รู้จักกับ Justin Hurwitz ผู้อยู่เบื้องหลังเพลงทั้งหมดของ La La Land

City
of stars.
Are you shining just for me?

ได้ยินท่อนนี้ขึ้นมา
ทุกคนคงรู้จักและร้องตามได้ทันที เพราะนี่คือ City of Stars ซาวนด์แทรกประกอบภาพยนตร์
La La Land
เพลงดังแห่งปีที่เพิ่งคว้ารางวัลออสการ์ สาขา Best
Original Song มาได้หมาดๆ

นอกจากเพลงดังกล่าวที่สาวๆ
คลั่งไคล้ไรอัน กอสลิ่ง แล้ว เพลงอื่นๆ ของ La La Land ก็เพราะจับใจเช่นกัน
ไม่ว่าจะเป็น Audition (The Fools Who Dream) ที่ขับร้องโดยเอ็มม่า
สโตน หรือเพลงในฉากเปิดของเรื่องบนทางด่วนอย่าง Another Day of Sun รวมไปถึงสกอร์ของหนังที่ได้รางวัลออสการ์ สาขา Best Original Score
มาแบบไร้ข้อกังขา

หนังดี
เพลงเพราะ ขนาดนี้ รู้ไหมว่าใครอยู่เบื้องหลังความไพเราะดังกล่าว

เขาชื่อ
Justin Hurwitz หนุ่มอเมริกันเชื้อสายยิวที่มีอายุเพียง
32 ปี ตอนนี้ เฮอร์วิตซ์ได้รับการจับตามองอย่างมากว่าเป็นคนรุ่นใหม่ที่กำลังจะมีอิทธิพลต่อวงการเพลงและภาพยนตร์ในภายภาคหน้า

ไปรู้จักเขากันสักนิดดีกว่า

เฮอร์วิตซ์เกิดที่แคลิฟอร์เนีย แต่ครอบครัวย้ายไปที่มิลวอกี (Milwaukee) เขาเริ่มเรียนเปียโนตั้งแต่ยังเด็กที่
Wisconsin
Conservatory of Music คุณครูสอนเปียโนของเขาบอกว่า
เฮอร์วิตซ์ ชอบที่จะเล่นเพลงยากๆ อยู่เสมอ

“ช่วงปีท้ายๆ ในไฮสกูล เขาเล่น Piano Concerto No. 1 ของบีโธเฟนได้ทั้งหมด และเล่นได้ดีเสียด้วย”

เฮอร์วิตซ์เองก็กล่าวภายหลังว่า Beethoven, Chopin, Bach และ Schubert เป็นแรงบันดาลใจสำคัญที่ทำให้เขาอยากเป็นนักแต่งเพลง
นอกจากนี้เขายังชื่นชอบเพลงประกอบภาพยนตร์แอนิเมชันอย่าง Beauty and the
Beast
, The Little Mermaid และ Aladdin ตั้งแต่เด็ก

เฮอร์วิตซ์เข้าศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ที่ที่ทำให้เขาได้พบกับ
Damien
Chazelle ผู้กำกับ La La Land และนั่นถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของชีวิต ทั้งคู่ถือเป็นเพื่อนซี้กันมาก
นอนห้องเดียวกัน เรียนด้วยกัน ตั้งวงดนตรีอินดี้ป๊อปด้วยกัน แถมยังทำหนังด้วยกันเรื่อง
Guy
and Madeline on a Park Bench
ซึ่งว่ากันว่าคือโปรโตไทป์แรกของหนังเรื่อง
La La Land

ชาเซลล์ถึงกับเคยบอกว่า เหตุผลเดียวที่ทำให้เขาเขียนบทหนังเรื่องนั้นขึ้นมาก็เพราะเฮอร์วิตซ์ตกลงที่จะแต่งเพลงให้

“ถ้าเขาบอกว่าไม่ เส้นทางชีวิตเราคงเปลี่ยนไป และไม่มีทางที่จะมี La
La Land
ในวันนี้อย่างแน่นอน” ผู้กำกับรางวัลออสการ์สารภาพ
“การตัดสินใจที่ดีที่สุดของผมคือการที่โน้มน้าวให้เขาอยู่กับผมได้สำเร็จ”

แม้ว่าโปรเจกต์
La
La Land
ที่เขียนขึ้นมาก่อนจะถูกเบรกไว้ เนื่องจากทางสตูดิโอมองว่าใช้งบสูงเกินไป
จนทั้งคู่หันไปสร้างหนัง Whiplash ก่อน แต่เมื่อทางสตูดิโอไฟเขียวให้สร้าง
La La Land สิ่งแรกที่พวกเขาทำคือแต่งเพลงด้วยกัน เพื่อหาเมนธีมของเรื่องซึ่งคือเพลง
Mia & Sebastian’s Theme (Late For The Date)

“ผมใช้เวลาแต่งเพลงด้วยเปียโนอยู่นานมาก” เฮอร์วิตซ์เล่า
“แต่พอเราได้เมโลดี้ขึ้นมา มันเหมือนเป็นโมเมนต์แบบ ‘ใช่เลย!’”

นี่คือขั้นตอนในการทำเพลงของหนังทุกเรื่องของพวกเขา
ทั้งสองคนจะมานั่งเล่นเปียโนกันเพื่อหาเมโลดี้ที่ใช่ของหนัง โดยตัวเฮอร์วิตซ์จะได้อ่านบทภาพยนตร์ก่อน เพื่อนึกถึงเพลงที่เหมาะกับแต่ละฉาก

แล้วสไตล์เพลงของเฮอร์วิตซ์เป็นอย่างไร?

เฮอร์วิตซ์บอกว่า เขาไม่ชอบเมโลดี้ที่เศร้าหรือสุขเกินไปด้านใดด้านหนึ่ง เพลงของเขามักจะเป็นอารมณ์ที่ผสมกัน
คือมีทั้งสุขและเศร้าในเพลงเดียว และด้วยการใส่อารมณ์ที่ซับซ้อนและหลากหลายเข้าไปในเพลงทำให้ตัวเพลงของพวกเขามีเอกลักษณ์ที่ค่อนข้างชัดเจน
โดยเว็บไซต์ deadline.com ตั้งข้อสังเกตว่า
มีการเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาของเมโลดี้ในคีย์เดียวกัน

“ยกตัวอย่างเช่นเพลง City of Stars ที่เป็นธีมหลัก ผมไม่ได้มีการเปลี่ยนคีย์มากนัก
แต่เป็นการเปลี่ยนกลับไปกลับมาระหว่างเมเจอร์และไมเนอร์ในคีย์เดียวกัน”

ผลลัพธ์จึงออกมาเป็นเพลงที่มีส่วนผสมของแจ๊ส
ป๊อป และเพลงประกอบภาพยนตร์ฮอลลีวู้ดยุคเก่า อีกทั้งยังคลุกเคล้าอารมณ์ทุกข์ สุข เศร้า
ไปกันได้อย่างกลมกลืน

เฮอร์วิตซ์กล่าวคำขอบคุณบนเวทีประกาศผลรางวัลออสการ์ว่า

“ถึงทุกคนที่ทำงานให้เกิดเป็นภาพเคลื่อนไหวบนจอ ผมดูงานของคุณเหมือนกับผมกำลังแต่งเพลงให้กับภาพวาด
และนั่นคือแรงบันดาลใจที่ทำให้เกิดเพลงเหล่านี้”

City
of stars. Are you shining just for me?

ดูเหมือนแสงดาวกำลังจะส่องสว่างไปที่ผู้ชายคนนี้มากขึ้นเรื่อยๆ

AUTHOR