รักไม่ต้องรอฤดูกาล และรักจะงอกงามเมื่ออยู่ถูกคน รักนี้สอนให้รู้ว่าจากทางบ้าน

รักไม่ต้องรอฤดูกาล และรักจะงอกงามเมื่ออยู่ถูกคน รักนี้สอนให้รู้ว่าจากทางบ้าน

หลังจาก a day ได้คุยกับ ตินกานต์ เจ้าของหนังสือ ดอก รัก ผู้เชื่อว่า ความรักเหมือนการบานของดอกไม้ มีฤดูกาล มีเวลาที่เหมาะสม เราจึงชวนผู้อ่านมาเปิดใจเล่าเรื่องราวความรักของตนเองที่สะท้อนความเชื่อเดียวกันนั้น

ขอบคุณผู้อ่านทุกคนที่ยินดีแบ่งปันเรื่องราวความรักเข้ามาอย่างมหาศาล ทั้งความรักที่กำลังหยั่งรากอย่างแข็งแรง ความรักที่โรยราไปแล้ว หรือกระทั่งความรักที่เบ่งบานโดยไม่สนฤดูกาลใดๆ

และนี่คือ 3 เรื่องราวความรักที่เรารักมากเป็นพิเศษ


 

Miew Supermiew Supermiew

1

หากเปรียบความรักเป็นดั่งดอกไม้…

รอยยิ้มนั้น… ‘ยิ้มแรกพบ’ คงเปรียบเสมือนดอกไม้ที่กำลังเบ่งบานในฤดูฝนพรำ…

เรื่องราวความรักของฉันเกิดขึ้นในวันประชุมเตรียมความพร้อมในการช่วยเหลือซ่อมแซมอาคารเรียนของโรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา วันนั้นฉันได้พบกับรอยยิ้มที่เป็นดั่งดอกไม้บาน ‘ยิ้มแรกพบ’ และฉันจำเหตุการณ์วันนั้นได้ไม่รู้ลืม…  

เดือนกรกฎาคม 2554 เดือนที่ก้าวเข้าสู่ฤดูฝนพรำ

ในขณะที่กำลังนั่งรอทีมงานที่ต้องเดินทางมาร่วมประชุม ฉันได้ยินเสียงหัวเราะของเด็กๆ เสียงนั้นมาจากที่ไหนสักแห่งในโรงเรียนนี้ ฉันพยายามมองหาต้นเสียงมาจากที่ไหนกันนะ เขากำลังเล่นอะไรกัน จะสนุกอะไรปานนั้น เสียงแห่งความสุข สนุกสนานนั้นดึงดูดให้ฉันต้องออกตามหา มันเป็นการส่งพลังความสุขที่ฉันเองก็พลอยได้ยิ้มไปกับเสียงนั้นด้วย ฉันเดินลัดเลาะอาคารเรียน ผ่านไปยังสนามเด็กเล่น ในใจก็คิดว่าถ้าเจอตัวจะขอวิ่งเล่นด้วยสักคน และเมื่อเดินไปถึงสนามเด็กเล่นฉันก็ชะงัก เมื่อได้เห็นผู้ชายผิวเข้ม สกินเฮด เขาอยู่ในชุดสีดำทะมึนกำลังวิ่งเล่นกับเด็กๆ บ้างก็หันไปหยอกล้อ บ้างก็หันไปแหย่ เมื่อเห็นว่ามีคนเล่นกับเด็กๆ อยู่แล้วฉันจึงรักษาฟอร์มด้วยการทำเป็นเดินผ่านไป แต่ฉันก็ยังแอบมองผู้ชายคนนั้นแบบไม่ละสายตา รอยยิ้มหวานๆ สดใสๆ มันตรงข้ามกับบุคลิกเข้มๆ น่ากลัวๆ ฉันยืนอยู่ตรงนั้นนานพอควร นานพอที่จะได้เห็นว่าเขาหยอกล้อเด็กๆ ตั้งคำถามด้วยมุกตลกๆ น่ารักๆ ให้เด็กหัวเราะ ขำขันกันใหญ่ นั่นแหละคือยิ้มแรกพบของฉัน ยิ้มที่ทำให้ฉันอยากรู้จัก เขาคือใครกันนะ … และดูเหมือนสวรรค์จะรู้ใจเมื่อทุกคนมาพร้อมและต้องเริ่มประชุม และทุกคนในทีมต้องแนะนำตัวให้เพื่อนๆ ได้รู้จัก และฉันก็ได้ยินเสียงใครสักคนที่กำลังแนะนำตัว เสียงนั้นคุ้นหูฉันมากๆ ฉันมองตามเสียงนั้นไป นั่น ‘ยิ้มแรกพบ’ เราสองคนต้องทำงานร่วมกัน นี่ถ้าไม่เรียกว่าพรมลิขิตก็ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าอะไรแล้วนะ (ฉันคุยกับตัวเองในใจ)

 

2

เราและทีมงานต้องเดินทางไปทำกิจกรรมในอีกหลายจังหวัด สตูล นครศรีธรรมราช ตาก แม่ฮ่องสอน ขอนแก่น และฉันก็ได้ใช้ช่วงเวลาดีๆ เหล่านี้แอบบันทึกความประทับใจในรอยยิ้มนั้นลำพังคนเดียว เวลาที่เห็นเขายิ้ม หัวเราะ มันทำให้ใจเต้นแรงนิดๆ จนบางครั้งก็มีพี่ๆ น้องๆ ทักฉันว่าทำไมฉันยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่คนเดียว นั่นสินะ… ทำไม?

เขาไม่เคยรู้เรื่องกับความตื่นเต้นประทับใจในรอยยิ้มอะไรนั่นไปกับฉันเลยจริงๆ

เราไม่เคยได้คุยกัน ไม่เคยแม้แต่ได้นั่งทานข้าวด้วยกัน ไม่เคยส่งยิ้มให้กัน แต่ทำไมฉันถึงรู้สึกอย่างกับคนที่กำลังมีความรัก ดอกรักเบ่งบานในใจฉันหรืออย่างไร ถึงแม้โชคชะตาจะเข้าข้างให้ฉันกับเขาได้ทำงานด้วยกัน เดินทางไปในหลายจังหวัดด้วยกัน แต่ไม่มีงานเลี้ยงใดที่ไม่มีวันเลิกรา เมื่อทริปสุดท้ายมาถึงฉันก็ได้แต่อำลาอาลัยรอยยิ้มนั้นลำพังคนเดียวเช่นเคย ฉันคงจะไม่มีโอกาสได้เห็นอีกแล้วสินะ…

ฉันตัดสินใจขอเบอร์โทรศัพท์ของเขาจากน้องประสานงาน และส่งข้อความบอกลากันสั้นๆ ซึ่งในข้อความนั้นไม่ได้ตั้งใจว่าเขาจะส่งข้อความตอบกลับมาแต่อย่างใด ไม่นานนักมีข้อความตอบกลับมา “ดีใจที่ร่วมกันงานกัน” มันเป็นข้อความกลางๆ ที่ไม่ได้บ่งบอกถึงความรู้สึกไม่ดีหรือรู้สึกดี ฉันบ่นกับตัวเองเบาๆ ว่า คงไม่มีใครบ้าพอที่จะบอกความรู้สึกอะไรกับคนที่ไม่รู้จักหรอกนะ…  และในวันนั้นฉันก็ได้รับข้อความที่สอง เป็นข้อความภาพ และก็เป็นภาพท้องฟ้า มันคือสถานที่แห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ โอ้วววว… คราวนี้ใจฉันเต้นแรงกว่าครั้งก่อนๆ ซะอีก ก็ฉันชอบถ่ายภาพท้องฟ้า ทุ่งนาสีเขียว ดอกไม้ และผู้คน นี่คือความบังเอิญหรือพรมลิขิตกันนะเนี่ย ถึงแม้จะไม่พยายามเข้าข้างตัวเอง แต่ฉันก็เข้าข้างตัวเองอยู่ดี 555

 

3

และหลังจากวันนั้นเราก็ส่งข้อความภาพถึงกันและกัน วันละ 1 ถึง 2 ภาพ โดยไม่มีข้อความใดๆ เราใช้ภาพในการสื่อสารกัน กว่า 40 วัน ที่เราทำแบบนี้ ส่งภาพถึงกัน ไม่เคยโทรหา ไม่เคยถามชื่อ ไม่พิมพ์ข้อความใดๆ ภาพท้องฟ้า ทุ่งนา ท้องถนน รอยยิ้มผู้คน ดอกไม้ สิ่งของ อาหาร และสถานที่ต่างๆ คือสิ่งที่เราสองคนใช้สื่อสารถึงกัน และฉันก็คิดว่าเราจะส่งข้อความภาพถึงกันแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน อีก 1 เดือน 1 ปี หรือหลายๆ ปี ฉันจึงตัดสินใจส่งข้อความหนึ่งเป็นการโยนหินถามทาง และฉันก็ตั้งใจว่าจะเป็นข้อความสุดท้ายหากฉันถูกปฏิเสธ เราจะเก็บความประทับใจแบบนี้เอาไว้ให้ระลึกถึง …

ใช่… ฉันส่งข้อความไปว่า อยากรู้ไหมว่าฉันเป็นใคร เรามาทานข้าว มาทำความรู้จักกันเถอะ เป็นการส่งข้อความที่ลุ้นตัวโก่ง Yes หรือ No / OK หรือไม่ และแล้วฉันก็ได้รับคำตอบ Yes

เราสองคนได้ทานข้าวด้วยกัน ได้ทำความรู้จักกัน และเขาก็บอกความจริงว่า เขารู้อยู่แล้วว่าฉันเป็นใคร เพราะเขาไปตามหาเจ้าของเบอร์โทรศัพท์ที่ส่งข้อความไปหาเขาจากน้องประสานงานคนที่ฉันไปขอเบอร์เขานั่นแหละ การส่งภาพที่เราชอบสื่อสารกันโดยไม่มีการพูดคุย มันก็เป็นเหมือนการศึกษานิสัยใจคอกัน มันเป็นความชอบที่เรามีเหมือนๆ กัน จากวันนั้นจนถึงวันนี้เรากำลังก้าวเข้าสู่ปีที่ 8 เรายังคงความเป็นเรา เขายังเป็นผู้ชายพูดน้อย แต่ยิ้มเยอะ ส่วนฉันพูดเยอะ แต่ยิ้มยาก และเรายังส่งรูปถ่ายสื่อสารกันในทุกๆ วัน เพิ่มเติมคือ การบอกรักและคิดถึงกัน

วันวานฉันปลูกต้นรัก วันนี้รักของฉันเบ่งบาน


มณิสร  สุดประเสริฐ

ดอกเดซี่ (Daisy) แสดงถึงความบริสุทธิ์ใจต่อกันเป็นตัวแทนความรักอันซื่อสัตย์และภักดี

 

เพื่อนเขาเคยเรียกเราว่า ‘เดซี่’ ถามว่าเหตุผลคืออะไร

เพื่อนของเขาบอกว่ามองหน้าเราแล้วนึกถึงดอกเดซี่

 

น่าเสียดายที่เวลาทำให้ความเข้มข้นของความรักเจือจางลง เจ้าของอย่าง ‘เขา’

ไม่ได้รดน้ำพรวนดินเท่าที่ควร และดอกไม้อย่างเราก็อ่อนแอ

เกินกว่าจะทนอยู่จนต้องเหี่ยวเฉาไปตามกาลเวลา

 

ในช่วงแรกการกลับไปเจอสายตา ใบหน้า รอยยิ้มของเจ้าของคนเดิม

ณ ตอนนั้นความพยายาม ความเข้มแข็งที่สั่งสมมาดูจะอันตรธานหายไปในทันที

มีบางอย่างที่กระตุ้นใจให้กลับไปนึกถึงว่าเราเคยรักเขามากเท่าไหร่

เหมือนเป็นการดึงดอกเดซี่ดอกนี้ให้กลับมายืนต้นและออกดอกอีกครั้ง

เพื่อพบว่าความทรงจำมากมายเหล่านั้นไม่เคยจางหายไปไหน

 

ถึงแม้ตอนนี้เจ้าของคนเดิมได้เปลี่ยนไปดูแลดอกไม้ดอกอื่นแล้วก็ตาม

แต่เรื่องราวครั้งนั้นก็ยังคงกลิ่นหอมทุกครั้งที่นึกถึง

และเราก็ยังเป็นดอกไม้ดอกเดิมที่เต็มไปด้วยความภักดีกับเขาเสมอ

 

ในระยะเวลาหนึ่งเราได้ผ่านฤดูกาลความรักที่น่าผิดหวังและแสนจะเจ็บปวด

หลังจากสะบักสะบอมจากความรักครั้งนั้น เราใช้เวลาทำหน้าที่เยียวยาตัวเองให้หายดี

จนเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมเราพร้อมก้าวเข้าสู่ฤดูรักครั้งใหม่กับคนปัจจุบัน

 

เจ้าดอกเดซี่ที่เคยกลีบร่วง เหี่ยวเฉาไร้การดูแลมาเกือบปีเต็ม

ก็มีใครคนหนึ่งที่ยินดีเข้ามาดูแลรดน้ำพรวนดิน

จนกลับมาเป็นเดซี่ที่เบ่งบานและสดใสอีกครั้ง

 

คุณเจ้าของคนใหม่นอกจากจะหมั่นใส่ปุ๋ยแล้ว ยังหมั่นใส่ใจดอกไม้ดอกนี้

ให้เป็นเดซี่ที่เก่งขึ้น ภูมิใจในตัวเอง เป็นตัวของตัวเอง

และเป็นผู้ที่สอนเราผ่านการกระทำว่าความคิดละเอียดซับซ้อนได้

แต่ความสัมพันธ์ควรเรียบง่าย

 

เราหลงรักความเรียบง่ายและความธรรมดานั้น

เป็นความรักที่ไม่ได้มีรสชาติหวานเลี่ยนจนเกินไป

เรามีพื้นที่ตรงกลางให้ได้แบ่งปันความสุขและมีพื้นที่ให้ได้มั่นใจว่าในวันที่เหนื่อยล้า

คุณเจ้าของจะมีดอกเดซี่ดอกนี้มอบความสดใสให้อยู่เสมอ

และหากถึงคราวที่ดอกเดซี่อ่อนแอหรือกลีบร่วงหล่นลงไปบ้าง

ก็เชื่อได้ว่าคุณเจ้าของจะดูแลให้กลับมาเบ่งบานได้อีกครั้งเช่นกัน

 

ไม่คาดหวังให้รักครั้งนี้อยู่ตลอดไป

แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเราอยากรักษาฤดูรักครั้งใหม่นี้ไว้ให้ได้นานที่สุด

 

เราต่างอาจเคยเป็นดอกไม้ที่ถูกความรักเล่นงานจนบอบช้ำและหมดศรัทธา

อาจเคยเป็นดอกไม้ที่เหี่ยวเฉา ไม่ได้รับการดูแล

แต่เชื่อเถอะว่าเราทุกคนเป็นดอกไม้ที่ควรได้รับความรักที่ดีจากใครสักคน

ดั่งที่เคยมีคนกล่าวว่าดอกไม้จะงดงามได้ก็ต่อเมื่ออยู่ถูกคน ถูกที่ และถูกเวลา


Rawiwan Jindawong

ความรักที่ไม่ต้องรอฤดูกาลและเวลาที่เหมาะสม

ชื่อนี้อาจจะฟังดูขัดแย้งกับการแชร์เรื่องราวความรักของ a day และ a book ที่ให้คำจำกัดความ

แต่ความรักของเรา เป็น ‘ความรักที่ไม่ต้องรอฤดูกาลและเวลาที่เหมาะสม’ จริงๆ

เรื่องความรักของเราที่อยากแชร์ เริ่มจากที่เราได้คลอดลูกสาวที่แสนจะน่ารัก และหลังจากลาคลอดได้แค่เพียง 2 เดือน ก็ต้องกลับมาทำงานที่เมืองแห่งความวุ่นวาย อย่างกรุงเทพฯ อาจจะเหมือนชีวิตคนต่างจังหวัดทั่วไป ที่ต้องดิ้นรนขึ้นมาเรียนหนังสือ และหลังจากเรียนจบก็ทำงานที่เมืองซิวิไลซ์แห่งนี้ ด้วยเหตุผลที่ว่า ที่ต่างจังหวัดไม่มีงานและเงินเดือนที่ดีเท่าในกรุงเทพ เราเลยต้องทำใจและตัดใจ ฝากลูกสาวตัวน้อยและลูกชายผู้เป็นพี่ชายจอมป่วนไว้กับย่า เพื่อจะได้ดูแลลูกๆ โดยไม่ต้องห่วงกังวล

ลูกชายซึ่งเป็นพี่อายุมากกว่าน้องสาว 3 ปี ลูกชายสุขภาพแข็งแรงดีมาก แต่ลูกสาวไม่ค่อยแข็งแรง หลังเราจากกลับมาทำงานได้เดือนกว่า ย่าของน้องก็โทรบอกว่าลูกสาวไม่สบาย เราเลยบอกให้ย่าของน้องพาไปหาหมอ หลังจากไปหาหมอที่อำเภอ พบว่าต้องส่งตัวไปตรวจที่โรงพยาบาลประจำจังหวัด เราเริ่มกังวลและรีบชวนสามี (ซึ่งปัจจุบันกลายเป็นอดีตสามี และเป็นสามีของคนอื่นไปเรียบร้อยแล้ว) เพื่อกลับไปหาลูกด้วยความเป็นห่วง หลังจากกลับไป เราได้พาลูกไปหาหมอ ที่โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ หรือที่คนทางใต้รู้จักดีในนามโรงพยาบาล มอ. ซึ่งขึ้นชื่อว่ามีหมอเก่งที่สุดโรงพยาบาลหนึ่งในประเทศ ด้วยความกังวลใจ หมอบอกเราว่า ลูกสาวตัวน้อยป่วยเป็นโรคท่อน้ำดีตีบ ตอนแรกก็ไม่เข้าใจมากนัก แต่พอหมออธิบายต่อว่าถ้าไม่ได้รับการรักษา ตับของน้องจะมีปัญหา และน้องอาจจะอยู่ได้ไม่เกิน 2 ปี

ครอบครัวเราตกใจกับข่าวร้ายเป็นอย่างมาก อดีตสามีถึงกับร้องไห้ออกมาตอนขับรถกลับบ้าน เขาแทบขับรถไม่ไหว เพราะสงสารลูก ตัวเราเองไปแอบร้องไห้ในห้องน้ำหลังจากคุยกับหมอ เพราะไม่อยากร้องไห้ให้ใครเห็น แต่พอได้เห็นอดีตสามีร้องไห้ออกมา เราเลยสัญญากับตัวเองว่า เราจะต้องเข้มแข็งที่สุดในครอบครัวและจะต้องมีกำลังใจที่จะทำทุกวิธีที่จะดูแลลูกสาวตัวน้อยและลูกชายให้ดีที่สุด ตั้งแต่วันนั้นมา เรากลับมาแจ้งลาออกจากงาน เพื่อเตรียมการในการผ่าตัดและต้องดูแลลูก หลังจากลูกผ่าตัดครั้งแรกที่ มอ.ตอนอายุ 4 เดือนเราก็ดูแลลูกมาตลอด อดีตสามีขอย้ายที่ทำงานกลับลงไปอยู่ใกล้บ้าน

เข้า-ออกโรงพยาบาล มอ.อยู่หลายเดือน จนวันหนึ่ง ที่เพื่อนของอดีตสามีเรา ดูรายการทีวีรายการนึง มีช่วงที่ให้ ผู้ป่วยที่ปลูกถ่ายอวัยวะมาออกรายการ เพื่อต้องการให้คนช่วยกันบริจาคเงินสร้างตึกและซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์ของมูลนิธิโรงพยาบาลรามาธิบดี

มีผู้ป่วย 2 รายที่ทำการปลูกถ่ายตับเนื่องจากป่วยเป็นโรคเดียวกับลูกสาวตัวน้อยของเรา เรารีบเปิดรายการทีวี และดูด้วยความตั้งใจ เราเริ่มมีหวังที่จะรักษาลูกแล้ว เราดีใจมาก คืนนั้นบอกกับลูกว่า ลูกจะต้องหายนะ แม่กับพ่อจะทำเพื่อลูกให้ดีที่สุด วันรุ่งขึ้น เราโทรไปที่รายการและขอเบอร์โทรแม่ของผู้ป่วยที่มาออกรายการ พี่เขาน่ารักมาก แนะนำให้เราเป็นอย่างดี ว่าจะต้องขึ้นมาพบหมอในวันไหนได้บ้าง เนื่องจากหมอที่ตรวจรักษามีหมอกุมารแพทย์และหมอศัลยกรรม ซึ่งเป็นหมอเฉพาะทาง

เราจึงได้พาลูกขึ้นมาหาหมอ และลูกสาวได้รับการดูแลและการผ่าตัดจากทีมแพทย์ พยาบาล โรงพยาบาลรามาธิบดี ขณะที่ลูกสาวผ่าตัดปลูกถ่ายตับ จากพ่อของน้อง (เนื่องจากการผ่าตัดปลูกถ่ายตับจะต้องเป็นคนในครอบครัวที่มีกรุ๊ปเลือดเดียวกัน) ตอนนั้นน้องอายุ 1 ขวบ 10 เดือน

ขณะที่เขียนเรื่องนี้น้องอายุ 8 ขวบ 11 เดือน กับอีก 17 วัน ผลการผ่าตัดดีมาก ถึงแม้ว่าจะต้องทานยากดภูมิไปตลอด แต่ครอบครัวเรารู้สึก ตื้นตันใจ และรู้สึกสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถเป็นล้นพ้น ที่ท่านพระราชทานความกรุณารับน้องเป็นคนไข้ในพระบรมราชินูปถัมภ์ เนื่องจากเราได้เขียนฎีกาถวายเพื่อขอเป็นคนไข้ เนื่องจากค่าผ่าตัดค่อนข้างสูงมาก และท่านได้พระราชทานความช่วยเหลือแก่ครอบครัวของเรา

นี่แหละ ที่เราคิดว่า ความรักไม่ต้องรอฤดูกาลและเวลาที่เหมาะสม เพราะเรามักจะได้รับความรักจากผู้อื่นเสมอ ไม่ว่าจะเป็น พ่อ แม่ เพื่อน คู่สามี ภรรยา หมอ พยาบาล คนที่เราไม่เคยรู้จักมาก่อน หรือพระเมตตาจาก ‘ท่าน’ ผู้เป็นที่รักของพสกนิกรชาวไทย ที่พระราชทานให้กับครอบครัวของเรา ทำให้เรารู้สึกว่า ความรักมีอยู่ในทุกช่วงเวลาของชีวิต ทั้งในเวลา ที่เหมาะสม และในเวลาไม่เหมาะสม

ขอ ‘ขอบคุณ’ และ ‘สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ล้นเกล้าล้นกระหม่อม’ กับผู้มอบความรัก

และ ‘อิ่มเอมใจ’ ของผู้ที่ได้รับความรักทุกท่าน ทั้งที่กล่าวมาข้างต้น

ทุกอย่างจะเป็นส่วนหนึ่งของความรัก ในทุกช่วงเวลาของชีวิต ทั้งในเวลาที่เหมาะสมและในเวลาไม่เหมาะสม

จาก

แม่ดวงอาทิตย์ (ผู้มีความรักทุกช่วงเวลาให้ลูกเสมอ)

AUTHOR