“สีสันของมนุษย์คือความไม่เสถียร“ โอม Cocktail ในวันแรกที่อายุ 35 ปี

Highlights

  • โอม–ปัณฑพล ประสารราชกิจ หรือ ‘โอม Cocktail’ มีอายุครบ 35 ปีพอดีในวันที่บทความนี้ปล่อยลงในโลกออนไลน์
  • กับปีที่ผ่านมา โอมเล่าให้เราฟังการงานของเขาถือว่าตามเป้า แม้เจอวิกฤติ COVID-19 แต่ทั้งงานศิลปินและค่ายเพลงที่เขาบริหารอยู่ไม่ได้รับผลกระทบมากเท่าไหร่ สาเหตุทั้งหมดมาจากการจัดการที่ดีและเพื่อนร่วมงานทุกคนที่ช่วยให้เขาผ่านมาได้อย่างปลอดภัย
  • โอมลงความเห็นว่าสิ่งที่สำคัญสำหรับเขาในวัยนี้คือการอยู่กับปัจจุบันขณะและมีความสุข ส่วนอดีตที่ผ่านไปแล้วเขามองว่าตัวเองได้เรียนรู้จากมันอย่างเต็มที่ ก่อนก้าวต่อไปโดยมีสติและปัญญาเป็นแกนกลางในการดำเนินชีวิต

โอม–ปัณฑพล ประสารราชกิจ หรือ โอม Cocktail มีบทบาทอะไรในชีวิตบ้าง

คุณพ่อลูกสอง นักร้องนำวงดนตรีแถวหน้า ทนายความ หุ้นส่วนบริษัทกฎหมาย หุ้นส่วนร้านกาแฟและร้านล้างฟิล์ม

อะไรอีกดีล่ะ

อ๋อ เพิ่มไปอีกอย่างในปีที่ผ่านมา 

ผู้บริหาร Gene Lab ค่ายเพลงน้องใหม่ที่น่าจับตาในเครือแกรมมี่

ถ้าไม่รู้มาก่อน ผมคงประหลาดใจว่าทำไมคนคนเดียวถึงเป็นและทำได้ขนาดนี้ แต่เนื่องจากเคยได้ฟังและสัมผัสตัวตนผ่านหน้าสื่อมาก่อนหน้า ก้าวใหม่ที่เกิดขึ้นในปีนี้จึงไม่ทำให้ผมแปลกใจในตัวชายคนนี้เท่าไหร่

และเขานั่งอยู่ตรงหน้าผมแล้ว เพราะในวาระวันเกิดปีนี้เรานัดพบกันเพื่อสนทนาถึงสิ่งที่เกิดขึ้น

โอม Cocktail

23 กันยายน 2563 เป็นวันคล้ายวันเกิดอายุครบ 35 ปีของโอม

กับชีวิตนอกวงการดนตรี นี่เป็นอีกหนึ่งปีที่ชีวิตของเขาเดินทางไปได้อย่างมั่นคง 

แต่กับชีวิตในวงการ ช่วงต้นปีโอมและวง Cocktail ยังมีผลงานปล่อยออกมาให้แฟนๆ ได้ติดตามอยู่เรื่อยๆ แต่พอถึงช่วงวิกฤตโควิด-19 Cocktail เป็นหนึ่งในวงดนตรีจากอีกหลายวงที่ต้องหยุดพักยาว พวกเขาเพิ่งกลับมาปล่อยเพลงใหม่อีกครั้งเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานี่เอง ยิ่งเมื่อผสมกับบทบาทใหม่ของโอมอย่างการเป็นผู้บริหารค่ายเพลง Gene Lab ที่ต้องรับผิดชอบวงดนตรีอีกหลายวง มองจากภายนอกแล้วผมจึงอดคาดการณ์ล่วงหน้าไม่ได้ว่าปีนี้น่าจะเป็นปีที่ยากลำบากสำหรับเขาเป็นแน่

แต่เปล่าเลย ในความเป็นจริง โอมผ่านมาได้อย่างไม่บอบช้ำเท่าไหร่นัก

เพราะเหตุทั้งหมดนี้เอง เรานัดพบกันในค่ำวันหนึ่งเพื่อพูดคุย ถึงแม้ตอนนั้นนาฬิกาบอกเวลา 2 ทุ่ม แต่บทสนทนาของเราก็เริ่มต้นโดยปราศจากความเหนื่อยอ่อนใดๆ ถ้อยคำที่เกิดขึ้นค่อยๆ บอกเล่าเรื่องของโอมตั้งแต่เรื่องการงาน ความสุขในชีวิต ไปจนถึงการอยู่กับปัจจุบันและวันเกิดในแต่ละปี

“ถ้าถาม ผมก็จะตอบ แต่ผมไม่อยากพูดแล้วเหมือนไปสอนใคร เพราะผมเคารพในการตัดสินใจของทุกคน แต่แค่ผมรู้สึกแบบนี้” ในช่วงหนึ่งของการพูดคุยโอมบอกกับผมแบบนั้น และนั่นคือเหตุผลส่วนใหญ่ที่เขาบอกเล่า เขามักเปิดประโยคด้วยคำว่า ‘ผมคิดว่า’ เสมอ

แต่โอม ‘คิด’ ยังไงบ้าง

ให้ความหลากหลายของสิ่งที่เขาพูดและทำเป็นคำตอบในบรรทัดถัดไป

โอม Cocktail

ตอนนี้ถ้าว่ากันตามจริง ตำแหน่งในนามบัตรของคุณกับค่าย Gene Lab คืออะไร

Executive Label Director ถ้าแปลเป็นไทยคงเป็นเจ้าพนักงานบริหารแผนก แต่ถ้ามองที่งานจริงๆ ก็สามารถเรียกได้ว่า Senior Promoter 

 

ยากไหมกับการเปลี่ยนจากการเป็นศิลปินมาทำงานบริหารค่ายเพลง

ผมเองมีความถนัดเรื่องการบริหารและการจัดการติดตัวมา ดังนั้นผมคิดว่าตัวเองพอทำได้ ผมเลยเข้ามาทำตรงนี้โดยไม่ได้รู้สึกว่ายากเท่าอย่างอื่นที่ผมไม่ถนัด แต่ที่บอกแบบนี้ไม่ได้แปลว่าผมเก่งกว่าคนอื่นนะ เพราะก็มีเรื่องที่คนอื่นเก่งกว่าผม แต่กับเรื่องนี้ในอีกมุมหนึ่งต้องให้เครดิต Cocktail ด้วย วงพาผมให้มาเห็นโลกเยอะมากจนพร้อมในการคว้าโอกาสที่เข้ามาแบบนี้

 

แล้วกับปีที่ผ่านมาถือว่าทำได้ตามแผนไหม

เกินเป้านิดหนึ่ง

 

แม้เจอโควิด-19 

ใช่ครับ ถ้ากับค่าย ด้วยตำแหน่งงานผมไม่ได้เห็นก้อนเงินขนาดใหญ่ ดังนั้นผมจึงไม่ค่อยกลุ้มใจอะไรมาก ยิ่งแกรมมี่เป็นบริษัทขนาดใหญ่ที่มีนโยบายการเงินที่รัดกุม นั่นยิ่งทำให้พวกเราผ่านวิกฤตมาได้โดยไม่มีพนักงานที่โดนลดเงินเดือนหรือไล่ออก เราผ่านช่วงเวลานั้นมาได้จนตอนนี้น้องๆ นักดนตรีเริ่มกลับมามีงานกันหมดแล้ว

แต่ถ้ากับ Cocktail ตอนนี้ Cocktail ยังหยุดรับงานอยู่ครับ แต่เราใช้โอกาสนั้นทำงานเบื้องหลัง เราตั้งเป้ากันว่าอัลบั้มใหม่ต้องเสร็จก่อนแล้วค่อยกลับมาทัวร์กันอีกทีต้นปีหน้า ซึ่งการที่วงอยู่มานานและมีระเบียบการจัดการเงินกองกลางอย่างดี มันทำให้ที่ผ่านมาวงสามารถเลี้ยงดูทีมงานทั้งหมดได้โดยไม่ต้องทำงาน ตรงนี้ช่วยเรามหาศาลให้ใช้ชีวิตกันได้ตามปกติและทำให้เห็นว่าความไม่ประมาทเป็นหนทางสู่ความเจริญอย่างแท้จริง แทบไม่เคยคิดเลยนะว่าตัวอย่างจะมาให้เห็นชัดขนาดนี้ 

โอม Cocktail

แต่ในระยะยาวสิ่งที่เกิดขึ้นกระทบกับเป้าหมายอื่นๆ บ้างไหม

ผมมีเป้าใหญ่สุดเป็นเป้าหมายชีวิตที่เหมือนรัฐธรรมนูญของตัวเองครับ เป้ารายปีเป็นเหมือน พ.ร.บ.ที่ต้องไม่ขัดและนำไปสู่เป้าหลัก ส่วนเป้าแต่ละเดือนเป็นเหมือนกฎหมายลูกรองลงมาอีกที ซึ่งทั้งหมดนี้เปลี่ยนได้ เพราะตัวเราเปลี่ยนไปสาระพัดสาระเพในทุกๆ วัน แต่ถ้าถามทุกวันนี้ ไม่ว่าเป็นเป้าหมายไหนหรือเปลี่ยนไปยังไง ผมขอแค่ไม่ขัดกับเป้าหมายหลักในชีวิตของผมก็พอ นั่นคือผมขอมีความสุข

 

‘ความสุข’ คือรัฐธรรมนูญ

(พยักหน้า) แต่ขอสุขที่เป็นความสุขจริงๆ นะ สุขที่เหตุ ไม่ใช่สุขที่ปลาย ผมอยากมีสุขที่ถาวร

 

สุขถาวรของคุณคืออะไร

ผมคิดว่าคือความเงียบ 

ไม่ใช่ว่าห้ามมีคนพูดด้วย ห้ามมีคนเสียงดังรอบๆ แต่เป็นใจผมเองที่ต้องเงียบ ไม่เอาใจไปฟังอะไรเกินไป ถึงอยู่ในวงการที่มีคนคอมเมนต์อยู่เรื่อยๆ แต่ผมก็อยากเงียบที่จิตใจได้ ผมไม่อยากให้ใจตัวเองวุ่นวายกังวล ผมแค่ต้องการความสงบ แต่เหมือนอย่างที่ผมเคยพูดในรายการ ป๋าเต็ดทอล์ก นั่นแหละว่าความสงบแม่งแพง เงินซื้อความสงบไม่ได้ ตอนนี้ผมเลยพยายามมีในทุกๆ วันเท่าที่พอทำได้

โอม Cocktail

กับวัย 35 ปี คุณมองตัวเองว่าแก่แล้วไหม อยู่ใน ‘วัยกลางคน’ หรือเปล่า 

(ส่ายหน้า) ผมไม่ได้มองว่าตัวเองอยู่ในวัยไหนครับ ผมสนแค่ว่าสิ่งที่เป็นเหมาะสมกับวัยที่ควรหรือเปล่า อย่างผมยอมรับว่ายังมีบางเรื่องที่ผมเด็กอยู่มาก บางเรื่องก็แก่ไป แต่สุดท้ายสิ่งที่สำคัญ ผมว่าคือความเหมาะสมของแต่ละเรื่องตามสถานการณ์มากกว่าว่ากับตอนนี้ วัยนี้ เราควรเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่

 

แล้วตอนนี้คุณว่าตัวเองสมกับวัยหรือยัง

ยังมีสวิงสวายอยู่ แต่ผมก็พยายาม เพราะถ้าไม่พยายาม บางทีมันสะบัดไปสะบัดมา ผมอยากเป็นผู้ใหญ่แบบที่ควรเป็นในเวลาที่จริงจัง แต่ในเวลาที่ต้องเป็นเด็กก็ต้องเป็น พูดง่ายๆ ว่าเป็นไปตามความเหมาะสม โอกาส และสถานที่โดยไม่ได้สนใจที่ตัวอายุ ดังนั้นผมว่าคำพูดที่ว่า ‘อายุเป็นเพียงแค่ตัวเลข’ น่ะ เป็นเรื่องจริงนะ สิ่งสำคัญคือข้างในมากกว่า

 

คิดแบบนี้มานานหรือยัง

เพิ่งเป็นช่วงหลังๆ นี้เองครับ 2-3 ปีหลังผมเริ่มไม่ใส่ใจในตัวเลข ผมแค่พิจารณาสิ่งที่ควรเป็น ระหว่างนั้นถ้าอะไรเปลี่ยนแปลงก็ต้องเปลี่ยน แม้เราไม่อยากให้เกิดก็ตาม (เว้นช่วงคิด) คุณอายุเท่าไหร่นะ

 

28 ครับ

เดี๋ยวคุณจะเห็นว่าร่างกายทรุดโทรมไปตามกาลเวลา ทุกอย่างเป็นไปตามสภาพ ดังนั้นผมคิดว่ามนุษย์ต้องปรับตัวให้เหมาะสมกับอายุทั้งการแสดงออกและร่างกายนะ เช่น พออายุเยอะขึ้น เราควรต้องดูแลตัวเองมากขึ้นไหม ต้องนอนให้พอไหม อย่างผมเคยมีฉายาว่าซอมบี้เพราะเป็นคนไม่ค่อยนอน เคยไม่นอนติดกัน 6 วันก็อยู่ได้ แต่ทุกวันนี้แค่วันเดียวก็ไม่ได้เพราะฉิบหายต่องานในวันรุ่งขึ้น

โอม Cocktail

ก่อนหน้านี้เคยคิดไหมว่าตัวเองตอนอายุ 35 จะเป็นแบบนี้

ไม่เคยเปรียบเทียบ ผมสนใจแค่ว่าตอนนี้ทำทุกอย่างโอเคและเหมาะสมแล้วหรือยัง 

 

อยู่กับปัจจุบัน

ผมสนใจปัจจุบันขณะมากๆ

 

ไม่คิดถึงอนาคตหรือใคร่ครวญอดีต

กับอนาคต ผมคิดว่าคิดแค่กำหนดเป้าก็พอ หลังจากนั้นกลับมาคิดกับปัจจุบันดีกว่าว่าเราจะทำยังไงเพื่อไปให้ถึงเป้านั้น เพราะถ้าคิดถึงอนาคตทั้งวันแต่ไม่ลงมือทำอะไร อนาคตก็ไม่มา 

หรืออย่างอดีต นั่นเป็นสิ่งที่ผ่านไปแล้ว แก้อะไรไม่ได้แล้ว ไม่ว่าเป็นเรื่องชั่วร้ายหรือเรื่องดี มันสิ้นสุดลงไปแล้ว ดังนั้นถ้าเรียนรู้แล้วก็จบ ไม่ใช่คิดถึงอยู่เรื่อยๆ อย่าติดอยู่อย่างนั้นเพราะนั่นทำให้เราไม่อยู่กับปัจจุบันเช่นกัน คือคิดได้ รู้สึกได้ครับ แต่ผมต้องไม่ยึดติด 

โอม Cocktail

พอเป็นแบบนี้ แล้วกับชีวิตที่ผ่านมาคุณเคยเสียดายอะไรไหม

ไม่ค่อยเสียดาย ไม่ใช่ผยองนะครับ แต่ผมพยายามเรียนรู้ว่าผมทำได้แค่นั้นแล้ว ผมได้จดจำข้อผิดพลาดไว้แล้ว หมดเวลาแล้วที่จะไปนั่งเศร้าโศก ความเสียดายน่ะเกิดขึ้น ณ ขณะที่เสียดาย แต่หลังจากนั้นผมก็ต้องเรียนรู้ และ move on

 

ทำได้ง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ

ไม่ได้ทุกเรื่องหรอก แต่ผมว่าที่สำคัญคือความตั้งมั่นว่าจะทำ มันไม่ได้ง่าย บางทียังทำไม่ได้ทันที แต่พอตั้งมั่น ผมรู้ว่าตรงไหนคือทางออก ก็แค่พยายามไปต่อแค่นั้นเอง แต่ถ้าถามว่าผมทำได้ตลอดทุกครั้งไหม ก็ยังไม่ขนาดนั้น เพราะตราบใดที่ผมยังรู้สึกว่าตัวเองทุกข์ใจอยู่ นั่นแสดงว่ายังจัดการไม่ได้ 

 

อะไรคือเรื่องหลักๆ ที่คุณรู้สึกว่า ‘จัดการไม่ได้’ ในวัยนี้

(นิ่งคิด) ถ้าพูดถึงแก่นจริงๆ ผมว่ายากที่จะบอกว่าคืออะไรนะ เพราะกับเรื่องเดียวกัน มันมีทั้งวันที่เรารับมือได้และรับมือไม่ได้ บางครั้งบางเรื่องกลับมาติดอยู่ในใจอีกรอบทั้งๆ ที่เมื่อวานเพิ่งเอาออกไป แต่ผมว่าสีสันของความเป็นมนุษย์คือความไม่เสถียรนี่แหละ

โอม Cocktail

ผมเคยได้ยินคำสอนหนึ่งจากครูผมที่ผมชอบมาก นั่นคือ ‘กิเลสมันฉลาดขึ้นเรื่อยๆ’ วันที่คุณคิดว่าตัวเองฉลาดพอ กิเลสแม่งฉลาดตาม มันไม่ปล่อยให้คุณเสถียรได้ง่ายๆ อย่างมีเนื้อเพลงในอัลบั้มใหม่ของ Cocktail ท่อนหนึ่งที่บอกว่า ‘กว่าที่ใจจะฟื้นกำลังหายดีอีกครั้ง ยังต้องสู้กับใจตัวเองซ้ำๆ’ สำหรับผมคือเป็นแบบนั้น วันนี้อาจโอเค แต่พรุ่งนี้แค่ฝนตกลงมา ความโอเคก็ไปกับฝน ดังนั้นเจาะจงไม่ได้จริงๆ ว่าเรื่องไหนที่ผมรับมือได้ยาก 

 

แล้วในวันที่ไม่โอเค กับวัยนี้คุณรับมือยังไง

ผมว่าไม่เกี่ยวกับวัยหรอกครับ เพราะถ้าเราไม่เข้าถึงแก่นของปัญหา ไม่ว่าอายุเท่าไหร่เราก็รับมือไม่ได้ ทุกวันนี้ผมยังต้องฝึกต่อเนื่องในการตัดปัญหาที่ต้นเหตุ เพราะอย่างที่บอกว่าผมพยายามอยู่กับความจริงในปัจจุบันขณะ ผมเชื่อว่ามันทำให้ไม่ทุกข์ใจ แต่มากไปกว่านั้นคือผมอยากอยู่กับปัจจุบันที่ละเอียดมากขึ้นเรื่อยๆ จากหลักวัน เป็นหลักครึ่งวัน หลักชั่วโมง หลักนาที หลักวินาที หลักเสี้ยววินาที เกิด ดับ เกิด ดับ เช่น ตอนนี้รู้สึกยินดีนะ จบ เกลียดนะ จบ รักนะ จบ

ไม่ได้บอกว่าควรไร้อารมณ์นะครับ คนควรมีอารมณ์น่ะแหละ แต่ผมแค่ไม่อยากยึดติดกับอารมณ์  ซึ่งถ้าผมฝึกได้ ผมว่าตัวเองจะอยู่กับปัจจุบันแล้วรู้สึกได้ว่าเวลาช้าลงเรื่อยๆ หลังจากนั้นถ้าอารมณ์พุ่งเข้าหาเราเหมือนกระสุน แค่เสี้ยววินาทีนั้นเราจะไตร่ตรองอย่างสมบูรณ์ว่าอ๋อ เหตุเป็นแบบนี้ เรื่องเป็นแบบนี้ เราทำแบบนี้ หลังจากนั้นทำใจซะ อารมณ์นั้นเกิดขึ้นแล้ว สิ้นแล้ว ดับแล้ว จบ

 

มีสติ

(พยักหน้า) และการมีสติจะทำให้เราพิจารณาปัญญาได้ลึกขึ้น การฝึกสติทำให้เรานิ่งและรู้ตัวทั่วพร้อมจนเมื่อมีปัญหาเข้ามา เราสามารถเห็นได้ทั้งต้น ปลาย และเหตุจนวิเคราะห์สิ่งนั้นได้ ไม่ใช่แค่นั่งสมาธิแล้วท่องพุทโธอย่างเดียว คือต้องคิดด้วย เช่น เกิดมาทำไม ความตายคืออะไร ปัญญาจะได้เกิด อย่างผมอาจไม่ได้ฝึกสติหรือสมาธิทุกวัน แต่ผมจะทำเมื่อมีเรื่องให้เหนื่อยใจ สิบนาทีแรกจะเป็นช่วงทำให้นิ่ง หลังจากนั้นผมจะเริ่มเรียงปัญหาเข้ามาในหัวว่าตอนนี้เกิดอะไรขึ้น ทวนกันหน่อย ทำถูกหรือยัง ถี่ถ้วนหรือยัง พลาดตรงไหน ซ่อมแซมได้ไหม หรือต้องปล่อยไป แล้วนี่มึงยังทุกข์ใจเหี้ยห่าอะไรอยู่วะ ทั้งหมดนี้ต้องฝึกด้วยตัวเองครับ ไม่มีทางลัด

ถ้ายึดตามหลักการนี้ สำหรับคุณ วันเกิดคือ …

แค่อีกวันหนึ่ง (ยิ้ม) แต่วันเกิดแต่ละครั้งผมก็มีความสุขนะ ซาบซึ้งกับทุกอย่างที่เข้ามา ทั้งภรรยาที่บอกแฮปปี้เบิร์ธเดย์ ลูกวิ่งมากอด หรือคุณพ่อคุณแม่ที่เดินมาหา ผมไม่ได้ปฏิเสธคนที่มายินดีก็เอนจอย แต่ไม่ได้ยิ่งใหญ่ เพราะเหมือนเรื่องอื่นที่เมื่อเกิดขึ้นแล้ว มันจะผ่านไปเช่นเดียวกัน

 

มีอะไรพิเศษที่ทำในวันเกิดไหม 

ผมให้เวลาครอบครัว อย่างตารางงานของ Cocktail จะไม่ลงในวันเกิดของทั้งผม คุณพ่อ คุณแม่ น้องสาว ภรรยา หรือลูก เพราะผมเข้าใจว่ายังมีคนที่ให้ความสำคัญกับวันเกิดอยู่ การที่เขามีความสุขในการอยู่ร่วมกับเราในวันนั้น ผมก็ยินดีที่ได้เห็นคนที่เรารักยิ้มแย้มแจ่มใส ผมไม่ได้ขวางโลกโดยการบังคับให้ทุกคนคิดเหมือนผม เพราะผมอยู่ร่วมกับคนอื่น ดังนั้นผมต้องเคารพเขา ยอมหย่อนบางอย่างที่คิดลงบ้างเพื่อให้ทุกคนมีความสุข

สุดท้าย เนื่องในโอกาสวันเกิดปีนี้ ถ้าขอพรได้หนึ่งข้อคุณจะขออะไร

(นิ่งคิดนานมาก) ผมเป็นคนไม่ขอพรน่ะสิ แต่กลัวตอบแบบนี้คนจะหาว่าติสท์แตก

 

ตอบได้ครับ แต่ก็อยากถามต่อว่าทำไมถึงไม่ขอพร

พรแปลว่าอะไรรู้ไหม ‘พร’ มาจากคำว่า ‘วร’ (วอ-ระ) และคำว่า ‘วร’ แปลว่าประเสริญ ดังนั้นพรแปลว่า ‘สิ่งที่ดี’ ไม่ใช่สิ่งวิเศษ แต่เรามักเอาพรไปผูกกับความศักดิ์สิทธิ์ ทั้งๆ ที่การขอพรคือการขอความดี และสำหรับผม การได้ความรู้คือสิ่งอันดีแล้ว ผมเลยไม่ได้เชื่อในเรื่องการขอพรเพื่อความศักดิ์สิทธิ์ ผมเชื่อในสิ่งอันดีมากกว่า แต่ถ้าคำถามเปลี่ยนเป็นคำว่า ‘Wish’ คือถามว่าผมหวังอะไร (นิ่งคิด)

ผมคงหวังว่าตัวเองจะมีปัญญาอยู่เสมอในทุกเวลา ทุกโอกาสและทุกสถานการณ์ เพราะไม่ว่าบีบคั้นสักเท่าไหร่ ผมหวังว่าปัญญาจะพาผมออกจากปัญหาได้อยู่เสมอ 


befor.tart รส โอม Cocktail

Espresso Ganache / Passion Fruit Curd / Milk with Black Peppercorn

ทาร์ตรองไว้ด้วยครีมนมที่เข้มข้นที่นอกจากสะท้อนถึงความเป็นครอบครัวที่เลี้ยงดูมาด้วยความเข้าใจ สิ่งนี้ยังแทนถึงช่วงชีวิตในวัยเด็กผสมไว้ด้วยรสเผ็ดร้อนของพริกไทยที่แทนถึงการนอกลู่นอกทางไปบ้างในช่วยต้นชีวิตวัยรุ่น แต่ท้ายที่สุดแล้วรสของนมนั้นหักกลบรสเผ็ดร้อนออกไปได้จนหมด ทั้งหมดนี้แทนถึงอิทธิพลของครอบครัวที่มีความสำคัญมากพอที่ทำให้เกิดจุดเปลี่ยนและทำให้ครอบครัวภูมิใจอีกครั้งได้

ยิ่งหากทานคู่กับเคิร์ดเสาวรสและกานาชเอสเพรสโซ ยิ่งทำให้รสชาติที่มีมิติหลากหลาย ทั้งรสขมและความสดชื่นจากรสเปรี้ยวเปรียบเหมือนสองส่วนผสมที่เข้ากันที่ช่วยผลักดันความสำเร็จของคุณโอมให้ชัดเจนและมั่นคงยิ่งขึ้น นั่นคือเสาวรสหรือแพสชั่นฟรุต (ที่มีชื่อพ้องกับ แพสชั่น) ที่สื่อถึงความมุ่งมั่นตั้งใจ บวกกับความเข้มที่ให้ความรู้สึกถึงความเป็นผู้ใหญ่ จริงจัง และหนักแน่น

ด้วยรสชาติจากวัตถุดิบที่ให้ความหลากหลายเหล่านี้เองทำให้เมื่อทานพร้อมกัน ทาร์ตนี้จะเป็นเหมือนคอกเทลที่รวมผสมรสชาติต่างๆ ไว้อย่างมีเอกลักษณ์และเป็นที่จดจำของทุกๆ คน

AUTHOR

PHOTOGRAPHER

พิชย์ สุนทโรสถ์

ช่างภาพหน้าหมี ผู้ชอบเพลงแจ๊สเป็นชีวิตจิตใจ