บนถนนสายจรจัด ถนนเส้นเดียวกันกับที่ผู้คนสัญจรไปมา แต่ยังมีหลายชีวิตไม่เคยถูกมองเห็น ชีวิตที่บ้านของพวกเขามีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาล ห้องนอนคือพงหญ้า อาหารการกินถูกเทไว้ข้างถังขยะ
ถนนที่เต็มไปด้วยผู้คนสัญจรไม่หยุดหย่อน ทำให้ชีวิตในแต่ละวันคือการต่อสู้กับสารพัดเครื่องยนต์ที่เคลื่อนไปมาบนถนน บ้านของพวกเขาจึงเป็นราวกับสมรภูมิที่เล็กแคบลงไปตามจำนวนมนุษย์ที่มากขึ้น
ในวันหยุดยาวนี้เป็นโอกาสอันดีที่เหล่ามนุษย์จะเคลื่อนขบวนกันไปสักที่สักแห่ง ถนนสายจรจัดนี้อาจไม่โก้มากพอที่ใครต่อใครจะผ่านไปมาเพื่อเฉลิมฉลอง เเละเมื่อถนนปลอดโปร่งจึงเป็นโอกาสพิเศษที่ทาสจะปล่อยให้เราได้ออกไปโลดเเล่นอยู่บนกำแพง หลังคา และในรั้วบ้านของคนแปลกหน้า
อย่างที่บอกไปว่านี่เป็นช่วงเวลาแห่งการเฉลิมฉลอง (สำหรับคน) แต่เป็นสภาวะน่าขนพองสำหรับพวกเรา มหันตภัยทางเสียง แสงซัดสาดพวกเราจนโลกจะแตก ร่างจะระเบิด ชีวิตจะสิ้น วันนี้จึงอยากเดินลัดเลาะ ชวนไปฟังเรื่องของเหล่าอัศวินผู้ถือครองอิสรภาพ ที่รอดชีวิตมาจากเสียงพลุในเทศกาลก่อนหน้าโดยไร้ซึ่งมือที่คอยปลอบประโลม ว่าเขาจะรอดพ้นภัยในครั้งนี้ไปได้อย่างไร
แดง
“โฮ่งๆ ครืด ครืด อี๊ดๆๆ งี๊ดดด ชีวิตดีๆ ที่ลงตัวของแดง”

ในช่วงเวลาที่โลกเดินทางมาถึงขวบปีแห่งการพักผ่อน ชีวิตที่บาลานซ์สำคัญกว่าการทำงานหนัก การได้กินอิ่มและนอนหลับพักผ่อนอย่างเต็มที่จะไม่ใช่เรื่องของความขี้เกียจอีกต่อไป แต่ถือเป็นการดูเเลตัวเองทั้งภายในและภายนอก ชีวิตที่ดีคือชีวิตที่ช้าและสมดุล
เรามีโอกาสได้รู้จักหมาที่มีชีวิตสโลว์ไลฟ์ที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา เขาตื่นเช้ามาพร้อมกับเสียงนกร้อง มีเวลาเดินทอดน่องจนกว่ารังสียูวีจะเข้มข้นขึ้น แล้วจึงกลับมานอนพักในโพรงไม้ที่มีร่มสีเหลืองกำบังอีกชั้นหนึ่ง
‘แดง’ หมาจรย่านซอยอ่อนนุช 66 ผู้ที่มีชีวิตประจำวันน่าอิจฉาที่สุดในโลก แดงมีบ้านหลายหลังอยู่ในตรอกซอกซอยนี้ เข้าคอนเซปต์การโยกย้ายสภาพแวดล้อมเพื่อเติมเต็มสีสันในชีวิตยุคใหม่ ไม่ว่าจะเป็น ใต้ท้องรถส่งของที่มาจอดเป็นประจำตั้งแต่เที่ยงจนถึง 6 โมงเย็น บ้านพักใจยามที่อยากหลบหลีกความวุ่นวาย หรือโพรงไม้ 3 ชั้น ชั้นแรกเป็นกิ่งไม้ ชั้นที่ 2 เป็นเสื่อโยคะสีม่วง และชั้นที่ 3 เป็นร่มสีเหลืองสดใส เป็นบ้านพักยามร้อนกายร้อนใจ พอตกเย็นก็มานั่งกินลมชมวิวหน้าบ้านที่มีป้ายห้ามให้อาหารหมาจรใหญ่เบิ้มติดไว้กลางรั้ว ยังไม่นับรวมกับน้ำและอาหารตามจุดต่างๆ ที่พูนเสมอจากคุณยายคนขายขวด
“บรู้วววววว อ๊อก โฮ่ง” เมื่อถูกถามถึงบ้านที่มันจะเลือกกลับไปในช่วงปีใหม่ แดงบอกว่ามันรักบ้านทุกหลังอย่างเท่าเทียมกันและรักชีวิตวนซ้ำที่สงบสุขของตัวเอง แต่ปัญหาคือบาดแผลทางใจและกายจากวันลอยกระทงที่ยังไม่หายดีทำให้แดงตระหนักรู้ได้ว่าไม่มีบ้านสักหลังที่อยากกลับไปในช่วงเวลาแห่งความสุข? นั้นเลย ไม่ว่าหลังไหนๆ ก็ไม่อาจทำให้อาการอกสั่นขวัญแขวนจากการตื่นกลัวทุเลาลง โลกจะแตก ร่างจะระเบิด ชีวิตจะสิ้นแล้ว มันรู้สึกอย่างนั้น
มันเตรียมการขุดหลุมริมคลองในถิ่นของ ‘โจนาธาน’ (หมาหลังอานเขี้ยวยักษ์) เตรียมเอาไว้แล้ว
และบอกให้เรารอติดตามว่า หลังจากส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ แดงจะขึ้นมาจากหลุม (อย่างสะบักสะบอม) หรือจะอยู่ในนั้นชั่วนิรันดร์
หากใครที่อ่านอยู่ แล้วบังเอิญได้ผ่านไปแถวนั้นหลังปีใหม่ ฝากเดินเข้าไปท้ายซอยแล้วชะโงกหน้ามองลงไปในหลุม หากเห็นความอเนจอนาถอยู่ในนั้นฝากกลบดินทับถมให้มิดและเดินไปเด็ดดอกดาวเรืองหน้าบ้านโจนาธานมาวางบนหลุมให้กันที แต่หากไม่เจอก็วานให้มาดูใหม่ในเทศกาลถัดไป!
โซดา
“เอี๊ยดด ครืดด หือออ ครือ อ๊อก กลับบ้านมาแล้ว”

ในช่วงเวลาใกล้สิ้นปี ที่อากาศแกล้งๆ ว่าจะหนาว และฝนก็ยังคงแวะมาทักทายให้ตกอกตกใจเล่น แสงสีสันของเทศกาลแข่งกันเอาใจเหล่าคนผู้ชื่นบานจากการพบปะสังสรรค์ ใครบางคนเคยบอกไว้อย่างกว้างๆ ลอยๆ ว่าฐานที่ล่างและกว้างที่สุดของพีระมิดโภชนาการคือการได้มีมื้ออาหารร่วมกับครอบครัวและสังคม ไม่เหลืออะไรให้ผู้โดดเดี่ยวอีกต่อไปแม้แต่สุขภาพที่ดี
วันนี้เราจึงชวน ‘โซดา’ หมาสีลายที่ตอนนี้ขุ่นน้ำตาล ผู้ที่เติบโตมาในวงสังสรรค์ของผู้ชายเจ้าของร้านก๋วยเตี๋ยว มาคุยกันในเรื่อง มื้อที่สุขที่สุด? ในช่วงเทศกาลสิ้นปีแบบนี้
ไม่ว่าจะเป็นเช้าตรู่ โซดาก็เคยมี Breakfast time ร่วมกับเด็กน้อยนักเรียนที่พ่อแม่พามาฝากท้องที่ร้านก๋วยเตี๋ยวก่อนไปเคารพธงชาติ หรือมี Lunch time ร่วมกับลุงไรเดอร์ส่งอาหารที่หนีแดดเที่ยงวันมาผึ่งพัดลมในร้าน แต่ที่พิเศษที่สุดคือวงเหล้าหลังร้านปิดที่โซดาก็ร่วมวงนั่งอิงแอบแนบซบกับเจ้าของ Dinner time ที่ระริกระลั่นสั่นสุขสำหรับหมาตัวน้อย แต่ทั้งหมดทั้งมวลก็แค่เคย…
ในเช้าวันที่ทาสอนุญาตให้เราออกมาอึฉี่ริมทางตามอัธยาศัย เราเลยมีโอกาสได้คุยกับโซดาผ่านประตูเหล็กยืดที่เลื่อนปิดสนิท มีเพียงช่องรูเล็กๆ ที่ส่องเข้าไปเห็นแต่ความมืด และได้ยินเสียงกระชากโซ่เป็นช่วงๆ อยู่ข้างใน โซดาบอกว่ามื้ออาหารของเธอไม่มีเวลาที่แน่นอน หากใครเอาอาหารมาสอดไว้ตรงช่องใต้รั้วเวลาไหนก็กินตอนนั้นแหละ ในทุกวันโซดากินอาหารใต้โต๊ะที่เขาถูกผูกโซ่ติดไว้ มื้ออาหารรสเลิศ คลุกขี้เยี่ยวผสมปนเป เเต่เอร็ดอร่อยอย่าบอกใครเชียว
เพื่อนในมื้ออาหารของโซดาอาจคือแสงริบหรี่ที่ส่องเข้ามาผ่านรูเล็กๆ หรือเสียงกึกกักของประตูรั้วในบางเวลา เพราะมันเป็นความสงสัยยิบๆ ในใจของหมาตัวจ้อย ว่าเจ้าของร้านก๋วยเตี๋ยวใกล้จะกลับมาหรือยังนะ
ช่วงสิ้นปีนี้โซดาอยากกลับบ้าน แม้เธอจะอยู่ที่บ้าน แต่กลับรู้สึกว่าตัวเองกำลังหลงทางอยู่ในที่ที่เคยคุ้น ใต้โต๊ะที่เคยกินอิ่ม นอนบนพื้นเย็นเฉียบ ฟังเสียงพลุปีใหม่ที่คงดังกว่าเดิม มือที่เคยปลอบให้ทุเลาไม่มีอีกแล้ว แต่โซดาก็ยังคงรอคอยด้วยความหวังต่อไป
สุดท้ายนี้ในโอกาสปีใหม่ที่กำลังจะมาถึง โซดาขอส่งคำอวยพรไปถึงอดีตเจ้าของร้านก๋วยเตี๋ยว แม้เราจะลาจากกันได้ไม่ดีนัก แต่โซดาจะหัวเราะและร้องไห้ให้กับความสุขและทุกข์ของอดีตเจ้าของร้านก๋วยเตี๋ยวเอง แด่ความอ่อนโยนที่เขาเคยให้มา
ดุดัน
“กรรรจ์ โฮกก รัน ดุดัน รัน”

‘อยากกลับบ้าน’ ใครต่อใครคงจะรู้สึกถึงประโยคนี้ในช่วงที่ชีวิตไกลออกไปจากบ้าน แต่ไม่ว่าตัวเราจะอยู่ที่แห่งไหน บ้านก็จะยังอยู่ตรงที่เดิม เพียงแต่ว่า หนทางที่จะกลับบ้านอาจจะมีความสลับซับซ้อนแตกต่างกันออกไป ต่างกรรมต่างวาระ แล้วแต่การพัดพาไปของชีวิต
ในความเป็นจริงแล้ว บ้านจะไกลหรือใกล้อาจจะไม่ได้อยู่ที่ระยะทาง แต่อยู่ที่มันจะโอบกอดต้อนรับเรามากแค่ไหนต่างหาก หรือมันจะผลักต้านไม่ให้หวนกลับไปได้อีก
‘ดุดัน’ หมาพันธุ์ทางสีดำที่ถูกเลี้ยงด้วยขนมหวานและน้ำตาลปี๊ป เพื่อเสริมแรงความดุดันที่จะกลายเป็นอาวุธยามคับขัน เขาเเข็งแรงและดุดันดังชื่อและจัดการกับใครที่เป็นปฏิปักษ์กับบ้าน รวมถึงมิตรที่ย่างกรายเข้ามาก็ไม่เว้น เขาจึงเป็นทั้งที่รักและที่ชังในบางเวลาสำหรับเจ้าของ
ดุดันรู้ว่าที่บ้านจะมีสมาชิกใหม่ เด็กน้อยลูกเจ้าของบ้านหน้าตาจิ้มลิ้มที่ออกมาจากท้องสะใภ้คนโตของบ้านที่เพิ่งจะสงบศึกกับเขาได้ไม่นาน รู้จากความครึกครื้นและรถขนของที่เทียวเข้า-ออกบ้านไม่เว้นวัน
และใช่ เขางับน่องคนส่งของแปลกหน้าไป 1 ที แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่รู้มาก่อนว่าสมาชิกเก่าจะต้องออกไปเพราะความปลอดภัยของเด็กน้อย
เขาเล่าให้ฟังเสียงเข้มและเผลอแยกเขี้ยวในบางจังหวะว่า เป็นกลางดึกคืนนั้น คืนที่ฝนตกในหน้าหนาว เสียงฟ้าร้องทำให้เขากระสับกระส่ายจนต้องกัดรองเท้าเพื่อทุเลาอาการสั่นกลัว ขูดแทะประตูเพื่อส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือ และแน่นอนว่าเจ้าของเปิดประตูออกมาเหมือนเคย แต่วันนี้กลับไม่ได้ถือไม้ในมือ เพียงแต่กอดและอุ้มเขาขึ้นหลังกระบะ หัวใจหมาตัวใหญ่อ่อนยวบ นานแค่ไหนที่ไม่ได้ถูกกอด
เป็นครั้งแรกที่ดุดันวิ่งระยะไกล เขาอยู่ในรั้วบ้านเล็กๆ มาโดยตลอด เพิ่งเคยวิ่งในที่โล่งกว้างไร้ที่กั้น แต่เขายังคงวิ่งเพื่อกลับไปบ้าน บ้านที่เขามักจะถูกผูกเชือกเอาไว้ยามมีแขกมา
วิ่งเพื่อมายืนอยู่ตรงหน้ารั้วตอนรุ่งสางให้ได้กลับเข้าไปในบ้านอีกครั้ง และนั่นคือครั้งแรกแต่ไม่ใช่เพียงครั้งเดียว
ครั้งแล้วครั้งเล่าที่มือคู่เดิมอุ้มเขาขึ้นรถกระบะคันเดิมไปหลายที่หลายแห่ง แต่ไม่ว่าจะกี่ครั้ง ดุดันก็วิ่งและพาตัวเองกลับไปได้ทุกครั้ง ดุดันรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นแม่เหล็กขั้วเดียวกับบ้าน มีแรงผลักมหาศาลที่ผลักเขาออกไปไกลกว่าเดิมและใช้เวลามากกว่าเดิมในการกลับไปมากขึ้นทุกครั้งที่ถูกผลักออกมา
เด็กน้อยลูกเจ้าของบ้านโตขึ้นพร้อมๆ กับที่หมาตัวโตชราลงและไม่ได้มีท่าทีจะเป็นปฏิปักษ์ต่อกันแต่อย่างใด แต่เขาก็ยังคงต้องวิ่งกลับบ้านอีกนับครั้งไม่ถ้วน
“อยากกลับบ้าน” ดุดันบอกคำนี้ซ้ำอยู่หลายหน เสียงพลุดังขึ้นพร้อมๆ กับความคลุ้มคลั่งของหมาดุ
เป็นอีกครั้งที่เขากำลังวิ่ง วิ่งอยู่ในลานโล่งกว้าง ฝ่าเข้าไปในฝูงคนมากมาย เป็นอีกครั้งที่อาวุธที่บ่มเพาะมาจากขนมหวานและน้ำตาลปี๊ปสำแดงพลัง ไม่รู้กี่น่องกี่ขาที่เขาฟัดไปอย่างเต็มกำลังนับตั้งแต่นั้นดุดันก็ไม่ได้กลับบ้านอีกเลย
หลังจากที่เราได้เดินลัดเลาะไปชวนฟังเรื่องของเหล่าอัศวินผู้ถือครองอิสรภาพที่รอดชีวิตมาทั้งหมดนี้ ทำให้เรารู้ว่าแม้พลุเเห่งการเฉลิมฉลองจะไม่ได้สร้างสะเก็ดไฟตกลงไปเผาไหม้ขนของหมาตัวไหน แต่ความไม่รู้ของพวกมันก็เผาไหม้ทางใจจนพาตัวไปสู่อันตรายที่มากกว่า
หมาและแมวมากมายหายออกไปจากบ้าน ทั้งประสบอุบัติเหตุจากการสั่นกลัวเสียง หรือแม้กระทั่งช็อกตาย หากตัวไหนที่มีเจ้าของคอยกอดปลอบและอยู่เป็นเพื่อนกันก็คงจะผ่านพ้นคืนนั้นไปได้ แต่ยังมีสัตว์อีกมากมายที่บ้านอยู่ข้างนอกและไม่มีใครเคียงข้าง สำหรับพวกเขาค่ำคืนนั้นก็คงจะยากลำบากมากขึ้นไปอีก
แน่นอนว่าโลกไม่ได้เป็นของสปีชีส์ใดสปีชีส์หนึ่ง เพียงแต่เราอาจต้องค่อยๆ ลัดเลาะไปตามกำแพง ท้องถนน พงหญ้า และริมรั้วบ้าน เพื่อเห็นสิ่งอื่นที่นอกเหนือจากแค่ตัวเราเองดูบ้าง คงทำให้โลกน่าอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว