จากซดน้ำมันสู่ชาร์จไฟฟ้า เมื่อมนุษย์ขับรถยนต์เพื่อเคลื่อนโลกให้กรีนขึ้น

จากซดน้ำมันสู่ชาร์จไฟฟ้า เมื่อมนุษย์ขับรถยนต์เพื่อเคลื่อนโลกให้กรีนขึ้น

Highlights

  • รถยนต์เป็นสิ่งประดิษฐ์ที่ถูกพัฒนาอย่างต่อเนื่อง มีนวัตกรรมใหม่ๆ เกิดขึ้นมาอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถขับขี่ได้อย่างมั่นใจในความปลอดภัย
  • แต่ในปัจจุบันที่รถยนต์ทุกแบรนด์ล้วนชูจุดเด่นเรื่องความปลอดภัย คนรุ่นใหม่จำนวนไม่น้อยที่กำลังเลือกซื้อรถ จึงไม่ได้พิจารณาแค่ความปลอดภัยอีกต่อไป แต่ยังมองไปถึงปัจจัยอื่นๆ ที่เข้ากับความเชื่อ ความชอบ และไลฟ์สไตล์ของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องดีไซน์ การรักษ์โลก และอื่นๆ อีกมากมาย
  • รถยนต์ไฟฟ้าคือชอยส์หนึ่งที่เป็นเทรนด์ในหมู่คนรุ่นใหม่มาสักพักแล้ว ทั้งด้วยความแตกต่างเรื่องดีไซน์และตอบโจทย์ของคนสมัยนี้ที่ใส่ใจอยากเห็นโลกดีขึ้นผ่านการใช้ชีวิตของตัวเอง

จ้วงข้าวเช้าแบบรีบๆ ก่อนไปเรียน แอบปัดมาสคาร่าตอนรถติดก่อนไปทำงาน หรือเปิดเพลงดังๆ ระหว่างขับรถเที่ยวกับแก๊งเพื่อนในวันหยุด เพราะการจราจรในบ้านเมืองเราช่างติดแสนติด ตั้งแต่เล็กจนโตชีวิตของคนรุ่นใหม่หลายคนเลยหมดเวลาส่วนใหญ่บนท้องถนน

การจะเลือกซื้อรถสักคันจึงไม่ใช่แค่เรื่องเล่นๆ แต่ต้องศึกษาให้ดีถึงนวัตกรรมภายใน ประหยัดน้ำมันบ้างไหม ส่งผลเสียต่อสิ่งแวดล้อมหรือไม่ เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของเราแค่ไหน

ก่อนจะเป็นเจ้าของรถคันใหม่ ชวนมาถอดรหัสเทรนด์ยานยนต์โลก จากอดีตถึงปัจจุบัน ตั้งแต่รถยนต์เติมน้ำมันสู่ยานพาหนะที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานทางเลือก เผื่อไว้ใช้ประกอบการตัดสินใจ

 

จากน้ำมันสู่ไฟฟ้า

ประเภทรถยนต์ที่เราเห็นกันบ่อยที่สุดในชีวิตประจำวันคือ รถยนต์สันดาปภายใน (Internal Combustion Engine: ICE) ซึ่งถือกำเนิดขึ้นบนโลกมากว่าร้อยปีแล้ว รถยนต์ประเภทนี้ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์และใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิง รถยนต์ประเภทนี้ได้รับความนิยมสูงสุดในปัจจุบัน สังเกตได้จากปั๊มน้ำมันที่กระจายตัวอยู่ทั่วประเทศ ข้อเสียของรถยนต์สันดาปภายในคือมันปล่อยมลพิษทางเสียง และระหว่างขับก็มีการปล่อยไอเสีย อันเป็นต้นเหตุหนึ่งของปัญหา PM2.5

เมื่อเชื้อเพลิงที่มาจากฟอสซิลนับวันจะลดน้อยลง และคนเริ่มให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น รถยนต์รุ่นถัดมาจึงถูกพัฒนาเป็นรูปแบบ รถยนต์ไฮบริด (Hybrid Electric Vehicle: HEV) ที่เพิ่มระบบไฟฟ้าเข้าไปเป็นตัวขับเคลื่อนคู่กับน้ำมัน รถยนต์ประเภทนี้ช่วยประหยัดพลังงานได้มาก แต่ข้อเสียคือภาระค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมค่อนข้างสูง เนื่องจากเป็นรถที่มีทั้งระบบเครื่องยนต์และระบบไฟฟ้า

รถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด (Plug-in Hybrid Electric Vehicle: PHEV) คือรถยนต์ที่พัฒนาต่อยอดจากรถยนต์ไฮบริด มีเครื่องยนต์ทั้งแบบมอเตอร์ไฟฟ้าและน้ำมันเชื้อเพลิงเช่นเดียวกัน แต่พิเศษตรงที่ในส่วนแบตเตอรีสามารถชาร์จได้ที่บ้านหรือตามสถานีชาร์จไฟฟ้าทั่วไป จึงไม่จำเป็นต้องใช้น้ำมันเพียงอย่างเดียว ทำให้ประหยัดน้ำมันมากยิ่งขึ้น และไม่ปล่อยมลพิษทางอากาศมากนัก แม้จะยังไม่ zero emission ก็ตาม

และยานยนต์ที่คาดว่าจะเป็นผู้นำเทรนด์ของรถยนต์รุ่นใหม่ รถพลังงานไฟฟ้าแบบแบตเตอรี (Battery Electric Vehicle: BEV) รถยนต์รูปแบบนี้ใช้แบตเตอรีเป็นแหล่งพลังงานร้อยเปอร์เซ็นต์ โดยทำการตัดระบบเครื่องยนต์ออกทั้งหมด รถจะขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า เติมพลังงานได้จากการชาร์จไฟ ไม่ต้องเติมน้ำมัน และเมื่อไม่มีเครื่องยนต์จึงไม่มีเสียงและไอเสียคอยรบกวน

นอกจากนี้ยังมีรถยนต์อีกประเภทคือ รถยนต์ FCEV (Fuel Cell Electric Vehicle) ที่ขับเคลื่อนด้วยไฮโดรเจน ซึ่งเป็นนวัตกรรมใหม่ที่มีข้อจำกัดในการใช้งาน ปัจจุบันจึงยังไม่ได้วางจำหน่ายอย่างแพร่หลาย และคาดการณ์ว่าในอนาคตจะมีรถยนต์อีกหลากหลายประเภท เช่น รถอัตโนมัติไร้คนขับ รถที่สามารถเชื่อมต่อระหว่างคนกับรถ (connectivity car)

ยิ่งใช้ยิ่งดี

ในปัจจุบันต้องยอมรับว่ารถยนต์บนท้องถนนส่วนใหญ่ในบ้านเรายังเป็นรถยนต์สันดาปภายใน เนื่องจากหลายคนยังมองถึงความสะดวกในการเติมน้ำมันที่มีปั๊มกระจายอยู่ทั่วประเทศ ในขณะที่แนวโน้มของหลายชาติทั่วโลกต่างให้ความสำคัญกับรถยนต์ไฟฟ้า สังเกตได้จากยอดจำหน่ายที่เติบโตอย่างก้าวกระโดดมากกว่า 4.5 ล้านคันทั่วโลก โดยตลาดหลักของยานยนต์ไฟฟ้าอยู่ที่ประเทศจีน สหรัฐอเมริกา และประเทศในทวีปยุโรป ตามลำดับ

สาเหตุที่รถยนต์ไฟฟ้าเป็นที่นิยมมากๆ ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากปัญหามลพิษทางอากาศ หลายประเทศจึงออกมาตรการสนับสนุนรถยนต์ไฟฟ้า มีการให้สิทธิพิเศษมากมาย เช่น การลดหย่อนภาษี และการยกเว้นค่าทางด่วนสำหรับผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้า เพื่อกระตุ้นให้คนหันมาใช้รถยนต์ประเภทนี้กันมากขึ้น ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ออกมาก็แสนคุ้มค่า ดูได้จากประเทศจีนที่คนใช้รถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น อากาศสะอาดขึ้น ฝุ่นละอองและ PM2.5 น้อยลง อีกทั้งมลพิษทางเสียงก็น้อยลงเพราะรถไฟฟ้าไม่มีเสียงเครื่องยนต์

ในฐานะคนรุ่นใหม่ที่กล้าจะกำหนดชีวิตตัวเอง รถยนต์ไฟฟ้าจึงเป็นตัวเลือกที่แตกต่าง ตอบโจทย์ในการสร้างโลกที่ดีขึ้น แบบที่ได้เห็นผลลัพธ์ในช่วงชีวิตของเราเอง

 

ช่วยโลกและตอบโจทย์ชีวิตด้วยรถยนต์ไฟฟ้า

หลายคนคงเริ่มพยักหน้าเห็นด้วยกับการใช้รถยนต์ไฟฟ้าที่ช่วยขับเคลื่อนโลกให้น่าอยู่มากยิ่งขึ้น แต่ยังติดภาพว่ารถยนต์ไฟฟ้าใช้งานยาก และมีภาพลักษณ์จุ๋มจิ๋มใช้ไม่ได้จริง

NEW MG ZS EV เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกของรถยนต์ไฟฟ้าประเภท SUV ที่มาลบภาพเดิมๆ ด้วยดีไซน์ที่โดดเด่น เหมาะกับไลฟ์สไตล์คนเมือง ใช้งานง่าย ตอบโจทย์ทุกปัญหาภายในใจ

  • หมดกังวลกับปัญหาตายกลางทาง เพราะแบตเตอรีของ NEW MG ZS EV เป็นแบบลิเธียม-ไอออน (Lithium-ion) ขนาด 44.5 kWh วิ่งได้ระยะทางสูงสุดถึง 337 กิโลเมตรต่อการชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง (ตามมาตรฐาน NEDC หรือมาตรฐานการทดสอบความประหยัดน้ำมันและมลพิษของยุโรป)
  • ไม่ต้องกลัวว่าจะเสียเวลาชาร์จทั้งวัน NEW MG ZS EV มีรูปแบบการชาร์จไฟ 2 รูปแบบให้เลือกสรร ทั้งการชาร์จไฟแบบธรรมดา (normal charge) ผ่าน MG Home Charger ใช้ระยะเวลาในการชาร์จ 0-100% ประมาณ 6.5 ชั่วโมง โดยระยะเวลาขึ้นอยู่กับแบตเตอรีคงเหลือ และสามารถชาร์จไฟแบบเร็ว (quick charge) มีระยะเวลาในการชาร์จ 0-80% ประมาณ 30 นาที (หัวชาร์จเป็นแบบ CCS ซึ่งเป็นมาตรฐานยุโรป)
  • มีแอพพลิเคชั่น i-SMART บนมือถือเข้ามาช่วยจัดการชีวิต สามารถเช็กระดับพลังงานคงเหลือของแบตเตอรี เช็กสถานะและแสดงระยะเวลาของการชาร์จแบตเตอรีแบบเรียลไทม์ และค้นหาสถานีประจุไฟฟ้าใกล้เคียงได้อย่างง่ายดาย

  • เรื่องความปลอดภัยก็จัดมาให้แบบครบครัน ทั้งโครงสร้างตัวนิรภัย ระบบความปลอดภัยมาตรฐานยุโรป
  • แถม NEW MG ZS EV ยังมาในราคาที่เบากว่ารถยนต์ไฟฟ้าทั่วไปในตลาด ตอบโจทย์สายกรีนด้วยงบ 1.19 ล้านบาท

ถือได้ว่า NEW MG ZS EV เป็นรถพลังงานทางเลือก ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมอีกหนึ่งรุ่นที่น่าจับตามอง ถ้าอ่านแล้วสนใจสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมและโปรโมชั่นได้ที่ mgcars.com/th/mg-models/new-mg-zs-ev/overview

 

AUTHOR