กำเนิดโฉนดที่ดินแผ่นแรกในไทย และเมื่อโฉนดบอกว่าเมื่อก่อนพืชเศรษฐกิจไทยไม่ใช่ข้าว

กำเนิดโฉนดที่ดินแผ่นแรกในไทย และเมื่อโฉนดบอกว่าเมื่อก่อนพืชเศรษฐกิจไทยไม่ใช่ข้าว

Highlights

  • พาชม 'ขุมทรัพย์' ในพิพิธภัณฑ์กรมที่ดินที่จัดแสดงโฉนดที่ดินแผ่นแรก จุดเริ่มต้นของการออกเอกสารสิทธิในที่ดินในประวัติศาสตร์ไทย
  • หรือจะเป็นเครื่องรังวัดที่ดินรุ่นแรกที่นำเข้าจากอังกฤษ สมุดไทยดำโบราณ โฉนดแบบสำคัญต่างๆ รวมถึงโฉนดที่เล็กที่สุดในโลกขนาด 0.1 ตารางวา
  • หลักฐานต้นขั้วโฉนดที่บ่งบอกว่า พืชเศรษฐกิจของเราเมื่อก่อนนี้ไม่ใช่ข้าว แต่น่าจะเป็นหมาก ทั้งหมากเอก หมากโท และหมากตรี

เนื่องจากเราเคยคุ้นหน้าคุ้นตาอีกทั้งลีลาการเล่าเรื่องสุดสนุกของ ชัยวัฒน์ ไชยประเสริฐ จากจอทีวีในฐานะหนึ่งในผู้เข้าแข่งขันแฟนพันธุ์แท้พิพิธภัณฑ์ไทยอยู่แล้ว เมื่อเขาออกปากเชื้อเชิญเราไปดู ‘ขุมทรัพย์’ ในพิพิธภัณฑ์กรมที่ดิน ที่เขาปฏิบัติการภัณฑารักษ์เป็นการประจำอยู่ เราจึงรีบตอบตกลงและนัดหมายวันเวลาทันทีเพราะงานนี้ต้องไม่ธรรมดาแน่นอน

ก่อนจะเดินทางไป เราค้นข้อมูลพบว่าพิพิธภัณฑ์กรมที่ดินนั้นตั้งอยู่บริเวณชั้น 2 ของสำนักงานที่ดินกรุงเทพมหานคร และเมื่อดูจากภาพในอินเทอร์เน็ตแล้วทำให้เราคิดไปเองว่าคงไม่มีของอะไรมาก ด้วยพื้นที่ที่เล็กพอสมควร แต่เมื่อเราไปถึง ปรากฏว่าคุณชัยวัฒน์สามารถหยิบยกข้าวของ วัตถุ และเรื่องเล่าเชิงลึกมากมาย ซึ่งซุกซ่อนบรรจุไว้แน่นเต็มพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็น ‘พระคันธารราษฎร์’ หรือ ‘พระปางขอฝน’ ที่เชื่อมโยงกับการทำเกษตรกรรมบนผืนแผ่นดิน, เครื่องรังวัดที่ดินรุ่นแรกที่นำเข้ามาจากอังกฤษ, สมุดไทยดำโบราณ รวมถึงโฉนดแบบสำคัญต่างๆ เช่น โฉนดสวน ที่มีต้นขั้วให้รัฐเก็บไว้ ส่วนตัวใบโฉนดราษฎรจะสามารถฉีกดึงไปได้ ซึ่งต้นขั้วที่เหลืออยู่นี้บ่งบอกว่า พืชเศรษฐกิจของเราเมื่อก่อนนี้ไม่ใช่ข้าว แต่น่าจะเป็นหมาก ทั้งหมากเอก หมากโท หมากตรี จนมาถึงสมัยจอมพล . พิบูลสงคราม สั่งให้คนไทยหยุดเคี้ยวหมากนั่นแหละจึงค่อยๆ หดหายไป หรือแม้แต่โฉนดที่เล็กที่สุดในโลกคือ 0.1 ตารางวา รวมไปถึงโฉนดที่ดิน จังหวัดพระตะบอง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินที่ตั้งเขาพระวิหาร (!) เรียกได้ว่าอีกเป็นปีๆ ก็คงเรียนรู้กันไม่จบไม่สิ้น แถมคุณชัยวัฒน์ยังกระซิบบอกเราว่าที่อยู่ในห้องนี้นั้นเป็นเพียงส่วนเล็กๆ เพราะยังมีของที่รักษาในคลังอีกมาก

พิพิธภัณฑ์กรมที่ดินเปิดทำการเมื่อวาระ 100 ปีกรมที่ดินเมื่อ .. 2544 แต่วัตถุที่เรามีนั้นย้อนไปถึงสมัยการก่อตั้งเมื่อ 100 ปีที่แล้ว ตรงกับรัตนโกสินทรศก 120”

ว่าแล้วภัณฑารักษ์ของเราจึงผายมือไปยังหนึ่งในขุมทรัพย์ชิ้นเอกที่มาจากยุคนั้น มีสำเนาจัดแสดงอยู่กลางห้อง นั่นก็คือ ‘โฉนดที่ดินแผ่นแรก’ เป็นจุดเริ่มต้นของการออกเอกสารสิทธิในที่ดินในประวัติศาสตร์ไทยนั่นเอง 

ในราว ร.ศ. 117 หรือต้น ร.ศ. 118 กระทรวงพระคลังฯ คิดออกหนังสือสำหรับที่ดินขึ้นอย่างหนึ่งเรียกว่าโฉนดตราจอง มีเหตุเริ่มจากรัฐบาลได้อนุญาตให้บริษัทขุดคลองแถวทุ่งหลวงคลองรังสิตและขายที่ดินสองฝั่งคลองให้แก่ประชาชนรับซื้อไปแล้ว แต่รัฐบาลยังมิได้ออกหนังสือสำคัญให้แก่บริษัท อีกทั้งบริษัทก็ยังมิได้หักโอนให้แก่ผู้รับซื้อเด็ดขาด ซึ่งในเบื้องต้นมีการจัดทำโฉนดตราจองตามแผนที่ของบริษัทซึ่งไม่ประสบความสำเร็จจนต้องยกเลิกไปในที่สุด จนแล้วจนรอดใน .. 119 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เรียกประชุมเสนาบดี ทรงปรึกษาว่าการออกหนังสือสำคัญสำหรับที่ดินเป็นสิ่งจำเป็นแล้วไม่ควรจะหยุด เพราะบ้านเมืองก็เจริญขึ้นและที่ดินมีราคาขึ้นกว่าแต่ก่อน เมื่อออกหนังสือสำหรับที่ดินแล้ว การเก็บอากรก็สะดวก การวิวาทบุกรุกแย่งชิงที่ดินก็จะเบาบางลง สุดท้ายจึงมีประกาศตั้งพระยาอาหารบริรักษ์ (ผึ่ง ชูโต) เป็นข้าหลวงพิเศษจัดการที่ดิน และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งศาลขึ้นพร้อมกันเรียกว่าศาลเกษตร สำหรับเป็นเครื่องมือชำระคดีเรื่องที่ดินในเขตที่จะออกโฉนดแผนที่อย่างใหม่

เขตที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ไปออกโฉนดข้างต้นคือ ตั้งแต่แยกบางไทรจรดแยกแควสีกุดตลอดถึงจังหวัดพระนครศรีอยุธยา

และเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน .. 120 ก็เริ่มลงมือเดินรังวัดหมายเขตที่ดินตามประกาศกระแสพระบรมราชโองการและทำที่บ้านพลับ ตำบลเกาะเกิด ท้องที่อำเภอพระราชวังบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นปฐมฤกษ์ ตามที่ปรากฏในโฉนดแผ่นแรกนี้เอง

ท่านทรงมีวิสัยที่กว้างไกลมาก เพราะนอกจากกรณีพิพาทแล้ว ไม่กี่ปีต่อมาท่านทรงเลิกทาส หากทาสไม่มีที่ทำกินก็กลับไปขายตัวเป็นทาสอีก เลยออกโฉนดเป็นตัวอย่าง โดยออกในราชนิกูลก่อนแล้วจึงตกถึงข้าราชบริพาร จากนั้นจึงเป็นประชาชนคนทั่วไป รู้ไหมว่าทุกวันนี้ประเทศเรายังออกโฉนดไม่ครบเลย สืบกลายมาเป็นเจตนารมณ์ของกรมที่ดินที่จะต้องออกให้ครบทั้งแผ่นดินให้ได้คุณชัยวัฒน์เล่า

กลับมาที่โฉนด นอกจากลายพระหัตถ์ของรัชกาลที่ 5 แล้ว เรายังจะได้เห็น ‘ตราแผ่นดิน’ ประทับอยู่ตรงหัวเอกสารอย่างสง่างาม ตรานี้เป็นผลงานการออกแบบโดยเสวกเอก หม่อมเจ้าประวิช ชุมสาย พระโอรสในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าชุมสาย กรมขุนราชสีหวิกรม ผู้ผูกตราประจำประเทศขึ้นเป็นครั้งแรกใน .. 2416 โดยอิงกับหลักการผูกตราอาร์มของทางยุโรป

แน่นอนว่าในตรานี้จะสังเกตว่ามีเครื่องราชกกุธภัณฑ์บ่งบอกว่าเป็นของพระมหากษัตริย์ ( ‘กกุธ’ แปลว่า เครื่องหมายความเป็นพระราชา บวกกับ ‘ภณฺฑ’ แปลว่า ของใช้) ประกอบด้วยภาพพระมหาพิชัยมงกุฎเปล่งรัศมี ครอบบนภาพจักรและตรีไขว้ เรียกว่า ตรามหาจักรี อันเป็นพระบรมราชสัญลักษณ์ที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (รัชกาลที่ 1) ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเพื่อเป็นเครื่องหมายแทนนามราชวงศ์จักรี ขนาบข้างด้วยพระมหาพิชัยมงกฎ ฉัตร 7 ชั้น จากนั้นจึงเป็นโล่ ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ห้อง มีความหมายอ้างอิงถึงขอบขัณฑสีมาทั้งหมดของประเทศสยามในเวลานั้น

กล่าวคือ ห้องด้านบนเป็นภาพช้าง 3 เศียร หมายถึง สยามเหนือ สยามกลาง และสยามใต้ ห้องล่างด้านขวาเป็นภาพช้างเผือก หมายถึงประเทศราชลาวล้านช้าง ห้องล่างด้านซ้ายเป็นภาพกริชคดและกริชตรงไขว้กัน หมายถึง หัวเมืองประเทศราชมลายู นั่นเอง

หลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครองใน พ.. 2475 ตราแผ่นดินนี้ถูกเปลี่ยนไปเป็น ‘ตราครุฑ’ อย่างที่เราคุ้นกัน

โฉนดฉบับนี้ถูกห่อเก็บไว้ในกระดาษไมลาร์ไร้กรด อย่างไรก็ดีเราสังเกตเห็นว่าตรงแถบขอบด้านซ้ายมีร่องรอยของการซ่อมแซม เป็นสีกระดาษที่จางกว่าฉบับออริจินอลเล็กน้อย ซึ่งคุณชัยวัฒน์บอกเราว่าต้นฉบับจริงเคยถูกน้ำหมึกปากการอตริงหกใส่ โชคดีที่วัตถุนี้ได้รับเลือกไปอนุรักษ์โดยเจ้าหน้าที่กรมศิลปฯ ใช้เวลาเป็นปีเพื่อสกัดน้ำหมึกออก และมีการปลูกกระดาษขึ้นมาใหม่คล้ายการปลูกถ่ายไขกระดาษในอายุใกล้เคียงกับต้นฉบับ จากที่เคยแหว่งขาดจึงกลายเป็นขอบเต็มตรงสวยงามดังที่เราเห็น

จุดที่น่าสนใจไม่ได้มีแค่ด้านหน้านะ ด้านหลังก็มีไฮไลต์ที่จะทำให้เรารู้ได้ว่าปัจจุบันที่ผืนนี้เป็นของใครภัณฑารักษ์ของเรายิ้ม แล้วบรรจงพลิกด้านหลังโฉนดให้เราดู ปรากฏว่านอกจากจะมีภาพจำลองแผนที่ของที่ดินวาดไว้ ยังมีการระบุ ‘สาระบาญแก้ทะเบียฬ’ ไว้ว่าในวันที่ 21 ตุลาคม .. 2520 ได้มีการเปลี่ยนชื่อเจ้าของจาก ‘สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ วชร.’ ไปเป็น ‘กระทรวงการคลัง (เพื่อประโยชน์ในการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม) พระราชวัง’ จากนั้นจึงเปลี่ยนอีกครั้งในวันที่ 8 ตุลาคม .. 2533 ไปให้ ‘สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม’

สิ่งนี้ชี้ให้เห็นว่าในหลวงรัชกาลที่ 9 พระองค์ทรงเห็นความสำคัญของงานเกษตรกรรมมาก จึงพระราชทานที่ดินแปลงนี้ให้สำนักงานการปฏิรูปที่ดินฯ เพื่อปันให้ชาวบ้านทำนา แต่ในขณะเดียวกันก็ป้องกันการซื้อ-ขายหรือจำนองที่ดินแปลงนี้ด้วยนั่นเอง น่าตื้นตันใจที่กระดาษเก่าแผ่นนี้แสดงให้เห็นพระมหากรุณาธิคุณตั้งแต่รัชกาลที่ 5 ยาวมาถึงรัชกาลที่ 9 เลย

อย่างไรก็ดีสำหรับคนทั่วไป สิ่งนี้อาจจะไม่ได้แสดงถึงเพียงเรื่องราวจากประวัติศาสตร์อย่างเดียว แต่ยังคงมีบทบาททางความเชื่อ โดยจะเห็นว่ามีผู้ประกอบธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เข้ามาบูชาโฉนดชิ้นนี้กันมากมาย เนื่องจากเชื่อว่าจะทำมาค้าขายที่ดินได้คล่องแคล่ว จนเป็นที่มาของการทำสำเนาจำหน่ายเป็นของที่ระลึก มีทั้งไซส์เล็ก-ใหญ่ หลายราคาว่ากันไป

คนเข้ามาไหว้กันทุกๆ วันอังคาร นำบัตรแนะนำตัวมาทิ้งไว้ เขาพูดกันเองว่าได้เงินเป็นสิบๆ ล้าน อันนี้เขาทำของเขาเอง ผู้ปกครองควรชี้แนะคุณชัยวัฒน์กล่าวทิ้งท้ายด้วยรอยยิ้ม


พิกัดขุมทรัพย์

พิพิธภัณฑ์กรมที่ดิน ตั้งอยู่บนชั้น 2 สำนักงานที่ดินกรุงเทพมหานคร
ถนนราชินี แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร 10200

เปิดเฉพาะวันอังคาร 9:00-17:00 .
ผู้สนใจเข้าชมควรติดต่อเบื้องต้นล่วงหน้า โทร. 02-222-6131-40
dol.go.th/museum

AUTHOR