“เราคืออีเทอร์นัลส์ เรามาถึงที่นี่เป็นพันๆ ปีแล้วเพื่อปกป้องมนุษย์จากเหล่าดีเวียนท์ส และถูกสั่งห้ามไม่ให้แทรกแซงเรื่องของมนุษย์ เว้นแต่มีเรื่องของดีเวียนท์สมาเกี่ยวข้อง”
ภาพยนตร์เรื่องล่าสุดของ มาร์เวล สตูดิโอ ที่กำกับโดยผู้กำกับรางวัลออสการ์อย่าง โคลอี้ เจา มีกลิ่นอายที่สวยละมุนแปลกใหม่ รสชาติที่แตกต่าง และเนื้อหาที่ฉีกแนวจนไม่คุ้นเคย สมเป็นภาพยนตร์เรื่องแรกๆ ของ ‘เฟส 4’ ค่ายมาร์เวลที่บอกว่า สิ่งที่เล่าในหนังหลายเรื่องก่อนหน้าเป็นระยะเวลาสิบกว่าปีได้ถูกปิดเรื่องราวแล้ว ต่อจากนี้ไปสิ่งใหม่กำลังเกิดขึ้นและรอเราอยู่
แต่การเริ่มใหม่ครั้งนี้แทนที่จะพาเราไปรู้จักฮีโร่รุ่นใหม่ กลับเลือกพาคนดูไปรู้จักกับกลุ่มฮีโร่พลังระดับเทพเจ้าที่มีหน้าที่ปกป้องโลกก่อนที่เหล่าอเวนเจอร์สจะถือกำเนิดซะอีก และอันที่จริง ฮีโร่กลุ่มอีเทอร์นัลส์คอยปกป้อง ดูแล สอดส่อง และประคบประหงมสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า ‘มนุษย์’ มาตั้งแต่แรกเริ่ม จนพูดได้ว่า หากไม่มีอีเทอร์นัลส์ ก็อาจไม่มีฮีโร่มาร์เวลทั้งหมดที่เราได้ดูไป
นี่คือเรื่องราวของฮีโร่รุ่นเก่าแต่หน้าใหม่ และจุดเปลี่ยนอันเกิดจากการที่พวกเขาตัดสินใจแทรกแซงชะตากรรมความเป็นไปของมนุษย์เป็นครั้งแรก ด้วยการปกป้องพวกเขาจากภัยที่อันตรายที่สุดที่เคยมีมา
(เนื้อหาต่อไปนี้เปิดเผยเนื้อหาสำคัญของภาพยนตร์ Eternals)
Eternals
สิ่งแรกที่ทำให้เราสนใจ Eternals ตั้งแต่ยังไม่ได้ถ่ายทำคือ แคสต์ที่อุดมไปด้วยความหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นชายชาวบริทิช, หญิงบริทิชเชื้อสายจีน, ชายชาวไอริช, หญิงชาวอเมริกัน, LGBTQ+ ผิวสี, เด็ก, หญิงผู้บกพร่องทางการได้ยิน, ละตินอเมริกัน, อินเดีย, เด็กผมแดง และชายชาวเกาหลี หนังมีการเฉลี่ยบทบาทของตัวละครจำนวนมากและหลากหลายขนาดนี้ได้อย่างดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ภายใต้ความยาวของหนังที่จำกัดเช่นนี้
เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นเมื่อการดีดนิ้วของธานอสและการนำประชากรโลกกลับมาอย่างเฉียบพลันด้วยการดีดนิ้วของมนุษย์ นำมาซึ่งการอุบัติที่ตัวอย่างและตัวหนังทำให้เราเข้าใจในทีแรกว่า การอุบัตินี้ทำให้เหล่า ‘ดีเวียนท์ส’ สิ่งมีชีวิตประหลาดดุร้ายสายพันธุ์ผู้ล่า กลับมาอีกครั้ง หรือทำให้เข้าใจว่ามีภัยครั้งใหญ่ที่อันตรายยิ่งกว่าครั้งไหนๆ กำลังจะเกิดขึ้น
หนังเล่าตัดสลับอดีตกับปัจจุบันว่า หลายพันปีมาแล้ว เอแจ็ก, ดรูอิก, คิงโก, ฟาสโตส, เซอร์ซี, ธีน่า, สไปรท์, มัคคารี, อิคาริส และกิลกาเมช 10 เทพเจ้ากลุ่ม ‘อีเทอร์นัลส์’ จากดาว ‘โอลิมเปีย’ ที่มีพลังแตกต่างกันออกไป ได้ถูกส่งมายังดวงดาวที่มีชื่อว่าโลกด้วยยานโดโม่เพื่อประจำการทำหน้าที่ปกป้องประชากรจากดีเวียนท์ส ที่เป็นอุปสรรคต่อการเจริญเติบโต แพร่ขยายพันธุ์ พร้อมทั้งมีส่วนช่วยในการสร้างอารยธรรม สิ่งประดิษฐ์ จนไปถึงอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ
ภารกิจอันยิ่งใหญ่?
ไม่ว่าจะหนังกี่เรื่องที่มาแนวนี้มักจะทำให้เราว้าวเสมอ หนังประเภทที่พูดถึงอะไรสักอย่างหรือใครสักคนที่สมมุติขึ้นมา แล้วมามีบทบาทข้องเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ หรือหักเหทิศทางความเข้าใจที่มีต่อสิ่งที่เรารู้จักและเคยได้ยินมาตลอด
Eternals
หนัง Eternals บ่งชี้ว่ากลุ่มอีเทอร์นัลส์แห่งโลกมีบทบาทกับดาวโลกเป็นอย่างมาก นอกจากการปกป้องและกำจัดดีเวียนท์สแล้ว พวกเขามีตัวตนอยู่ตั้งแต่หลายพันปีก่อนคริสตกาลหรือตั้งแต่ก่อนที่โลกจะมีสิ่งที่เรียกว่าศาสนา ผ่านยุคเมโสโปเตเมีย (อาณาจักรบาบิโลน) ผ่านจักรวรรดิแอซเท็ก ผ่านยุคสงครามโลก และดำเนินชีวิตอยู่ในหมู่มนุษย์มาจนถึงยุคปัจจุบันเพื่อรอสัญญาณเรียกกลับบ้าน หลังจากที่ดีเวียนท์สถูกกำจัดหมดไปเป็นร้อยปีแล้ว
สำหรับมนุษย์ตั้งแต่สมัยโบราณ มักจะมีการวาดภาพสิ่งที่อยู่เหนือความเข้าใจและไม่อาจเข้าใจได้ รวมไปถึงชะตากรรมและสิ่งที่เกิดขึ้นว่าเป็นเรื่องของ ‘พระเจ้า’ หรือเป็น ‘ลิขิตพระเจ้า’ ซึ่งดูเหมือนว่าสิ่งนั้นที่ดูจะใกล้เคียงสุดสำหรับชาวโลกในจักรวาลหนังมาร์เวลก็คือเหล่าอีเทอร์นัลส์ เหล่านี้ และนั่นรวมไปถึงเรื่องเข้าใจผิดเกี่ยวกับตำนานต่างๆ ที่ชาวโลกเชื่อเช่นกัน พวกอีเทอร์นัลส์ต่างก็เกี่ยวข้องด้วยไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
มีประโยคนึงที่ตัวละครเซอร์ซีพูดไว้ในคาบเรียนตอนต้นเรื่องว่า “สิ่งที่ทำให้ผู้ล่าสูงสุดแตกต่างจากสิ่งมีชีวิตจำพวกอื่นๆ คือไม่มีสัตว์ชนิดใดแข็งแกร่งพอที่จะล่าพวกมัน” เป็นประโยคที่กระทุ้งให้ตั้งคำถามที่ทุกคนเกิดมาแล้วต้องคิดสงสัยสักครั้งว่าในโลกใบนี้เราเป็นผู้ล่าสูงสุด แล้วใครเป็นผู้สร้างเรา และถ้าหากพระเจ้าหรือผู้สร้าง/ผู้บงการชะตากรรมเราอยู่เบื้องหลังมีอยู่จริง ใครเป็นคนสร้างผู้สร้างกับจักรวาลอันกว้างใหญ่นี้?
และหนังก็ให้คำตอบเราอีกว่า เหล่า ‘เซเลสเทียล’ เป็นผู้อยู่เบื้องหลังและเป็นผู้สร้างอีเทอร์นัลส์ รวมถึงทั้งจักรวาล กาแล็กซี ระบบสุริยะ และดาวเคราะห์ดาวฤกษ์อีกที (ซึ่งก็น่าตั้งคำถามเช่นกันว่า แล้วใครสร้างหรือยิ่งใหญ่กว่าเซเลสเทียลอีกมั้ย?) โดยมีเซเลสเทียลนามว่า ‘อริเชม (Arishem)’ เป็นผู้มอบหมายภารกิจให้เอแจ็กคุมทีมอีกที
หลังจากที่จบภารกิจและแยกย้ายไปใช้ชีวิตรอวันกลับดาวโอลิมเปีย การเสียชีวิตของเอแจ็ก กับการกลับมาของดีเวียนท์ส ทำให้อีเทอร์นัลส์ต้องรวมทีมอีกครั้ง
และการรวมทีมครั้งนี้นำมาซึ่งการค้นพบความจริงที่พวกอีเทอร์นัลส์ถึงกับช็อก นั่นคือพวกเขาเป็นเพียงหุ่นยนต์ที่ถูกมอบแบ็กสตอรี่ให้เหมือนแอนดรอยด์ในซีรีส์ Westworld ของช่อง HBO เพื่อรู้ไว้ว่า
“อีเทอร์นัลส์เป็นชาวโอลิมเปีย และมีหมุดหมายคือภารกิจของฝ่ายดีที่จะปกป้องโลกจากฝ่ายร้ายอย่างดีเวียนท์ส ก่อนที่จะถูกเรียกกลับและไปปกป้องดาวดวงใหม่ โดยหลังจากเสร็จภารกิจกำลังดีเวียนท์สหมดสิ้น ความทรงจำที่มีต่อดาวนั้นก็จะถูกรีเซ็ตใหม่เพราะสิ่งที่เรียกว่าความทรงจำก่อให้เกิดสายสัมพันธ์ สายสัมพันธ์นำมาซึ่งความรู้สึกกับอารมณ์ และความรู้สึกกับอารมณ์นำมาซึ่งความเสี่ยงที่จะมีผลกระทบต่อความสำเร็จของภารกิจ”
ในขณะที่ความเป็นจริงแล้วทั้งดีเวียนท์สและอีเทอร์นัลส์ที่รบราฆ่าฟันกันมานักต่อนักเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตที่เซเลสเทียลสร้างขึ้นเท่านั้น
ดีเวียนท์สที่เหล่าตัวเอกสู้มาตลอดเป็นสิ่งมีชีวิตชีวะที่เซเลสเทียลสร้างขึ้นเพื่อเป็นผู้ล่าและควบคุมจำนวนประชากรให้เหมาะสมแก่การอุบัติ ที่ที่แท้คือการถือกำเนิดขึ้นของเซเลสเทียลตนใหม่ หลังจากถูกฟูมฟักอยู่ในใจกลางโลกมานานนับล้านปี รอวันที่ประชากรโลกเพิ่มพูนอย่างสุกงอม เมื่อนั้นเซเลสเทียลนามว่า ‘เทียมัต (Tiamut)’ ก็จะอุบัติขึ้น และโลกก็จะแตกสลาย เหมือนไก่ที่ถูกฟักให้เกิดมาแล้วเปลือกไข่ที่ห่อหุ้มมาตลอดแตกออกและไร้ความสำคัญในภายหลัง
แต่เนื่องจากเซเลสเทียลไม่สามารถควบคุมสิ่งมีชีวิตได้เพราะพวกมันวิวัฒนาการเสมอ สิ่งมีชีวิตยักษ์ใหญ่จึงต้องสร้างอีเทอร์นัลส์ขึ้นมาในฐานะสิ่งมีชีวิตสังเคราะห์ที่ไม่สามารถเจริญเติบโตหรือวิวัฒนาการได้ และทำการมอบพลังที่แตกต่างเพื่อร่วมกันกำจัดผลงานผิดพลาดอย่างดีเวียนท์ส
อีเทอร์นัลส์จึงไม่ต่างจากหุ่นยนต์ใช้แล้วทิ้ง หรือใช้เพื่อวัตถุประสงค์ใดวัตถุประสงค์หนึ่งอย่างหุ่นยนต์ทำความสะอาดกลมๆ ในบ้าน อีกทั้งพวกเขายังไม่สามารถตายได้เพราะความทรงจำถูกจัดเก็บไว้ในฐานข้อมูล เมื่อไหร่ก็ตามที่ร่างชำรุดเสียหาย ก็จะถูกสร้างใหม่ด้วยลักษณะนิสัยเดิม แต่ไร้ความทรงจำ
ความเป็นจริงอันเจ็บปวด
“คิดมาตลอดว่าพวกเราเป็นฮีโร่ กลายเป็นว่าเป็นตัวร้ายซะอย่างงั้น” กิลกาเมชพูดออกมาด้วยความผิดหวัง
ความเป็นจริงนี้ทำร้ายพวกอีเทอร์นัลส์ทุกคนอย่างมาก ไม่รู้สิ่งไหนดีกว่ากันระหว่างการที่ไม่รู้อะไรเลย (ซึ่งก็ต้องรู้อยู่ดีเมื่อเป้าหมายภารกิจใกล้เข้ามา), การทำตามหน้าที่ให้แล้วเสร็จด้วยการปล่อยให้เทียมัตถือกำเนิดแล้วล้างความจำให้ลืมๆ ไปซะ กับการคิดต่อกรกับผู้สร้างอย่างเซเลสเทียลที่มีพลังล้นเหลือและไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะไปชนะหรือขัดขืนได้ยังไง
อีกทั้งอะไรคือคำว่า ‘ตัวตนที่แท้จริง (true self)’ กันแน่? พวกเขามีหน้าตา สีผิว เอกลักษณ์ ข้อบกพร่อง และชาติพันธุ์ ที่ถูกสร้างขึ้นอย่างจงใจทั้งที่จะสร้างให้แตกต่างกว่านี้ ดีกว่านี้ หรือถูกใจเจ้าของร่างกว่านี้ก็ได้ อะไรเป็นเหตุที่พวกเขาเป็นอย่างที่เป็นอยู่ ทุกอย่างดูไม่แฟร์ขึ้นมากกว่าที่ชีวิตกำลังเผชิญเมื่อเรารู้ว่าเรามีผู้สร้างและถูกเลือกที่รักมักที่ชัง เหมือนที่มนุษย์อย่างเราเกิดมาหน้าตาไม่เหมือนกัน บางคนเกิดมากรรมพันธุ์ดี บางคนเกิดมากรรมพันธุ์มีตำหนิ บางคนแข็งแรง บางคนแพ้ง่าย บางคนผิวดี บางคนผิวไม่ดี กับหน้าตารูปร่างที่มีความหลากหลายสูง
Eternals จึงเป็นหนังที่กำลังบอกเราว่าสิ่งที่เราทำระหว่างผู้อื่นกับสิ่งที่เราสร้างทิ้งไว้ สิ่งที่เราเรียนรู้และประสบการณ์ที่ได้พบเจอ ทั้งหมดนี้จะกลายเป็นความทรงจำและนิสัยใจคอที่ทั้งเป็นนามธรรมและเป็นรูปธรรมมีหลักฐาน ให้ผู้นั้นยังคงอยู่และมีตัวตน ยิ่งกว่ารูปลักษณ์หน้าตาเดิมๆ นิสัยพื้นฐานเดิมๆ และความทรงจำเซ็ตเดิมๆ ที่ต้องดำเนินตามลูปเดิมๆ ที่พวกเซเลสเทียลสร้างไว้ให้อีเทอร์นัลส์ยิ่งนัก
นั่นจึงเป็นสาเหตุให้ตัวละครธีน่าของ แองเจลิน่า โจลี่ ถูกเข้าใจผิดมาตลอดว่าเป็นอีเทอร์นัลส์บกพร่องด้วยโรคที่ชื่อว่า ‘มาห์ด ไวรี่ (Mahd Wy’Ry)’ หรือภาวะสูญเสียความทรงจำและสับสนด้วยความทรงจำที่กระจัดกระจาย (คล้ายๆ อัลไซเมอร์) ที่จะเกิดขึ้นหลังจากอีเทอร์นัลส์ใช้ชีวิตมาอย่างยาวนานถึงจุดจุดหนึ่ง ที่ตรงกันข้าม กลับเป็นผู้ที่ได้ของขวัญ เป็นผู้แข็งแกร่งมากกว่าผู้อ่อนแอ (แม้เธอจะทำให้ทีมมีปัญหาบ่อยครั้งก็ตาม) และเป็นผู้เดียวที่ยังคงเป็นตัวเองในขณะที่อีเทอร์นัลส์อื่นมองว่าเธอสูญเสียตัวตนมาตลอด
อาจดูย้อนแย้งแต่เป็นเช่นนั้น เพราะธีน่าเป็นผู้เดียวที่ยังสามารถระลึกถึงความทรงจำก่อนหน้าหรือจำสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตชาติของตัวเองได้ (ขอใช้คำไทยๆ เพื่อให้เห็นภาพในการนับแต่ละเวอร์ชั่นก่อนจะถูกรีเซ็ต)
จึงเป็นสาเหตุที่ทำไมถึงได้มีฉากธีน่าน้ำตาไหลพรากด้วยความกลัวและขอร้องว่าอย่าลบความจำเธอเลย เมื่อต้องรู้ว่าตัวเองกำลังจะถูกพรากความทรงจำไป เพราะอย่างที่กล่าวไปก่อนหน้านี้ ‘ความทรงจำ = ตัวตน’ หากเธอจำอะไรไม่ได้ ธีน่าก็จะไม่เป็นธีน่าคนเดิม สิ่งที่เธอเคยเรียนรู้ ประสบพบเจอ (ไม่ว่าจะดีหรือร้าย) และสร้างสิ่งต่างๆ ร่วมกับสถานที่และสิ่งมีชีวิตที่พบพานระหว่างการเดินทางก็จะสูญสลายหายไป
ไม่มีอะไรแย่ไปกว่านั้นอีกแล้ว ธีน่าถึงได้โล่งใจเมื่อเธอยังคงได้รับอนุญาตให้เก็บความทรงจำไว้
ตัวตน ทางเลือก หน้าที่ และศีลธรรม
สำคัญที่สุดเหนือสิ่งอื่นใด พวกเขาแต่ละคนมีเจตจำนงเสรีที่จะมีชีวิตอยู่หรือไม่ และเลือกที่จะทำ/ไม่ทำอะไรกับเรื่องนี้ในแบบที่เหมือนหรือแตกต่างกันยังไงบ้าง?
ความน่าประหลาดใจคือ ชอยส์ของอีเทอร์นัลส์แต่ละตนและ next move หลังค้นพบความจริงนั้นแตกต่างในแบบที่คลับคล้ายคลับคลากับประเภทคนในโลกความเป็นจริงอย่างมาก คนที่ดูแล้วจะสังเกตเห็นได้ว่า
อีเทอร์นัลส์บางตนอย่าง อิคาริส อีเทอร์นัลส์ที่ทรงพลังที่สุด กลับกลายเป็นซูเปอร์แมนผู้ชั่วร้าย (Evil Superman) ทำตามอริเชมนายใหญ่อย่างเคร่งครัดไม่สนใจความถูกต้อง ไม่ตั้งคำถาม ยึดมั่นในหน้าที่ รับคำสั่งและทำตามจนสุดทางโดยไม่สนทั้งเพื่อนร่วมทีมและเพื่อนมนุษย์ ไม่สนความผิดชอบชั่วดี เข้าข่าย ‘ทหารผู้ซื่อสัตย์ภักดี (loyal soldier)’
อีเทอร์นัลส์บางตนอย่าง คิงโก ทั้งที่มีพลังที่จะเปลี่ยนแปลงและสามารถทำอะไรได้ แต่กลับเลือกที่จะเพิกเฉยและเดินหนี ใครจะทำอะไร อะไรจะเกิดขึ้นก็ได้ เข้าข่าย ‘ผู้เพิกเฉย (ignorant)’
อีเทอร์นัลส์บางตนอย่าง สไปรท์ เลือกที่จะทำตามอารมณ์ ติดตาม และทำเพื่อตัวบุคคลมากกว่าภาพรวมของสังคม เข้าข่าย ‘ลัทธิบูชาตัวบุคคล (cult of personality)’
อีเทอร์นัลส์บางตนอย่าง กิลกาเมชกับเอแจ็ก เป็นผู้โชคร้ายที่เสียชีวิตไปซะก่อนที่จะมีการเปลี่ยนแปลงหรือสามารถทำอะไรได้ ต่อให้รู้ความจริงแล้วเขาก็เลือกไม่ได้ เพราะต้องใช้ชีวิตจนหมดลมหายใจไปกับความทรงจำอันเจ็บปวดเหล่านั้นซะก่อน เข้าข่ายผู้ถูกกดขี่ไร้ทางสู้ (the oppressed one)
และอีเทอร์นัลส์ที่เหลืออย่าง ดรูอิก, มัคคารี, เซอร์ซี, ฟาสโตส (ที่เหมือนจะหมดศรัทธาในตัวมนุษย์ในทีแรก) และธีน่า เข้าข่าย ‘นักปฏิวัติ (revolutionist)’ ที่เชื่อว่ายังมีความหวังในมนุษยชาติและสามารถเปลี่ยนแปลงอะไรๆให้ดีขึ้นได้ แม้จะตัวเล็กกว่าและโอกาสที่มีจะริบหรี่มากก็ตามที ตามที่เอแจ็กพูดในหนังว่า “เมื่อเรารักสิ่งใด เราสู้เพื่อมัน” อีเทอร์นัลส์เหล่านี้สู้เพื่ออิสรภาพของผู้คน
ส่วนบอสใหญ่อย่างเซเลสเทียลนั้นคือเผด็จการสูงสุด (supreme dictator) ที่สร้าง/มีกองกำลังและสั่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาทำภารกิจให้สำเร็จลุล่วงเพื่อสิ่งที่ยิ่งใหญ่ สิ่งที่พวกเขาคิดว่าดีโดยที่ไม่ถามความเห็น ขูดรีดพลังชีวิตผู้ด้อยกว่าเพื่อเติมเต็มและฟูมฟักให้กับพวกพ้องตัวเองรวมถึงลูกหลานตัวเองที่เกิดใหม่ หรือก็แค่ทำในสิ่งที่อยากทำเพราะทำได้
แต่ก็น่าตั้งคำถามเช่นกันว่าหากตัดความเชื่อมโยงเหล่านั้นกับความเป็นจริงแล้ว ในเรื่องนี้ใครถูกใครผิด? และอิคาริสถือว่าเป็นตัวร้ายหรือไม่?
ระหว่างเซเลสเทียลที่หวังจะสร้างพวกพ้องเพื่อให้กำเนิดดาวเพิ่ม ประชากรเพิ่ม สร้างพื้นที่อาณาเขตของจักรวาลกับดวงดาวเพิ่มโดยสังเวยสิ่งมีชีวิตแค่ไม่กี่ดาวและนานๆ ทีจะเกิดขึ้นครั้ง, อิคาริสผู้ทำตามหน้าที่อย่างไม่วอกแวกและไม่ไหวเอน ทั้งยังไม่ปล่อยให้อารมณ์มาเจือปนภารกิจ กับอีเทอร์นัลส์ฝั่งที่เชื่อในความดีงามของมนุษยชาติและเชื่อว่าสิ่งที่พวกเขาทำมันยิ่งใหญ่เกินกว่าจะเป็นแค่เบี้ยใช้แล้วทิ้งที่มีชีวิตอยู่และวิวัฒน์แค่เพื่อให้กำเนิดเซเลสเทียล
สำหรับอิคาริสที่ดูจะทรงพลังที่สุดนั้นก็น่าสงสารไม่น้อย เขาต้องจากลาคนที่เขารักโดยไม่บอกเหตุผล (แถมต้องเห็นคนรักมีแฟนใหม่เป็น จอน สโนว์ จากซีรีส์ Game of Thrones) เก็บงำความลับไว้คนเดียว เป็นคนเดียวในทีมที่ยึดมั่นกับอุดมการณ์ และเป็นผู้ที่ถูกสหายที่เดินทางร่วมต่อสู้กันมาเป็นพันๆ ครั้งทำหน้าผิดหวังใส่ ทั้งๆ ที่เขาเป็นคนเดียวที่ professional กว่าคนอื่นๆ
สุดท้ายอิคาริสผู้มีอำนาจล้นพ้นกว่าที่จะโค่นลงได้ ก็ได้พ่ายแพ้ต่อความรักและอารมณ์ส่วนตัวที่เขามีต่อเซอร์ซี ซึ่งไม่ใช่แค่นั้น ลึกๆ เขาเองก็รู้ว่าสิ่งที่เอแจ็กกับเซอร์ซีพูดถูกเรื่องที่ว่า มีคุณงามความดีในตัวมนุษย์มากมาย และพวกเขาสามารถทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่เกินตัวได้มากอย่างไม่รู้จบ แล้วเลือกปิดฉากกับรับผิดชอบกับสิ่งที่ได้ทำลงไป ด้วยการปิดเข้าหาดวงอาทิตย์เหมือนตำนานอิคารัสกับปีกขี้ผึ้งที่เป็นต้นแบบของตัวละครนี้
ส่วนเหล่าอีเทอร์นัลส์ก็ร่วมมือกันหยุดยั้งการกำเนิดของเทียมัตสำเร็จ
ความรัก ศรัทธา ความเชื่อมั่น ความถูกต้อง ตัวตน และหน้าที่ ทั้งหมดคือความน่าสนใจที่ชวนขบคิดหรือนำไปพูดคุยต่อมากกว่าที่จะดูฉากแอ็กชั่นและเสพความบันเทิงจากภาพสวยๆ เพลงเพราะๆ CGI งามๆ แล้วจบไป
นั่นคือสาเหตุที่ทำไม Eternals ถึงเป็นหนังที่น่าจดจำที่สุดเรื่องนึงของจักรวาลมาร์เวล เพราะหนังเต็มไปด้วยประเด็นทางด้านปรัชญา สังคม ความสัมพันธ์ และมนุษยศาสตร์ เหล่านี้
น่าเสียดายอย่างยิ่งที่หนังเรื่องนี้เป็นหนังแยกเดี่ยวและมีแววว่าเป็นหนังภาคเดียวจบ หลังจากทุกสิ่ง ทุกความน่าจดจำของตัวละคร และเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในหนังที่ทำให้คนดูรู้สึกผูกพันและชื่นชอบอีเทอร์นัลส์เหล่านี้ไปแล้ว แต่อย่างน้อยๆ เราจะได้เห็นตัวละครจากหนัง Eternals กันอีกในอนาคตเป็นแน่ ถือว่าเป็นเรื่องดีที่ได้ดูหนังเรื่องนี้
และจะไม่แปลกใจเท่าไหร่นักถ้ามีการพูดถึงหนังมาร์เวลที่ชอบที่สุดแล้ว Eternals จะอยู่ในลิสต์นั้น