ในวันและวัยที่เต็มไปด้วยคำถาม หนังสือทำให้เราไม่ต้องผ่านมันไปอย่างโดดเดี่ยว

ห้องแถวเล็กๆ ที่ผมอยู่ มีผู้อาศัยเพียง 2 คน หนึ่งคือผม อีกคนคืออี๊ หรือ ป้า ในคำไทย

อี๊ของผมอ่านหนังสือไม่ออกตามประสาครอบครัวคนจีนโบราณที่ลูกสาวไม่ได้เรียนหนังสือ ในชีวิตผมเคยเห็นอี๊ซื้อหนังสือเพียงเล่มเดียวคือเมื่อครั้งไปดูคณะงิ้วระดับตำนาน วันนั้นอี๊ซื้อหนังสือกึ่งโฟโต้บุ๊กของพระเอกงิ้วขวัญใจกลับบ้าน สำหรับอี๊ หนังสือเล่มนั้นน่าจะเป็นเล่มเดียวที่มีไว้ในครอบครอง ตรงกันข้ามกับผมที่มีหนังสือและนิตยสารรวมๆ แล้วหลายร้อยเล่มกระจายอยู่ทั่วบ้าน

ด้วยความที่อี๊เคยขายกับข้าว บ้านผมแต่ก่อนจึงระเกะระกะไปด้วยเครื่องครัว ครั้งหนึ่งผมเคยรำคาญกับจำนวนหม้อหลักสิบใบในบ้าน แต่แปลก อี๊กลับไม่เคยบ่นเวลาผมซื้อหนังสือเล่มใหม่เลย ทั้งที่ปกติเวลาซื้ออะไรอย่างอื่นเข้าบ้าน อี๊มักบ่นระงมด้วยเหตุผลว่าบ้านหลังเล็กๆ ของเราแทบจะไม่มีที่วางอยู่แล้ว

“ซื้อหนังสือดีกว่าไปซื้ออย่างอื่น อ่านหนังสือดีแล้ว” ยอมรับว่าไม่เข้าใจว่าอะไรทำให้คนที่อ่านหนังสือไม่ออกอย่างอี๊ถึงคิดเช่นนั้น หรือว่าบางทีอี๊ไม่ได้รับรู้ความจริงนั้นด้วยการอ่าน แต่สังเกตจากการเติบโตของหลานคนหนึ่ง

เมื่อเหลือบมองกองหนังสือที่กระจายอยู่รอบบ้าน ผมเห็นการเติบโตของตัวเอง

ต้นส้มแสนรัก ทำให้ผมรู้ว่าหนังสือทำให้คนเราร้องไห้ได้ โตเกียวไม่มีขา ทำให้ผมรู้สึกว่าหนังสือไม่ใช่ยาขม และคนธรรมดาอย่างเราก็เป็นผู้เล่าได้ บันทึกจากหุบเขาฝนโปรยไพร ทำให้ผมเห็นชีวิตนักเขียนในอุดมคติ open diary ทำให้ผมเห็นคนที่ชีวิตกับงานหลอมรวมเป็นเนื้อเดียวกัน รวมถึงเห็นพลังของงานสื่อมวลชน เสียงแห่งทศวรรษ ทำให้ผมรับรู้ถึงพลังของบทสัมภาษณ์และอยากพัฒนาตัวเองไปในเส้นทางนั้น

ผมคงพูดได้ไม่เต็มปากว่าชีวิตเปลี่ยนไปด้วยหนังสือเล่มใดเล่มหนึ่ง แต่ที่พอจะบอกได้คือหนังสือมีพลัง เรื่องเล่าในนั้นเปลี่ยนแปลงมนุษย์รุนแรง ตัวอักษรที่ผ่านตาทำให้คนหนุ่มสาวอย่างเราเติบโต บางบรรทัดในหนังสือบางเล่มทำให้เรายิ้ม หัวเราะ ร้องไห้ บางย่อหน้าให้ความรู้ ความคิด ทำให้บางคนอยากลุกขึ้นมาเปลี่ยนชีวิตและสิ่งรอบตัว ไม่ว่าเรื่องนั้นจะยิ่งใหญ่หรือเล็กน้อยในสายตาใครก็ตาม

ไม่ใช่แค่หนังสือ ผมพบพลังแบบเดียวกันในนิตยสาร

ย้อนกลับไปสมัยอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัย การอ่านเรื่องราวต่างๆ ในนิตยสารเล่มหนึ่งทำให้ไฟในตัวผมลุกโชน เดือนแต่ละเดือนเคลื่อนผ่านไปอย่างเชื่องช้าเมื่อมีสิ่งที่เราเฝ้ารอ จากเด็กหนุ่มที่ยังไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไร เชื่ออะไร ผมมีความฝันว่าอยากเป็นคนทำนิตยสารตั้งแต่วันนั้น อยากออกไปเผชิญสิ่งต่างๆ ในโลกกว้างเพื่อเอาเรื่องเล่ามาส่งต่อบ้าง

นิตยสารเล่มที่ว่าคือ a day

จากบทบาทผู้อ่านในสมัยเรียน ขยับไปเป็นเด็กฝึกงาน โตมาเป็นคนทำนิตยสารเต็มตัว จนวันนี้ที่รับไม้ต่อเป็นบรรณาธิการบริหารรุ่นที่ 5 หลายสิ่งหลายอย่างรอบตัวผมเปลี่ยนแปลงไป ไม่ว่าจะเป็นพฤติกรรมการอ่านหรือภูมิทัศน์สื่อ วันนี้ a day ไม่ใช่เพียงนิตยสารอีกต่อไป แต่ยังมีเว็บไซต์ adaymagazine.com ที่เป็นอีกหนึ่งช่องทางในการส่งสารไปสู่ผู้อ่านในโลกออนไลน์ รวมถึงช่องทางโซเชียลมีเดียอื่นๆ

ในฐานะนักเล่าเรื่อง ผมยังเชื่อในพลังของเรื่องเล่า

ไม่ว่าจะในช่องทางใด ผมตั้งใจใช้มันเพื่อส่งต่อเรื่องราวที่เชื่อว่าสำคัญและจำเป็นกับคนรุ่นใหม่ผู้เปี่ยมไปด้วยพลังและกำลังออกแรงหมุนโลก ด้วยหวังว่ามันจะส่งผลบางอย่างเหมือนที่พวกเราเคยได้รับมาก่อนในฐานะผู้อ่าน

อย่างน้อยในวันและวัยที่เต็มไปด้วยคำถาม ในคืนและวันที่รู้สึกหวั่นไหว คนหนุ่มสาวจะได้ไม่ต้องผ่านมันไปอย่างโดดเดี่ยว

AUTHOR