ในห้วงความทุกข์ ความรู้สึก ‘ขอบคุณ’ ต่ออะไรสักอย่างจะกระจ่างใสดังดวงดาว

Gratitude

“อ่อนไหวจังเลย แบบนี้จะใช้ชีวิตรอดได้ยังไงเนี่ย” ฉันโดนประโยคนี้ค่อนขอดมาตั้งแต่เด็กจนกระทั่งวัยรุ่น มันเป็นประโยคที่ทำให้แอบชิชะใส่คนพูดอยู่ในใจแต่ไม่รู้จะต่อกรกลับไปยังไง เพราะก็รับมาเต็มๆ ว่า ใช่ คุณสมบัติใจเราที่สามารถ ‘รู้สึก’ อะไรสักอย่างมากๆ ทำให้เราเหมือนเป็นเอเลี่ยนเมื่อเทียบกับคนทั่วไป

เวลาทุกข์ก็ทุกข์จัง มันดำดิ่ง รวดร้าว ทั้งที่ไม่ได้ทำการแสดง ไม่ได้ดราม่า จนรู้สึกเหมือนมีคำสาปที่คนอื่นไม่มี ส่วนเวลาเป็นสุข แค่จุดเล็กๆ ที่ส่องประกายในชีวิตก็รู้สึกอิ่มเอม เต็มตื้น ไปจนถึงดีใจที่ได้มีชีวิตอยู่ และแน่นอน ย้ำอีกครั้งว่าไม่ได้ทำการแสดงแต่อย่างใด แค่รู้สึกลึกซึ้งมาจากใจจริง 

ด้วยเหตุนี้ วันหนึ่งพอได้รู้จักคำว่า Highly Sensitive Person (HSP) ที่หมายถึงคนที่มีความสามารถที่จะรู้สึกและรับรู้สิ่งต่างๆ ได้อย่างละเอียดอ่อนเป็นพิเศษทั้งด้านบวกและด้านลบ ก็รู้สึกปลดล็อกในใจ เหมือนเจอเพื่อนในเผ่าพันธุ์ดั้งเดิมที่เราหลงฝูงมานาน 

มันอาจเป็นเหมือนคำสาป แต่ถ้าเรารู้จักตัวเองและดูแลตัวเองเป็นมากขึ้น มันก็เป็นเหมือนพรสวรรค์ได้ หนังสือที่ว่าด้วย HSP ต่างบอกเช่นนั้น 

Gratitude

บางครั้งฉันก็รู้สึกเหมือนว่า จริงๆ แล้วเราเป็นยอดมนุษย์ที่เกิดมาพร้อมภารกิจพิชิตปมในใจ ถ้าภารกิจนี้สำเร็จ พลังเร้นลับของเราจะระเบิดออกไปทั่วจักรวาลได้ 

แต่ฉันจะกระซิบบอกให้ว่า พลังเร้นลับที่ว่าไม่ได้พิเศษหรือมหัศจรรย์เหมือนในหนังหรอกนะ บางครั้งมันเป็นแค่ห้วงเวลาสั้นๆ ที่เราได้ละเอียดและละเมียดละไมกับความรู้สึก ‘ขอบคุณอย่างที่สุด’ ที่ผุดขึ้นในใจ

Gratitude

เล่ามาถึงตรงนี้ ฉันนึกถึงเรื่องราวเมื่อ 10 ปีก่อน มันเป็นเหตุการณ์ที่ฉันดีใจอย่างลิงโลด ดีใจจนไม่รู้จะอธิบายออกมาเป็นคำพูดอย่างไร ความรู้สึกมันมากจนกลั่นออกมาเป็นน้ำตา 

เหตุการณ์นั้นคือการฟื้นตื่นหลังผล็อยหลับไป 30 นาทีด้วยความเหนื่อยล้าบนพื้นไม้ที่บ้าน 

สำหรับคนทั่วไป มันไม่ใช่เรื่องยิ่งใหญ่แม้แต่นิด แต่สำหรับฉัน มันเป็นการหลับลงโดยไม่ต้องพึ่งยาและไม่ทรมานเป็นครั้งแรก หลังต่อสู้กับอาการนอนแทบไม่หลับและภาวะวิตกกังวลขั้นรุนแรงมาราว 2 เดือน 

ฉันรู้ซึ้งวินาทีนั้นนั่นแหละว่า โอ้โห การนอนได้มันดีอย่างนี้ สดชื่นเหมือนเกิดใหม่ เป็นการหลับและตื่นครั้งที่มีความหมายที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิตก็ว่าได้   

ความรู้สึกขอบคุณอย่างสุดซึ้งที่ตัวเองกลับมา ‘กินอิ่มนอนหลับ’ ช่วยขัดเกลาจิตใจอย่างมีนัยสำคัญ ยามประสบปัญหาหนักหนาไม่ว่าเรื่องอะไร มันจะช่วยย้ำเตือนว่า ‘อย่างน้อยเธอยังมีข้าวกินและนอนหลับเต็มอิ่มนะ’ และช่วยให้บรรเทาความรู้สึกอึดอัดคับข้องใจในสิ่งที่เป็นปัญหา ความรู้สึกที่ยังมีอะไรสักอย่างให้ขอบคุณบอกให้รู้ว่า เราไม่ได้สิ้นหวังขนาดนั้น ยังมีเรื่องดีๆ เกิดขึ้น หลังผ่านค่ำคืนเหนื่อยล้า ความหวังและแรงใจจะมาหาเราใหม่ 

แต่ผ่านมา 10 ปีเต็ม ถามว่าความรู้สึก ‘ขอบคุณ’ ตรงนั้นจางลงไปบ้างไหม ตอบตามจริงก็คือใช่ 

มีหลายวันในชีวิตที่ฉันมัวว้าวุ่นกับปัญหาที่แก้ไม่ตก อึดอัดที่สิ่งต่างๆ ไม่ยอมคลี่คลายอย่างที่ต้องการ ฉันหวนกลับมาสู่ตัวตนก่อนเจ็บป่วยที่ลืมขอบคุณหลายๆ สิ่ง ใช้ชีวิตบนลู่วิ่งเพื่อไล่ตามบางสิ่งที่ไขว่คว้า ทั้งงาน ความสัมพันธ์ รวมถึงวิ่งพิสูจน์ตัวเองว่าฉันไม่ใช่ ‘คนใช้ไม่ได้’ อย่างที่ใครเคยบอก 

รู้ตัวอีกที ความเครียดและความคาดหวังก็เล่นงานร่างกายฉันอย่างหนักหน่วง รอบนี้รู้สึกเหมือนโดนชกอัดกลางท้องแล้วแพ้น็อกกลางเวที 

บางเดือนฉันทำงานโลดแล่น รู้สึกภูมิใจว่าเริ่มทำหลายๆ อย่างไปพร้อมกันได้ หาเงินได้มากกว่าสมัยทำงานประจำ ตัดภาพมาอีกที โรคภัยไข้เจ็บก็ถามหาชนิดลงไปนอนหยอดน้ำข้าวต้ม บางโรคทำให้เราทรมานทั้งกายและใจ และในเช้าวันหนึ่ง ฉันก็ได้รู้จักโรคกรดไหลย้อนเป็นครั้งแรกในชีวิต 

กรดไหลย้อนทำให้ปวดหลังได้ แต่ฉันปวดหลังอยู่แล้วจากอุบัติเหตุเล็กๆ น้อยๆ ในวันก่อนหน้า อาการเลยคูณสอง ฉันปวดหลังทุกครั้งที่หายใจลึก ปวดหลังทุกครั้งที่กลืนอะไรสักอย่างลงคอ แม้มันจะเป็นแค่ขนมปังนุ่มๆ หลังก็จะปวดร้าวเป็นจังหวะตามคำอาหารที่โดนบีบลงไป มันมากจนบางจังหวะก็น้ำตาเล็ด นอกจากนี้ก็มีอาการแน่นและเจ็บหน้าอก ปวดหู เวลาอาการทั้งหมดเกิดพร้อมกันก็อดน้ำตาไหลไม่ได้ พอจะพักผ่อน อาการเหล่านี้ก็ขัดขวางการนอน การใช้ชีวิตแต่ละวันผ่านไปอย่างลำบากยากเย็น

“เครียดไม่รู้ตัวป่าวแก” เพื่อนสนิททั้งที่เป็นหมอและไม่ใช่หมอถามให้ฉุกคิด ก็เลยเพิ่งนึกได้ว่าใช่แหละ ฉันเพิ่งเจอเรื่องหนักหนาในชีวิตมา ฉันคิดไปว่าตัวเองรับมือได้แต่จริงๆ ในใจคงมีอารมณ์ลบเต็มไปหมด พอจังหวะมันแจ็กพ็อต ก็เลยได้สัมผัสประสบการณ์ตรงว่าน้ำย่อยจากความเครียดแทบจะย่อยคอและหลอดอาหารตัวเองไปแล้ว 

เล่ามาถึงตรงนี้ ไม่อยากให้คนอ่านเข้าใจผิดว่าฉันเป็นพวกบ้างาน ทรมานร่างกาย ไม่หลับไม่นอน เพราะหลังผ่านช่วงเฟิร์สจ็อบเบอร์โหมงานด้วยแพสชั่นมา (พร้อมโบนัสเป็นโรคกระเพาะที่ใช้เวลาหลายปีกว่าจะดีขึ้น) ฉันสำนึกและรู้แท้ว่าไม่มีอะไรสำคัญมากกว่าร่างกายของเราเอง ฉันกลายเป็นคนรักการนอน รู้จักอ้อยอิ่ง เพลิดเพลินใจกับมื้ออาหาร ออกกำลังกายอยู่บ้าง และคอยห้ามปรามรุ่นพี่รุ่นน้องที่ใช้งานร่างกายอย่างไม่บันยะบันยังเสมอ 

แต่บางครั้งชีวิตก็โยนโจทย์ยากๆ มาให้ เวลาแบบนั้น ฉันสารภาพว่ามันยังยากที่จะทำตัวสบายๆ และปล่อยวาง จังหวะแบบนั้น อาการเครียดไม่รู้ตัวจะเหมือนเพชฌฆาตที่คอยลอบสังหารเราเงียบๆ 

เอาจริงเราก็หนีเขาไม่ได้หรอก เพราะมันคือการเช็กบิลย้อนหลังแบบทบต้นทบดอก ความกดดัน ความเหนื่อยล้า ทุกอย่างที่เราให้ร่างกายแบกมาอย่างอดทนจะเผยโฉมให้เห็นตรงหน้าในยามเจ็บไข้  

“ทรมานจังเลย” มนุษย์รู้สึกละเอียดอย่างฉันร้องไห้ออกมาเป็นเด็กๆ กับคนรักตอนตื่นมามีอาการกลางดึกเป็นคืนที่สองที่สาม ร่างกายคงแบกรับมานาน เขาเลยส่งเสียงความเจ็บปวดออกมาบ้าง

ห้วงเวลาที่รู้สึกเข้มข้นแบบนั้น (ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นสัก 1-2 ชั่วโมงแล้วสงบลง) ฉันจะรู้สึกเหมือนพื้นดินมั่นคงที่เคยค้ำจุนเรามันกลายเป็นรูโหว่ ไม่รู้จะเอาขาไปค้ำยันตรงไหน ในใจมีแต่ประโยคลบๆ ว่า เจอเรื่องแย่อยู่แล้ว ทำไมยังต้องมาเจ็บมาป่วยเพิ่มเติมแบบนี้อีก ฯลฯ ฉันกลับไปสู่โหมดเด็กน้อยขี้กลัวขี้กังวลอย่างที่เคยเป็นเมื่อ 10 ปีที่แล้ว 

“อย่าคิดซ้ำเติมตัวเองแบบนั้นสิ” คนรักที่ตื่นขึ้นมาเป็นเพื่อนพูดให้สติ แล้วก็ให้ฉันพิงไหล่ร้องไห้

เวลาเป็นทุกข์ ทัศนียภาพชีวิตก็ไม่ต่างจากกลางคืน อะไรที่เราเคยมองเห็น เคยเข้าใจ เคยใช้ดูแลตัวเองได้ มันจะถูกบดบังหายไปในความมืด  

พอมีสติมากขึ้น ฉันก็มีความพยายามจะเยียวยาตัวเองด้วยวิธีใหม่ๆ นอกจากปรับการกินอาหาร กินยาที่ควรกิน หาหมอแผนทางเลือก ฉันลองเปิดตำราทำสิ่งที่ไม่เคยทำ นั่นคือใช้โยคะนิ้ว (หรือที่ในตำราเรียกว่า ‘หัตถะมุทรา’) ช่วยปรับสมดุลในร่างกาย ผลปรากฏว่าหายใจสะดวกขึ้น เจ็บหลังน้อยลง 

ความรู้สึกแสนมหัศจรรย์ที่ตัวเองหายใจได้โล่งที่เคยเกิดขึ้นเมื่อสิบปีที่แล้ว ย้อนกลับมาแบบทันทีทันใด เหมือนขนส่งผ่านไทม์แมชชีนมาในชั่วพริบตา ฉันวิ่งไปทั่วห้องเล็กๆ พลางส่งเสียงว่า “หายใจได้แล้ววว หายใจได้มากขึ้นแล้วว เจ็บหลังน้อยลงแล้ววว” แล้วคนรักก็หัวเราะไปกับฉันด้วยความเอ็นดู

“ที่ผ่านมาไม่เคยสนใจว่าการหายใจได้ลึกๆ มันดีขนาดนี้ แต่จริงๆ มันดีมากๆ เลยต่างหาก” ฉันพูดออกมาให้ตัวเองและคนที่อยู่ด้วยกันฟัง 

จริงๆ แล้วระหว่างเจ็บป่วยระลอกนี้ ฉันเสียน้ำตาอยู่หลายครั้ง แต่ไม่ใช่น้ำตาจากความเศร้า เป็นน้ำตาที่มาจากความรู้สึกขอบคุณ

เมื่อสิบปีก่อน นอกจากร่างกายจะเจ็บไข้ได้ป่วย ใจก็เจ็บไม่แพ้กันตอนโดนตัดสินว่าอ่อนแอง่าย แต่เวลานี้ พอโตขึ้นและชีวิตคัดกรองมิตรมาให้เรา คนรอบตัวจึงมีแต่คนให้ความเข้าใจ เป็นห่วงเป็นใย มากไปกว่านั้นก็คือคนที่ทำสิ่งที่ฉันต้องการความช่วยเหลือโดยที่ยังไม่ได้ร้องขอด้วยซ้ำ 

ตอนกลางคืน ร่างกายเสียสมดุลไปมากจนอ่อนระโหยและต้องทำตัวอุ่นๆ เข้าไว้ ฉันซุกตัวในผ้าห่ม แต่ไม่ทันไรก็มีคนเอาถุงเท้านุ่มๆ มาใส่ให้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ฉันไม่ทันนึกและไม่เคยทำให้ตัวเอง 

ที่ผ่านมาเวลาเจ็บป่วย ถ้าไหวฉันก็เลือกไปหาหมอเอง ไม่บอกหรือปรึกษาใคร เพราะไม่อยากให้ใครมาตำหนิตัดสิน แต่ตอนนี้ไม่ต้องเผชิญคนเดียว เพื่อนสนิทแวะมาหาถึงหน้าห้องตรวจ คนที่ไม่สะดวกมาก็ถามไถ่เป็นระยะ ฉันรู้สึกว่าตัวเองกำลังอยู่กลางอ้อมกอดที่อบอุ่น ใจอุ่นๆ เหล่านั้นรายล้อมเข้ามาเพื่อให้พลังงานคนป่วยจนรู้สึกว่าจะแข็งแรงขึ้นได้ทั้งกายใจอย่างแน่นอน 

ตอนฉันบอกขอโทษที่ตัวเองเป็นภาระ จู่ๆ คนรักก็ลุกขึ้นแล้วพูดดังๆ ว่า “คุณไม่ได้เป็นภาระ คุณแค่ไม่สบาย คุณไม่ได้อ่อนแอ คนเราไม่สบายกันได้ มันไม่ได้ลำบากหรือเป็นภาระอะไรเลย” เพียงเท่านั้นฉันก็ร้องไห้โฮ เหมือนได้วางสัมภาระในใจที่แบกมานับสิบปีลง นี่ก็เป็นเรื่องที่ฉันรู้สึกขอบคุณมากที่ได้เรียนรู้ในครั้งนี้ ไม่อย่างนั้นก็ไม่รู้จะแบกถ้อยคำเก่าๆ ไปจนถึงอายุเท่าไหร่ 

Gratitude

เทียบกับสิบปีก่อน เรื่องเดิมที่ขอบคุณก็ยังคงอยู่ และมีเรื่องใหม่ๆ ให้ขอบคุณเพิ่มขึ้นอย่างมากมาย 

ขอบคุณทุกคนที่คอยดูแลและเข้าใจ ขอบคุณที่ได้มาเจอหนังสือสุขภาพดีๆ ที่คนอื่นมองข้ามแต่โคตรเจ๋ง ขอบคุณเตียงนอนนุ่มๆ ขอบคุณผ้าห่มอุ่นๆ ขอบคุณที่ยุคนี้มีอาหารเพื่อสุขภาพให้เข้าถึงมากขึ้น ขอบคุณคุณหมอที่น่ารัก ขอบคุณที่ยังไม่เป็นโควิดจนไปหาหมอไม่ได้ ขอบคุณช่องรายการ คลิป และมีมตลกๆ ที่ทำให้หัวเราะ ขอบคุณตัวเองที่ยังมีแรงลุกขึ้นมาทำงานจ่ายค่ายา ขอบคุณผู้ว่าจ้างที่นึกถึง ขอบคุณสัญญาณเจ็บป่วยที่มาให้รักษาตัวไม่ช้าไปกว่านี้ ขอบคุณผู้ใหญ่ในชีวิตที่ให้ความช่วยเหลือแม้เราไม่ได้เรียกร้องหา ขอบคุณที่ชีวิตมอบโอกาสให้เข้าใจสิ่งเหล่านี้

ถ้าลองเขียนออกมา ก็จะได้เห็นว่ายังมีเรื่องอีกมากมายที่รอให้เราบอกขอบคุณ

เวลารู้สึกขอบคุณ ฉันจะบอกตัวเองว่า “อย่างน้อยวันนี้ก็…” แล้วต่อด้วยสิ่งที่รู้สึกขอบคุณ 

เช่น อย่างน้อยวันนี้ก็ได้เรียนรู้หลายๆ อย่าง อย่างน้อยวันนี้ยังได้กอดเพื่อนที่ไม่เจอกันมานาน อย่างน้อยวันนี้ก็ยังร้องเพลงได้ (แม้จะเจ็บคอ) อย่างน้อยก็ยังมีความสุขเมื่อมองไปที่คนข้างๆ อย่างน้อยยังได้บอกขอบคุณทุกคนที่ทำให้แต่ละวันไม่เลวร้ายจนเกินไป

อย่างน้อยวันนี้ยังกินอิ่ม นอนหลับ แม้จะยากขึ้นบ้างก็ตาม 

อย่างน้อยฉันได้ถอนคำสาปไปอีกหนึ่งเรื่อง ว่าความเจ็บป่วยไม่เท่ากับความอ่อนแอ 

แล้วรู้ไหม เรื่องที่เรามักพูดกันว่า ‘อย่างน้อย’ จริงๆ แล้วมันไม่น้อยเลย มันคือเรื่องที่เรานับเป็นความโชคดีมากถึงมากที่สุด ที่เราจะไม่รู้จนกว่าเราจะไม่มี หรือเสียมันไป 

พาย-ภาริอร วัชรศิริ เพื่อนสนิทที่เป็นนักเขียนซึ่งผ่านการดูแลคุณแม่ที่เป็นผู้ป่วยติดเตียงมา 11 ปี เพิ่งเขียนสเตตัสสั้นๆ ถึงคุณค่าของเวลา สุขภาพ ความสัมพันธ์ ฉันก็ไปโอดครวญตามประสาว่า ‘อิจฉาคนรวยสุขภาพกับเวลามากค้าบบ’ (พร้อมอีโมจิตาละห้อย) ปรากฏว่าเพื่อนคอมเมนต์กลับมาอย่างรวดเร็วมากว่า ‘งั้นดี เพราะตอนนี้ไม่อิจฉาคนรวยความสัมพันธ์ที่ดี แปลว่ามีอยู่แล้ว :)’ 

วินาทีนั้นฉันคิดได้หลายๆ อย่าง   

สิ่งที่ฉันยึดถือเป็นความเชื่อมาตลอดชีวิตคือ ความทุกข์เป็นครูที่ดีต่อเรามากกว่าความสุข ในห้วงความทุกข์ เราจะเรียนรู้อะไรหลายๆ อย่าง ความทุกข์จะทำให้เราลดเกราะป้องกันตัวลง เราจำเป็นต้องใช้สัญชาตญาณภายในอันละเอียดอ่อนเพื่อเรียนรู้และก้าวข้ามผ่านเหตุการณ์ท้าทาย

เมื่อฉันตกอยู่ในห้วงทุกข์ ทั้งคำสาปและพรสวรรค์จะทำงานพร้อมกัน ฉันอาจร้องไห้ร้องห่มเพราะรู้สึกทรมานถึงขีดสุดของขณะนั้นๆ แต่อีกสักพักหนึ่ง ฉันก็จะเสียน้ำตาเพราะรู้สึกขอบคุณต่อหลายๆ สิ่งที่ยังประคับประคองฉันไว้ ไม่ทิ้งจากไปไหน รวมถึงตัวฉันเองและร่างกายนี้ที่อดทนมาตลอดด้วย  

ฉันจะไม่ตัดสินว่าตกลงมันคือคำสาปหรือพรสวรรค์ สุดท้ายมันอาจเป็นแค่ธรรมชาติของฉันที่ไม่มีผิดหรือถูก แต่ที่แน่ๆ มันทำให้ฉันเห็นคุณค่าในเรื่องที่จับต้องไม่ได้หลายๆ อย่าง เรื่องจับต้องไม่ได้ที่ทำให้เราอยากมีลมหายใจในวันต่อๆ ไป 

การมองเห็นเรื่องราวที่เรารู้สึกขอบคุณ ก็เหมือนเรามีสายตาที่แหลมคมพอจะมองเห็นดาวเหนือ 

มันช่วยให้ชีวิตเราไม่หลงทาง 

สูตรอาหารใจฉบับกระชับสั้น 

  • ในทางจิตวิทยา ‘Gratitude’ หมายถึงความรู้สึกซาบซึ้งขอบคุณต่อสิ่งต่างๆ ที่มีอยู่ในชีวิต ทั้งที่จับต้องได้และจับต้องไม่ได้ การศึกษาวิจัยพบว่า ความรู้สึกนี้สัมพันธ์กับสุขภาวะที่ดีของบุคคลทั้งทางใจและทางกาย พูดแบบง่ายๆ คือ ยิ่งเราสามารถสังเกตเห็นแง่มุมที่รู้สึกขอบคุณในชีวิตได้ ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ ความรู้สึกนี้ก็ส่งผลดีกับสุขภาพของเราเอง 
  • ในศาสตร์จิตวิทยาเชิงบวกจึงมีคำแนะนำให้ลองทำแบบฝึกหัด Gratitude Journal หรือจดบันทึกสิ่งที่รู้สึกขอบคุณแต่ละวันสัก 3 อย่าง เพื่อฝึกฝนให้เราสังเกตและตระหนักรับรู้สิ่งที่มีคุณค่าและความหมายในชีวิตได้ดีขึ้น คำแนะนำของเราคือลองเริ่มจากสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวและจะเป็นอะไรก็ได้ เช่น อาหารมื้ออร่อย สัตว์เลี้ยง อากาศดีๆ ไปจนถึงต้นไม้ที่ออกดอกให้เราชื่นใจในวันยากๆ  

AUTHOR

ILLUSTRATOR

JCCHR

นักวาดภาพประกอบ ชอบแมว ชอบจังหวัดเกียวโตกับโอกินาวา ชอบกาแฟ และดูหนังฟังเพลงที่ชอบซ้ำหลายๆ รอบ