นๆ ความรัก ความอกหัก อาจจะมีความฝันบ้าง คล้ายๆ กับอัลบั้มแรกของ 25hours เราไม่คิดว่าเพลงเราจะต้องพูดเรื่องที่โตตามอายุของคนทำ หรือต้องพูดเรื่องปรัชญา ยังก่อนดีกว่า

โฟร์ : พอถึงจุดหนึ่งเราจะมองว่าเพลงมันคือเครื่องตอบสนองความสุขของมนุษย์ เรารู้สึกว่าหลายคนใช้เพลงในทางอย่างนั้น ซึ่งย้อนกลับไปมองเพลงที่พูดเรื่องชีวิตที่เราเคยแต่ง จริงๆ ตอนนั้นเราอาจจะยังไม่ตกตะกอนก็ได้ มาถึงตอนนี้เราถึงรู้สึกว่าเพลงมันควรเป็นสิ่งที่ทำให้คนมีความสุขมากกว่า

อย่างในวันที่คนในประเทศสิ้นหวังกันขนาดนี้ พวกคุณคิดว่าดนตรีจะช่วยคนได้ยังไงบ้าง

จ๊อบ : อย่างน้อยก็ช่วยปลอบประโลมใจได้ในชั่วขณะหนึ่ง อาจจะไม่ต้องถึงขั้นช่วยทำให้ชีวิตมันดีขึ้น แต่ ณ เวลานั้นมันทำให้คนฟังมีความสุข ลืมความเครียดได้ แค่นี้ก็ถือว่ามันทำประโยชน์เล็กๆ ของมันแล้ว

แล้วเรื่องดนตรีล่ะ พวกคุณคิดว่าจำเป็นไหมที่จะต้องทำให้มันต่างจากวงเดิม

โฟร์ : เอาจริงๆ เราไม่คิดเลยด้วยซ้ำว่าจะทำให้มันต่างหรือไม่ต่าง เพราะมันคือคนละวง และช่วงทำ 25hours พักหลังๆ เราห่างจากการทำเพลงของวงมาประมาณหนึ่ง อย่างเราก็ไปโปรดิวซ์เพลงอยู่ที่นาดาว มิวสิก ปู๋ก็มีงานโปรดิวซ์เต็มไปหมด ทุกคนต่างมีแบ็กกราวนด์ดนตรีที่ต่างกันมาก อาจจะเป็นลายมือมั้งที่เหมือนกัน

แต่จุดหนึ่งที่ทำให้คนรู้สึกว่าดนตรียังเหมือน 25hours คงเป็นเรื่องของ hint ด้วยแหละ เพราะคนรู้ว่าเราเคยเป็น 25hours เลยทำให้เขานึกถึงได้ ถ้าไม่บอกว่าเราเป็น 25hours แต่แรกก็อาจจะไม่รู้สึกคุ้น ซึ่งสุดท้ายแล้วเราคงปล่อยไป เพราะมันเป็นแบบนี้ไปแล้ว แต่วิธีคิดของเราคือไม่อยากให้มาเกี่ยวกันเลย แค่มีแรปก็ไม่เกี่ยวกันแล้ว และคุณเชื่อไหมว่าตลอด 10 ปีที่ผ่าน 50 เพลงของ 25hours ไม่มีเพลงไหนที่ปู๋แต่งทำนองเลย แต่ HENS เนี่ยปู๋ล้วน ทั้งเนื้อและทำนอง แค่นี้เราว่าก็แปลกใหม่มากแล้วนะ

ปู๋รู้สึกยังไงที่ได้ลงมือทำในสิ่งที่ตัวเองไม่เคยลองมาตลอด 10 ปี

ปู๋ : มันเหมือนคนจะจมน้ำแล้วพยายามจะว่ายน้ำให้เป็น จนจับทางถูกแล้ว เอ้า ว่ายน้ำได้แล้ว (หัวเราะ)

โฟร์ : เราว่ามันกลับไปเรื่องที่จ๊อบพูด มันคือการเสนอความเห็นแหละ ตอนนั้นปู๋มีความกลัวว่าถ้าแต่งออกมาแล้วจะโดนยิงร่วง พอมีความไม่มั่นใจอยู่ก็เลยพานไปว่างั้นกูไม่แต่งเลยละกัน แต่ HENS มันค่อนข้างอิสระ อะไรก็ได้มากๆ พอคนมันสบายใจก็เลยแต่งได้มั้ง และก็น่าจะอยากได้ตังค์ด้วย (หัวเราะ)

เล่าเบื้องหลังเพลงเศร้าอย่าง ข้างเดียว ที่เพิ่งปล่อยล่าสุดให้ฟังหน่อยได้ไหม

ปู๋ : ขอเล่าวิธีการแล้วกันเนอะ เราขึ้นเพลงนี้ด้วยกันที่บ้านโฟร์ เริ่มจากทำนอง ดนตรีคร่าวๆ พอทำนองเสร็จ เราก็เอาไปแต่งเนื้อต่อ ส่วนคอนเซปต์เพลงก็เป็นคอนเซปต์แอบรักข้างเดียวปกติเนี่ยแหละ ซึ่งเป็นคอนเซปต์ที่เราอยากใช้มาตั้งนานแล้วแต่ไม่เคยได้ใช้เลย 

โฟร์ : ตัวละครสองคนในเพลงนี้คือแม่เหล็กขั้วเดียวกัน คือมันไม่มีทางดูดกันติดได้เลย มันคืออย่างนั้นแหละ ทุกคนจะมีแม่เหล็กของตัวเอง เราต้องหาแม่เหล็กคนละขั้วแล้วมาดูดติดกันเว้ย เราชอบนะ เป็นของเธอแค่ข้างเดียว คำนี้แม่งโดน เราเป็นของเขานะ แต่เขาไม่ใช่ของเรา มันเจ็บตรงนั้นแหละ เพลงเจ็บๆ แบบมู้ดโรแมนติก ไอ้คนคนนี้มันไม่ร้องไห้หรอก แต่เจ็บแบบนั่งกินไวน์

ปู๋ : จริงๆ วิธีคิดเพลงของ HENS มันคล้ายกับ 25hours ตอนแรกๆ ที่ทำเพลงแบบปล่อยสมอง อัลบั้มแรกเราไม่ได้คิดอะไรเลย ไม่ได้วางแผนแบบต้องทำอัลบั้มอย่างนี้นะ ไม่มีเลย คือกลับไปให้หัวมันโล่ง นึกอะไรก็แต่ง ไม่ต้องครอบคอนเซปต์อะไรมาก แต่เน้นเพลงที่ง่ายต่อการฟัง เป็นเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ที่อยู่กับเด็กได้ ซึ่ง HENS ในปีแรกก็จะโตตามแฟนคลับไปเรื่อยๆ ถ้าสมมติเราทำเพลงเจาะแฟนเพลงกลุ่มนี้ได้ เราก็โตไปกับเขา

การย้อนกลับไปใช้วิธีคิดที่เคยใช้สมัยเป็นวัยรุ่น สำหรับพวกคุณมันยากไหม

ปู๋ : ไม่ยากนะ ซึ่งแปลกเหมือนกันที่เดี๋ยวนี้เด็กๆ รุ่นใหม่พยายามที่จะใช้วิธีคิดกับเพลงตั้งแต่วันแรกๆ ที่เริ่มทำมัน สิ่งที่เราจะบอกกับเขาคือคุณยังไม่ต้องรีบแก่ มันมีเวลาให้คุณแก่อีกตั้งเยอะแยะ คุณเป็นเด็กไปก่อนแล้วค่อยๆ โตก็ได้ แล้วเพลงของคุณมันจะทำให้คุณเห็นการเดินทาง 

HENS

ในฐานะนักดนตรี จากวงที่เคยเป็นแรงบันดาลใจให้คนอื่นๆ มาก่อน สิ่งที่พวกคุณอยากทิ้งไว้ในฐานะ HENS คืออะไร

โฟร์ : ตอนนี้เราใช้วิธีคิดแบบวัยรุ่น คิดเหมือนตอนแรกที่เล่นดนตรีว่าเราไม่ได้อยากจะทิ้งอะไรไว้ เราแค่อยากจะโชว์ผลงาน แต่ว่าในการโชว์ออฟ พวกเราตั้งใจทำงานร้อยเปอร์เซ็นต์ ซึ่งสิ่งนี้เราว่ามันแล้วแต่คนเลยว่าเขาจะมองเห็นมันไหม

ปู๋ : การที่วงแตกแล้วไปตั้งวงใหม่ก็เหมือนการทิ้งอะไรให้คนอื่นเหมือนกัน โอ้ย พวกมึงเอาอย่างนี้เลยเหรอวะ (หัวเราะ)

โฟร์ : คือพวกเรานึกหน้าคนมาร้องนำไม่ออก ไหนๆ จะทำวงใหม่แล้ว ทำไมเราต้องมานั่งหานักร้อง พวกเราทำวงในรูปแบบนี้ก็ได้หนิ เจ๋งดีออก ซึ่งถ้าวงเราประสบความสำเร็จขึ้นมาก็อาจจะเป็นเรื่องใหญ่ของวงการเลย ซึ่งจริงๆ ก่อนหน้านี้ก็มีโมเดลของวงรุ่นพี่ที่นักร้องนำออก หาคนใหม่เข้ามาแล้วอยู่ต่อได้

ซึ่งวงเราอาจจะเป็นอีกหนึ่งโมเดลสำหรับคนที่ไม่กลัวการเริ่มต้นใหม่ คงจะดีถ้ามันเป็นไปได้นะ

AUTHOR