10 คำตอบสุดท้ายที่ไม่ต้องโกงใครของ บาส-นัฐวุฒิ พูนพิริยะ

ไม่ใช่แค่พล็อตเรื่องเด็กโกงข้อสอบที่ขยายให้ใหญ่และใส่จังหวะน่าตื่นเต้นที่เราได้เห็นในเทรลเลอร์ภาพยนตร์เรื่องล่าสุดจาก GDH ฉลาดเกมส์โกง เท่านั้นที่ทำเราอดใจรอไปชมไม่ไหว แต่ชื่อของผู้กำกับหนุ่ม บาส-นัฐวุฒิ พูนพิริยะ ที่ห่างหายจากการลงสนามสอบนี้มานานกว่า 5 ปีหลังฝากผลงานเรื่องคาท์ดาวน์ (2555) ภาพยนตร์ที่สร้างกระแสทั้งแง่บวกและแง่ลบอย่างที่หนังควรจะเป็น คือเหตุผลสำคัญที่เราชวนบาสมานั่งคุยกันเพื่อให้แอบบอกโพยคำตอบต่อคำถามที่เราสงสัย ทั้งความคาดหวังต่อผลงานชิ้นใหม่ที่บาสบอกเราว่าใส่ใจไปเกินร้อย และมุมมองการทำงานที่เปลี่ยนไปในช่วงเวลาที่ผ่านมา

การสอบนี้ไม่มีกรรมการคุมสอบหน้าโหด ไม่ต้องจับเวลา และที่สำคัญ ลอกกันไม่ได้ เพราะคำตอบทั้งหมดมาจากประสบการณ์ที่ผู้กำกับหนุ่มเรียนรู้และทดลองมาด้วยตัวเอง

เริ่มสอบได้!

ข้อที่ 1: ทำไมภาพยนตร์เรื่องที่ 2 ของคุณถึงเว้นช่วงให้คนดูรอตั้ง 5 ปี
ตอบ: ก็ไม่ได้อยากรอนะ (หัวเราะ) คนทำหนังทุกคนกระเหี้ยนกระหือรือจะทำหนังอยู่แล้ว แต่บางทีเราอาจยังไม่เจอเนื้อหาที่เราชอบ หรือจังหวะเวลาในชีวิตหลายๆ อย่าง หลังเราทำ เคาท์ดาวน์ เสร็จก็มีโอกาสไปทำงานด้านอื่นๆ อีกหลายอย่าง กำกับโฆษณา กำกับมิวสิกวิดีโอ ก็ดีเหมือนกันนะ เราสนุกก็เลยเพลินมาเรื่อยๆ

แต่ระหว่างนั้นเราก็พยายามเขียน Synopsis สั้นๆ ไปขายทางพี่เก้ง (จิระ มะลิกุล) และพี่วรรณ (วรรณฤดี พงษ์สิทธิศักดิ์) แต่ก็ยังไม่เจอจุดลงตัวที่จะพัฒนาเป็นหนังใหญ่ได้ อาจเพราะรสนิยมของเราไม่ได้แมสมาก ขายคนหมู่มากไม่ได้ จนมาถึงเรื่องนี้ที่ไอเดียมาจากพี่เก้ง เรื่องเด็กโกงข้อสอบโดยใช้ความจำ ซึ่งเป็นข่าวที่เกิดขึ้นจริงทั้งที่ไทยและต่างประเทศว่าเด็กใช้วิธีเดินทางไปสอบในประเทศที่เวลาเร็วกว่า เราได้ยินแค่นี้ก็สนุกแล้ว

ข้อที่ 2: จากประเด็นเล็กๆ เรื่องเด็กโกงข้อสอบ คุณขยายให้กลายเป็นหนังยาวเรื่องหนึ่งได้ยังไง
ตอบ: สำหรับเราที่ไม่ได้มีประสบการณ์โกงข้อสอบอะไรมา เราว่ามันใหม่มากและน่าจะพัฒนาเป็นหนังตื่นเต้น หนังจารกรรมข้อมูลได้ ตอนแรกก็ไม่มั่นใจว่าเราจะเล่ายังไงให้กิจกรรมที่น่าเบื่อที่สุดในโลกอย่างเด็กนั่งหน้าเครียดทำข้อสอบ ดูลุ้นระทึกในระดับเดียวกับขโมยเพชรจากตู้เซฟได้ หลักๆ เราก็ต้องรีเสิร์ชข้อมูลและทำการบ้านเรื่องบทก่อน ทำยังไงก็ได้ให้บทที่เหมือนจะไม่มีอะไรเกิด conflict กันระหว่างตัวละคร พอเรื่องมันเข้มข้นแล้ว การดีไซน์ช็อตต่างๆ มันอยู่ในหัวเราประมาณหนึ่งเพราะเราดูหนังฮอลลีวู้ดตั้งแต่เด็กๆ
เพียงแต่เราเปลี่ยนจากภาพคนต่อยกันเป็นเด็กส่งโพยข้อสอบให้กันแทน

ทุกคนอาจรู้สึกว่าการลอกข้อสอบเป็นเรื่องเล็กๆ ใครๆ ก็ทำกัน โดนจับได้ก็ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายอะไร แต่เราว่านี่มัน very Thai style เป็นความเชื่อผิดๆ ที่เราอยู่กับมันจนคิดว่าปกติมานานเกินไปแล้ว ใครจะไปรู้ว่าถ้าเด็กเหล่านี้โตขึ้นไปด้วยความเชื่อแบบนี้
พอถึงจุดหนึ่งเขาอาจโกงสิ่งที่ยิ่งใหญ่ ส่งผลกระทบเสียหายต่อคนและประเทศจริงๆ เราเลยรู้สึกว่าบางทีก็ต้องตัดไฟตั้งแต่ต้นลมเหมือนกัน

ข้อที่ 3: ดูเหมือนการทำหนังให้ไปแตะประเด็นศีลธรรมของมนุษย์จะเป็นสิ่งที่คุณสนใจเป็นพิเศษนะ
ตอบ: เราสนใจความเป็นมนุษย์มั้ง เป็นรสนิยมส่วนตัวที่ชอบมนุษย์สีเทาๆ มนุษย์ที่ทำบางสิ่งที่อาจจะไม่ถูกต้อง แล้วมันส่งผลกระทบอะไรบางอย่างต่อเขา ก่อให้เกิดคำถามบางอย่าง เรื่องนี้เราเลยเลือกทำเพราะอย่างนี้ อย่าง เคาท์ดาวน์ มันตั้งคำถามกับศีลธรรมรุนแรงมาก แต่โจทย์ในการทำ ฉลาดเกมส์โกง คือเราต้องการทำหนังที่ดูสนุก บันเทิง ขับเคลื่อนด้วยพล็อตจริงๆ ก่อน ส่วนเมสเสจที่เป็นตัวตนของเราเอง ความเชื่อของเราเองในฐานะคนทำก็ยังมีและซ่อนไว้อยู่

ข้อที่ 4: กระแสตอบรับของ เคาท์ดาวน์ อาจไม่ได้ดีมาก แถมคนดูหลายคนก็บอกว่าหนังค่อนข้างสอนคนดูมากเกินไป ความเห็นเหล่านั้นกดดันการทำงานครั้งนี้ไหมและรับมือกับมันยังไง
ตอบ: เรายอมรับความเห็นได้ทุกประเภทเลยนะ เพราะสุดท้ายมันเป็นสิ่งที่เราเลือก เราชอบหนังแบบนี้ มันอาจจะเป็นทิศทางการทำงานของเราที่ถ้ามันจะไม่ได้ตรงกับความชอบของคนอื่นก็ไม่เป็นไร เรายอมสร้างอะไรบางอย่างที่อาจจะแตกต่าง ไม่ได้บอกว่าดีหรือไม่ดีนะ แค่ว่ามันแตกต่าง การทำหนังไทยจะได้มีทางเลือกหรือมีรสชาติมากขึ้น

พอมาเรื่องนี้ เราเลยไม่ได้ตั้งต้นการทำทุกอย่างจากความกลัวว่าทำอย่างนั้นแล้วเดี๋ยวจะเป็นอย่างนี้ ก็เอาตามสัญชาตญาณตัวเอง เราทำสิ่งที่เราเชื่อด้วยความรู้สึกที่รุนแรงขนาดนี้ ถ้าสุดท้ายจะมีกระแสอะไร เราก็รู้สึกว่าไม่เป็นไร มันคือคำตอบที่เราเลือกแล้ว ถูกผิดเราไม่รู้ แต่ก็โอเค

ข้อที่ 5: คุณเพิ่งให้สัมภาษณ์ในรายการ Third Class Citizen ว่าการทำงานรอบนี้ลองปรับจูนตัวเองเข้ากับคนอื่นมากขึ้น ฟังความคิดเห็นคนอื่นมากขึ้น อย่างนี้ถือว่าลดทอนตัวเองหรือเปล่า
ตอบ: ไม่นะ เราว่ามันไม่ใช่การลดทอนตัวเองเพราะความตั้งใจเราเท่าเดิม แต่ได้ทำความรู้จักตัวเองมากขึ้นผ่านการทำงาน ตอน เคาท์ดาวน์ เรายังมีความรู้สึกว่า ‘ฉันจะเอาอย่างนี้’ ‘ฉันต้องการอย่างนี้ ฉันต้องเอาให้ได้’ แต่พอเราทำงานมาเรื่อยๆ ก็จะรู้สึกว่าเราไม่ได้ทำงานเพนต์ภาพนะ เรากำลังทำหนัง และหนังคือการทำงานกับคนหมู่มากเพื่อให้ได้งานจริงๆ สิ่งที่เราต้องทำคือลดอีโก้ตัวเอง อย่าคิดว่าตัวเองถูกทุกอย่าง เอาจริงก็ถูกต้องแหละที่ผู้กำกับต้องบอกให้ได้ว่าสุดท้ายหนังจะจบลงที่ไหน แต่ในขณะเดียวกัน เราก็ต้องรับฟังและเปิดกว้าง แล้วประมวลยังไงก็ได้ให้สุดท้ายสิ่งที่เราทำยังเป็นตัวตนของเราอยู่ เราได้เรียนรู้มาจากการไปทำโฆษณาเพราะมันก็คือการทำให้คนอื่นแฮปปี้ประมาณหนึ่งนะไม่ว่าจะลูกค้าหรือคนดู

สุดท้าย ฉลาดเกมส์โกง ก็ยังเป็นตัวเรา เรามั่นใจว่าทุกเฟรม ทุกช็อต เพลงที่เลือกใช้ เสื้อผ้า ตัวละครทุกอย่างเป็นรสนิยมเราหมดเลย เพียงแต่เราเข้าใจวิธีการที่จะทำยังไงก็ได้ให้รสนิยมที่ชอบทั้งหมดมันย่อยได้ง่าย แล้วสื่อสารกับคนอื่นมากที่สุด

ข้อที่ 6: การทำหนังในระบบสตูดิโอก็ต้องบาลานซ์ความต้องการตัวเองเข้ากับค่ายเหมือนกัน สิ่งเหล่านี้จะหายไปไหมถ้าคุณได้ทำหนังอิสระของตัวเองจริงๆ
ตอบ: สุดท้ายแล้วการทำหนังก็ต้องประนีประนอมกับอะไรบางอย่างไม่ตัวเองก็คนอื่น หนังอิสระอาจมีข้อจำกัดอีกแบบ เช่น เงินทุนน้อยลง เราอาจจะไม่ได้ทุกอย่างตามที่ต้องการ แต่อย่างน้อยเราต้องรู้ว่าเราทำอะไรอยู่ เราจะสื่อสารกับคนดูกลุ่มไหน ขอให้เข้าใจตรงนั้นแล้วอย่าไปฝืนธรรมชาติมัน ซึ่งเราว่ามันสนุกนะ การออกไปทำหนังด้วยความรู้สึกว่าทุกอย่างแม่งจะไม่เป็นไปตามแผนที่วางไว้ ตอนเราทำ เคาท์ดาวน์ ทุกอย่างต้องเป็นไปตามภาพที่คิดมา คิดมาร้อยต้องได้ร้อย โดยที่บางทีไม่ได้คิดเลยว่าถ้ามึงหยุดฟังคนอื่น มึงปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์จริงๆ จากที่คาดว่าจะได้ร้อย อาจจะได้ร้อยห้าสิบก็ได้นะ

ถ้าเรามองปัญหาเป็นโอกาส ในเมื่อทำอย่างนี้ไม่ได้ กูลองทำอีกแบบหนึ่งมันอาจจะดีกว่าก็ได้ ซึ่งหลายๆ ครั้งที่ทำมาก็พิสูจน์แล้วว่ามันดีกว่าจริงๆ การคาดเดาไม่ได้แม่งทำให้สมองเราพลุ่งพล่าน ณ โมเมนต์นั้นๆ แล้วมันจะสดใหม่ การกำกับอะไรที่ต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้าอยู่ตลอดเวลามันบันเทิงเหมือนกัน

ข้อที่ 7: ฟังดูเหมือนว่าการทำงานของคุณต้องเอาความสนุกเป็นที่ตั้งก่อนเลย เราเดาถูกไหม
ตอบ: ไม่สนุกไม่ได้เลยนะ (หัวเราะ) ถ้าออกไปทำงานแบบซังกะตายมันก็จะซังกะตายทั้งกองถ่าย มึงจะกลัว จะกดดัน จะนอนไม่หลับก็ได้ แต่สุดท้ายต้องมั่นใจว่าสุดท้ายความรู้สึกเหล่านั้นจะส่งพลังงานทางบวกในการทำงาน ต้องเป็นความตื่นเต้นที่แบบ จะทำได้รึเปล่าวะ แต่ไม่เป็นไร นักแสดงตั้งใจใช่ไหม ทุกคนตั้งใจใช่ไหม โอเค สู้

ข้อที่ 8: ส่วนหนึ่งของความตื่นเต้นน่าจะเกิดจากการทำงานกับคนอื่นๆ ทั้งนักแสดง ทีมงานด้วย
ตอบ: ทำงานกับคนอื่นที่เคมีตรงกัน เราไม่เคยมีปัญหากับคนทำงานไม่เก่ง เรามีปัญหากับคนไม่ตั้งใจทำงาน อย่างตอนทำโฆษณาแล้วจ้างฟรีแลนซ์ที่เรารู้ว่าคนนี้เก่งฉิบหาย แต่มาถึง เขาให้เราแค่ 50 แทนที่จะให้ 100 เราจะมีปัญหามากเลย ออฟฟิศเราเลยเต็มไปด้วยเด็กจบใหม่ เด็กฝึกงานที่ไม่ได้เก่งเลยนะ แต่เราชอบความตั้งใจ เห็นคนที่ให้สิ่งที่ตัวเองทำเกินร้อย แล้วพลังเหล่านั้นมันส่งมาให้เราเหมือนกัน พอเราได้อยู่ใกล้ๆ เด็กที่มีแพสชัน เราจะรู้สึกว่านี่มันกูเมื่อ 10 ปีที่แล้วเลย มึงโชคดีแค่ไหนที่อีก 10 ปีต่อมาได้อยู่ตรงนี้ เพราะงั้นอย่าชุ่ยกับสิ่งที่พามึงมาได้ถึงขนาดนี้ เพราะมันจะส่งผลกับมึงในอีก 10 ปีข้างหน้าเหมือนกัน

ข้อที่ 9: ใส่ความตั้งใจไปเต็มที่ขนาดนี้ บอกหน่อยว่าคุณคาดหวังกับหนังเรื่อง ฉลาดเกมส์โกง มากน้อยแค่ไหน
ตอบ: เป้าหมายแรกของเราก็คือ วันแรกที่ฉายให้ทีมงานดู อยากให้ทีมงานภูมิใจกับมัน ขอแค่นี้ก่อนเลย ให้ทีมงานที่เหนื่อยกับเรา ขลุกอยู่กับเรา วิ่งออกกองกับเราดูแล้วเขารู้สึกว่าไม่เสียแรงเปล่า เราไม่ได้โกงเขา ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกว่ากูมาเหนื่อยทำไมวะกับหนังแบบนี้ ถ้าดูแล้วเขาแฮปปี้กับมัน เราก็ถือว่าการทำหนังเรื่องนี้ประสบความสำเร็จนะ

ส่วนฟีดแบ็กคนดูก็เป็นเรื่องคาดเดายากประมาณหนึ่ง ความคาดหวังของคนทำหนังทุกคนคือให้คนดูชอบผลงานตัวเอง แต่จะโอเคมากน้อยต่างกัน เราถือว่าคือความสวยงามของหนัง คนดูร้อยคนไม่ควรจะมีฟีดแบ็กเดียวกันหมด เราควบคุมไม่ได้ สิ่งที่เราควบคุมได้คือต้องมั่นใจว่าเราไม่ชุ่ย เราทำงานชิ้นนี้ด้วยความตั้งใจที่สุด ด้วยพลังทั้งหมดที่เรามี ที่เหลือไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เราว่ามันเป็นโบนัสของตัวงาน

ข้อที่ 10: ในอนาคตเราน่าจะยังเห็นงานภาพยนตร์ใหม่ๆ ของคุณอยู่แน่นอน
ตอบ: ถ้ามีคนจ้างก็คงทำไปเรื่อยๆ (หัวเราะ) เรายังสนุกในการทำมันอยู่ทุกวันนะ มีเครียดบ้าง นอยด์บ้าง แต่สุดท้ายแล้วมันก็เป็นสิ่งที่เราอยากทำ เราโชคดีมากๆ ที่ได้มาทำตรงนี้ เลยไม่อยากโกงโอกาสตัวเอง อยากทำให้มันดีที่สุดและสนุกกับมันมากที่สุด

คำถามพิเศษ: จริงๆ คุณจะผันตัวเองไปทำงานโฆษณาอย่างเดียวก็ได้นะ ทำไมถึงยังอยากทำภาพยนตร์อยู่ล่ะ
ตอบ: มันเป็นรักแรก เราไม่มีทางลืมรักแรกได้หรอก ความรักสมัยตอนประถมแม่งจะสดใสและสวยงามเสมอในความทรงจำ แล้วเราก็จะจำความรู้สึกเหล่านั้นไว้

วางปากกา เลิกสอบได้!

เข้าห้องสอบไปดูคำตอบของ ฉลาดเกมส์โกง ได้พร้อมกันทุกโรงภาพยนตร์ตั้งแต่วันที่ 3 พฤษภาคม 2560 ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ facebook.com/ChalardGamesGoeng

AUTHOR

PHOTOGRAPHER

ชนพัฒน์ เศรษฐโสรัถ

ช่างภาพนิตยสาร a day ที่เพิ่งมีพ็อกเก็ตบุ๊กเล่มใหม่ชื่อ view • finder ออกไปเจอบอลติก ซื้อสิ ไปซื้อ เฮ่!