‘ทำไมเราถึงมักรู้สึกหมดไฟจะทำอะไรในตอนที่อายุเพิ่มขึ้นกันนะ’ หากย้อนมองกลับไปในวัยเด็กคำว่า ‘แพชชัน’ มันยังฟูฟ่องอยู่ในใจ ทว่าการเติบโตกลับทำให้มันค่อยๆ แฟบลงอย่างน่าใจหาย
อาจเป็นเพราะอายุที่มากขึ้นต่างก็แลกมาซึ่งการแบกรับความคาดหวังจากสังคม การเผชิญกับปัญหาในแต่ละวัน รวมถึงปัญหาเรื่องสุขภาพที่แวะเวียนมาทำให้เรารู้สึกไม่มั่นคง และอีกมากมายที่หลายคนคงเคยพบเจอ
แต่ก็ยังมีเรื่องราวของผู้หญิงคนหนึ่งที่ทำให้ความหลงใหลแบบเด็กๆ ของตัวเองผลิบานอีกครั้งในวัย 64 ปี เพื่อการทำตามความฝันครั้งใหญ่ และกลายเป็นหนึ่งในการว่ายน้ำอันน่าจดจำครั้งหนึ่งของโลก กับการว่ายน้ำจากประเทศคิวบาไปรัฐฟลอริดาโดยไม่ใช้กรงกั้นฉลาม ซึ่งใช้เวลาไปทั้งหมด 52 ชั่วโมง 54 นาที
นำมาสู่คำถามในใจว่าถ้าเราอายุเท่ากับเธอ เราจะยังคงทำตามความฝัน และมีแพชชันเต็มเปี่ยมเหมือนเธอไหมนะ
เรากำลังพูดถึงเรื่อง Nyad (2023) ภาพยนตร์ที่ดัดแปลงมาจากชีวิตจริงของ ‘ไดอานา ไนแอด’ เรื่องราวว่าด้วยหญิงสาวอเมริกัน ผู้มีความหลงใหลในการว่ายน้ำจนนำไปสู่ภารกิจสุดท้าทาย
หลายคนอาจบอกว่าถ้าเป็นวัยหนุ่มสาวอะไรก็ดูเป็นไปได้ ใครๆ ก็คว้าชัยตั้งแต่อายุยังน้อย แต่สำหรับไดอานา วัยหนุ่มสาวเป็นเพียงจุดเริ่มต้นก่อนที่ความฝันเท่านั้น
ก่อนหน้านี้เธอเริ่มต้นด้วยการว่ายข้ามช่องแคบที่มีระยะทางไกลราว 160 กิโลเมตรในอายุ 28 ปี แต่เธอก็พบกับความล้มเหลว และกลับมาสานต่อมันอีกครั้งในวัยเกษียณ ซึ่งแม้จะต้องผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่า ท้ายที่สุดเธอก็ทำมันสำเร็จจนได้
ภาพยนตร์นี้เป็นผลงานการกำกับของคู่รักนักสร้างหนังอย่างอลิซาเบธ ไช วาซาร์เฮลยิ (Elizabeth Chai Vasarhelyi) และ จิมมี่ ชิน (Jimmy Chin) เจ้าของผลงานภาพยนตร์สารคดีรางวัลออสการ์ Free Solo (2018) Meru (2015) และ The Rescue (2021)
ความน่าสนใจแรกของหนังเรื่องนี้คือการเล่าเรื่อง ที่ดัดแปลงมาจากชีวิตจริงของไดอานา จึงให้ความรู้สึกเหมือนดูสารคดีที่มาพร้อมความ Cinematic หรือ สุนทรียะทางภาพยนตร์ ที่ทำให้รู้สึกลุ้นเอาใจช่วย และตื้นตันในตอนจบ
เส้นเรื่องหลักจะเล่าถึงช่วงเวลาของไดอานาวัยเกษียณ และเบื้องหลังว่าเธอต้องพบเจอกับการเริ่มต้นใหม่กับความฝันอีกครั้ง แม้จะดูเป็นเรื่องธรรมดา แต่สำหรับคนอายุ 60 อย่างเธอกลับไม่ใช่เรื่องง่าย
อย่างการเลือกชุดว่ายน้ำคู่ใจตัวใหม่ การฝึกฝนร่างกายให้กลับมาฟิตอีกครั้งด้วยการออกกำลังกาย และเข้าคอร์สว่ายน้ำสุดเข้มโดยโค้ชคนสนิท ทำให้เห็นว่ากว่าเธอจะคว้าชัยเอาไว้ได้มันไม่ง่ายเลย ไม่เพียงแต่ต้องต่อสู้กับร่างกาย แต่รวมไปถึงจิตใจด้วยเช่นกัน
ระหว่างทางยังการสอดแทรกเรื่องราววัยเด็กอันแสนเจ็บปวดของไดอานา ที่เป็นเหมือนจิ๊กซอว์ไว้ให้ผู้ชมได้ค่อยๆ ต่อ ผสมผสานเข้ากับฟุตเทจภารกิจว่ายน้ำสุดโหดครั้งแรกของเธอตอนอายุ 28 ในปี 1978
ความสมจริงของเรื่องราวมาพร้อมกับการแสดงแบบขั้นเทพของนักแสดงอย่าง แอนเน็ตต์ เบนิง (Annette Bening) ผุู้รับบท ไดอานา ไนแอด ที่เอาคนดูแบบอยู่หมัด ด้วยทุกท่วงท่าของการว่ายน้ำสุดโปร ซึ่งกินแอร์ไทม์ของเรื่องไปแล้วครึ่งหนึ่งนั้น ทำให้อดคิดไม่ได้ว่านักแสดงสาวต้องฝึกฝนทักษะเหล่านี้มามากแค่ไหน อีกทั้งความแข็งแรงที่่ส่งผ่านร่างกายและแววตา ก็ทำให้รู้สึกเชื่อได้ว่านี่คือนักกีฬาว่ายน้ำที่กำลังทำสิ่งอันยิ่งใหญ่ และพาให้รู้สึกเอาใจช่วย แม้จะรู้ตอนจบอยู่แล้วว่าการว่ายน้ำครั้งนี้ของเธอมันทำมันสำเร็จแล้วก็ตาม
‘คลื่นที่ถาโถมในชีวิตจริง’
ท่ามกลางอุปสรรคที่เกิดขึ้นระหว่างภารกิจแห่งฝันนี้ เราจะเห็นได้ถึงการต่อกรกับท้องทะเลที่แสนกว้างใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นคลื่นลมที่ควบคุมไม่ได้ และสัตว์ทะเลอย่างฉลาม แมงกะพรุนกล่องที่พร้อมจะจู่โจมเธอทุกเมื่อ
หากลองมองย้อนกลับมาในชีวิตจริงของคนธรรมดาอย่างพวกเรา ที่ต้องเจอกับอุปสรรคในแต่ละวัน ตั้งแต่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ สร้างความรู้สึกไม่สบายใจ ไปจนถึงคลื่นลูกใหญ่ที่ฝากความเจ็บปวดเอาไว้ มันก็เหมือนกับไดอานาที่เผชิญกับอุปสรรคมากมายในท้องทะเล ซึ่งคงทำให้เราต่างเข้าใจ เจ็บปวด และฮึดสู้ไปพร้อมกับเธอได้ไม่ยาก
นอกจากหนังจะชวนให้เราลุ้นเอาใจช่วยไดอานาแล้ว ยังฉายให้เห็นพลังของแพชชันต่อการว่ายน้ำ ซึ่งนับเป็นอีกหนึ่งประเด็นที่น่าสนใจ เพราะในทางกลับกันหนังก็พาให้เราพบว่าแท้จริงแล้วอุปสรรคที่ยากพอๆ กันอยู่ใกล้ตัวเธอกว่าที่คิด จากบทพูดตอนหนึ่ง “คุณอายุ 60 แล้วโลกก็ตัดสินว่าคุณเป็นโครงกระดูกเดินได้”
ประโยคที่แค่ฟังก็สัมผัสได้ถึงความเจ็บปวด ชวนให้เราตั้งคำถามว่า ‘นั่นสิ เพราะอะไรกันที่ทำให้คนวัยนี้ถูกขีดกรอบไว้กับตัวเลขสองหลักนี้’ อาจจะเป็นเพราะชุดความคิดบางอย่างของคนในสังคมที่มองมายังคนอายุวัยนี้ว่า ร่างกายคงไม่เหมาะกับการทำกิจกรรมเสี่ยงๆ ซึ่งหากมองในแง่หนึ่งก็ดูหวังดี แต่อีกมุมก็เหมือนเป็นการปิดกั้นคนๆ หนึ่งในการทำสิ่งที่ชอบ ซึ่งการที่ไดอานายังคงมุ่งมั่นทำตามฝันต่อได้ ไม่ได้มีเพียงปัจจัยเรื่องร่างกาย และจิตใจ แต่ยังรวมถึงสภาพแวดล้อมอีกด้วย
เมื่อมีวันที่คลื่นซัดแรง ย่อมมีวันที่มันเงียบสงบ พัดพาแสงสว่างมาสู่ไดอานา ซึ่งหมายถึงกลุ่มคนที่เข้าใจ และคอยอยู่เคียงข้างเธอตลอดการทำภารกิจนี้ อย่างโค้ชประจำตัว กัปตันนักเดินเรือมือฉมัง แพทย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านแมงกะพรุนกล่อง ผู้เชี่ยวชาญด้านฉลาม
อีกมุมเปรียบเหมือนคนรอบข้าง หรือคนในครอบครัว ทำให้เห็นว่าความเชื่อใจที่ได้รับจากคนเหล่านั้นส่งผลต่อความเชื่อมั่น ซึ่งกลายเป็นส่วนหนึ่งในความสำเร็จของไดอานา โดยหากขาดไปคงจะไม่มีเธอในทุกวันนี้
อีกหนึ่งประเด็นที่หนังได้เล่าคือความกล้าที่จะลองทำตามความฝัน ซึ่งกว่าที่ความสำเร็จจะมาสู่ไดอานา เธอก็ต้องพบเจอกับความปั่นป่วนในจิตใจที่เปรียบเสมือนคลื่นใต้น้ำ อันเกิดจากความพ่ายแพ้ถึง 4 ครั้ง แม้จะผิดหวังแต่ช่วงเวลาเหล่านั้นเกิดขึ้นได้ก็เพราะความกล้าหาญในครั้งแรก จับมือกับไฟแห่งความเชื่อ หรือแพชชันที่จะทำมันให้ได้ แม้เธอจะเข้าสู่ช่วงอายุนี้แล้วก็ตาม
ทุกองค์ประกอบที่ได้กล่าวมา ต่างส่งผลให้เธอประสบความสำเร็จ สะท้อนให้เห็นว่าไม่ว่าจะวัยไหนทุกความฝันก็สามารถเป็นจริงได้ และลูกโป่งแห่งแพชชันก็ยังฟูฟ่องอยู่ในใจของไดอานามาตลอดไม่เปลี่ยนแปลง
หนังทำให้เราตกตะกอนถึงการทำตามความฝันไม่ได้แปรผันตามอายุ ซึ่งประเด็นนี้มีความร่วมสมัยกับสังคมไทย ที่เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มรูปแบบ รวมถึงเป็นการชวนตั้งคำถามว่าสังคมพร้อมจะเรียนรู้ เข้าใจ และโอบรับพวกเขาที่พร้อมจะลุกขึ้นมาทำในสิ่งที่รัก หรือทำตามความฝันที่ยังคงลุกโชนอยู่ในหัวใจ เพราะแม้มนุษย์จะเติบโตขึ้นทุกวัน แต่ทว่าความฝันไม่สามารถเลือกอายุของผู้ที่จะไขว่คว้าได้ และคงไม่มีใครอยากเป็นผู้ถูกเลือกให้ต้องละทิ้งซึ่งสิ่งนั้นเช่นกัน
ที่มารูปภาพประกอบ
https://blackbearpictures.com/film-and-tv/nyad
ข้อมูลเพิ่มเติม
https://www.imdb.com/name/nm1888091/?ref_=tt_ov_dr