อภิชัย ตระกูลเผด็จไกร : ชายหนุ่มที่กำลังพอใจในชีวิตกับโปรเจกต์เพลงใหม่ที่เขาอยากเล่าให้ฟัง

อภิชัย ตระกูลเผด็จไกร : ชายหนุ่มที่กำลังพอใจในชีวิตกับโปรเจกต์เพลงใหม่ที่เขาอยากเล่าให้ฟัง

นานแล้วที่เราไม่ได้ฟังเพลงใหม่ของชายคนนี้
เล็ก-อภิชัย ตระกูลเผด็จไกร หรือที่รู้จักกันในนาม Greasy Café หากคุณเป็นคนที่ฟังเพลงของเขาอยู่บ้าง
คงพอนึกออกว่าแนวเพลงของชายหนุ่มคนนี้นุ่มลึกอย่างไร
ความรู้สึกของความสัมพันธ์ที่เดียวดายหรือประสบการณ์ชีวิตที่ต้องฝ่าฟันเป็นเนื้อหาหลักๆ
ที่เขาทำระหว่างที่เขากำลังเก็บเกี่ยววัตถุดิบเพื่อแต่งเพลงอัลบั้มใหม่
เขามีโปรเจกต์พิเศษที่เติมความสนุกในชีวิตมากมาย ไม่ว่าจะเป็นรายการวิทยุ Cat Radio ที่เขามักจะแวะเวียนไปจัดรายการด้วยเสมอ
หรือรับบทบาทเป็นหนึ่งในหุ้นส่วนร้าน Organic Supply ลาดพร้าว
71 แต่อย่างไรก็ตาม เขาก็ยังไม่ทิ้งงานเพลงที่เขารักสุดหัวใจ
เพราะเขากระซิบเล่าให้เราฟังก่อนใครว่าจะมีผลงานเพลงใหม่ๆ
ออกมาให้ฟังในเดือนพฤศจิกายน

เราไม่ได้ยินงานเพลงของคุณพักใหญ่
ระหว่างนี้กำลังเตรียมอะไรอยู่หรือเปล่า
ช่วงนี้เป็นช่วงที่เราอยากจะพยายามทำอัลบั้มให้เสร็จ
แต่มันจะมีหลายๆ เรื่องในชีวิตที่เข้ามาแทรกตลอด ซึ่งจริงๆ
แล้วโปรเจกต์ที่มันเข้ามาแทรกมันก็เป็นเรื่องดีทั้งนั้นแหละ
เพราะมันเป็นสิ่งที่เราสนใจ อยากทำ เราจึงทำ ส่วนอัลบั้มของเราเองก็ทำต่อไปเรื่อยๆ
อยากรีบร้อนแต่ไม่ถึงขนาดที่เร่งตัวเองขนาดนั้น

วัตถุดิบที่พี่เล็กเอามาแต่งเพลงยังเป็นเรื่องของความสัมพันธ์เช่นเดิมไหม
อาจเป็นบางช่วงเวลาของความสัมพันธ์ที่เรายังไม่ได้พูดถึง
ส่วนใหญ่มันก็ยังวนเวียนอยู่ในชีวิตเรา เหตุการณ์ที่เราได้ฟัง ได้เห็นอยู่ดี
เพราะเราชอบแต่งเพลงที่เราเจอเหตุการณ์เหล่านั้นกับตัวมากกว่า เราจะเล่าง่ายกว่า เราอาจจะไม่ได้เก่งพอที่จะคิดขึ้นมาเองแล้วก็แต่งขึ้นมาได้เลย

เพลงที่คุณแต่งก็อาจจะเอนเอียงไปทางเศร้ามากกว่าสุข
ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น
เราไม่ได้คิดถึงมั้ง
แล้วมันก็ไม่ได้มีมุมแบบนั้นเกิดขึ้นกับเราเท่าไหร่ ไม่ใช่เรื่องของความตั้งใจ
แต่บางทีก็อาจจะมีโจทย์การแต่งเพลงจากโปรเจกต์ต่างๆ ก็ทำให้เรารู้สึกว่า
บางทีการทำงานแบบมีโจทย์อาจจะทำให้เราโฟกัสอะไรได้ชัดเจนขึ้นและทำให้เพลงแต่ละเพลงมันสำเร็จได้เร็วมากขึ้นก็ได้

ถ้าย้อนกลับไปในอดีต
ช่วงเปลี่ยนผ่านของชีวิตในหลายๆ ช่วง คุณเคยท้อแท้เพราะสาเหตุอะไรบ้าง
มีหลายจุดเลย ตั้งแต่จุดเริ่มต้นที่เราตัดสินใจว่า
“เอาล่ะ เราจะมาทำเพลงละ”
ช่วงนั้นเป็นช่วงที่เรายังถ่ายรูปอยู่ แล้วมันก็เป็นอาชีพที่พอจะเลี้ยงเราได้
แต่ก็เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่เราคิดว่ามันต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งแล้ว
ดนตรีหรือถ่ายภาพ ไม่งั้นการทำงาน 2 เรื่อง สุดท้ายแล้วมันก็จะไม่ดีสักเรื่อง
ก็เลยคิดว่า ถ้าเกิดออกมาทำดนตรีอย่างที่เราก็อยากทำอยู่แล้ว
อย่ามาร้องครวญครางว่าไม่มีตังค์ใช้นะ เมื่อตัดสินใจแล้วก็ต้องยอมรับมันนะ
นี่คือสิ่งที่เราพูดกับตัวเอง แล้วก็ฮึดสู้ไป

แล้วก็มีอีกช่วงที่เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิต
คือหลังจากที่เราตัดสินใจจะเล่นดนตรีแล้ว
มันก็มีช่วงที่เราแทบจะไม่มีงานเล่นดนตรีเลย สองเดือนกว่าจะมีสักครั้งหนึ่ง
แล้วงานที่มีบางทีก็เป็นงานการกุศลด้วย มันไม่สามารถยังชีพได้เลยในช่วงนั้น
เราก็ลำบากจริงๆ ตอนนั้นก็คิดว่า ‘หรือว่าเราจะต้องไปทำอย่างอื่นแล้ว’ ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าจะทำอะไร กลับไปถ่ายรูปก็อาจจะยากแล้ว
เพราะก็มีคนรุ่นใหม่มากมายที่มีฝีมือ

แล้วคุณผ่านช่วงเวลาแย่ๆ
แบบนั้นมาได้อย่างไร
เราว่ามันต้องดื้อมั้ง
ต้องดื้อแล้วก็ถามตัวเองก่อนว่าเราอยากทำมันมากมายแค่ไหน ถ้าใจตอบว่าเราอยากทำมากๆ
ก็ดื้อเลย แล้วก็ยอมรับกับสิ่งที่มันจะเกิดขึ้น ถ้ามันยังไม่มีตังค์
มันต้องอยู่ให้ได้หรือเปล่า ไม่อย่างงั้นเราก็จะเหนื่อย ไม่เอาแล้ว
เปลี่ยนไปทำอย่างอื่นดีกว่า แล้วมันก็จะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เราคิดว่ามันต้องใช้คำว่า
‘มุ่งมั่น ตั้งใจ’ แล้วถ้าผลลัพธ์มันจะยังไงก็เป็นอย่างงั้น อย่าเพิ่งไปห่วงว่าเพลงที่แต่งจะดังไหม
จะมีคนชอบไหม แต่ต้องคิดว่า เราได้ทำมันเต็มที่หรือยัง
เพราะการที่เราดื้อเพื่อสิ่งที่เรารักมันไม่เป็นอะไร มันไม่ทำให้ใครเดือดร้อน

แต่คุณก็ดื้อโดยที่ไม่รู้ว่าปลายทางเป็นยังไงหมือนกัน
ไม่รู้ครับ รู้แค่ว่าเราต้องหมกมุ่น มุ่งมั่นตั้งใจจริงๆ
เพราะอย่างเรื่องการถ่ายรูป เราถ่ายรูปมาร่วม 10 ปี
มันเป็นสนามเด็กเล่นที่เรารู้จักมันค่อนข้างจะดีพอในตอนนั้น แต่สำหรับการทำงานเพลง
มันเป็นสนามเด็กเล่นอันใหม่ที่ประตูมันก็เปิดอ้าอยู่ แม้เราจะไม่รู้ว่าการวิ่งเข้าไปข้างในเราจะล้มหรือเปล่า
แต่ข้างในมันน่าสนใจ มันมีเครื่องเล่นมากมายที่เราไม่เคยเล่น

การจากคอมฟอร์ตโซนมันจำเป็นยังไงกับชีวิตเรา
เราเชื่อว่ามันมีหลายๆ
คนที่รู้สึกว่าสิ่งที่เป็นอยู่ในปัจจุบันมันดีแล้ว มีงานแน่นอน มีเงินเดือนแน่นอน สามารถผ่อนคอนโดฯ ผ่อนรถได้ การออกจากสถานะปัจจุบันมันเสี่ยง
แต่ก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของแต่ละคนว่ากล้าที่จะออกไปเจอกับอะไรใหม่ๆ ไหม
พอก้าวออกมาแล้ว เราอาจจะเจอกับความล้มเหลวที่สุดในชีวิตก็ได้
หรืออาจจะแบบเจอกับสิ่งที่วิเศษที่สุดในชีวิตที่ไม่เคยเจอมาก่อนก็ได้
ยังไงก็ต้องลอง

มีโมเมนต์ไหนมั้ยที่อยู่ดีๆ ก็รู้สึกขึ้นมาว่าโคตรโชคดีเลยที่วันนั้นเลือกเปลี่ยนเส้นทาง
มีครับ จริงๆ
แล้วสิ่งที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ก็ดีมาก ไม่ใช่ว่าเราประสบความสำเร็จแล้วนะ
แต่เรารู้สึกว่าทุกวันนี้มันดีขึ้นเยอะมากแล้ว ถ้าจะเปรียบเทียบ มันก็ดีกว่าสิ่งที่เราเคยทำ
มันสนุกกว่าสิ่งที่เราเคยทำ แล้วมันก็เลี้ยงเราให้อยู่ได้ด้วย เท่านี้เอง

เวลาเลือกที่จะตัดสินใจทำอะไรสักอย่างคุณสนใจเสียงรอบข้างมากแค่ไหน
เราให้ความสำคัญกับแฟนเรา
ปรึกษากันว่ายังไงดี เราว่าคนมันอยู่ด้วยกันมันอาจจะมีบางเรื่องที่คิดต่างกันอยู่แล้ว
แต่ลองกลั่นกรองเอาทั้งสองคนมารวมกัน เพื่อหาว่าอะไรคือสิ่งที่ดีที่สุด
เราว่าวันแรกๆ เราดื้อมาก คือแบบไม่ฟัง ไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น คือเราอยากทำ
เราชอบแล้ว พอเริ่มโตขึ้นเรื่อยๆ เราก็เริ่มที่จะปล่อยวางลง
รับฟังความคิดเห็นคนอื่นในทุกๆ เรื่อง

ช่วงที่ล้ม พี่เล็กเยียวยาตัวเองยังไงให้ลุกได้เร็วที่สุด
เรารู้สึกเหมือนสะดุดลื่นล้มไปในบ่อโคลนที่ลาดชัน
แล้วก็พยายามจะไม่ฝืนมัน ให้มันลื่นไปจนหยุดนิ่ง แล้วเดี๋ยวค่อยๆ เดินกลับมาใหม่
เราเป็นคนที่ไม่ค่อยโวยวาย มันจะทำให้เราค่อยๆ เข้าใจเรื่องหรือปัญหามากขึ้น ว่าตอนที่เราลื่นไหลลงไปในบ่อโคลนเรามาทางไหน
เราเลี้ยวซ้ายกี่อัน เลี้ยวขวากี่อัน
แล้วก็จำไว้ว่าจะไม่พยายามเดินให้ไปลื่นที่จุดเดิม

เหมือนเชื่อว่าในวันนึงต้องคิดได้
ไม่ได้เชื่ออะไรแบบนั้นครับ
แต่คิดว่าเดี๋ยวมันก็คงจะค่อยๆ ผ่านไปได้ เราจะตีโพยตีพายเดือดร้อนหัวใจกระโดดโลดเต้นไปทำไม
แค่ใจเย็นๆ ลงหน่อย คือเรื่องราวทั้งหลายมันอาจจะไม่ทำให้ดีขึ้นเดี๋ยวนั้น
แต่เดี๋ยวมันก็จะแก้ได้ เราว่าเรื่องบางเรื่องสำหรับคนบางคนมันใช้เวลาต่างกัน
บางคนอาจใช้เวลาแก้ไขได้เร็ว บางคนอาจจะลุกขึ้นได้ช้า

เหมือนคุณให้กำลังใจตัวเองซะส่วนใหญ่เลย
มันต้องพูดคุยกับตัวเองบ้างในบางครั้ง
เพราะการพูดคุยกับตัวเองมันไม่ได้แปลว่าเป็นคนบ้า แต่มันคือการถามว่าตัวเองอยู่ที่จุดไหน
ทำอะไรอยู่ แล้วจะเดินหน้าต่ออย่างไรมากกว่า
เราถึงอยากแต่งเพลงให้แคมเปญของแสงโสม เพราะว่ามันจะเป็นเพลงที่ให้กำลังใจใครหลายคนที่กำลังมีช่วงแย่ๆ
ในชีวิต

คุณเคยบอกว่าชอบใช้เรื่องราวในชีวิตมาแต่งเพลง
แล้วการให้กำลังใจนั้นคิดถึงชีวิตช่วงไหน
แค่ย้อนกลับไปคิดว่า
เวลาที่เราตั้งใจจะทำอะไรสักอย่างหนึ่ง เราต้องเจอกับอะไรบ้าง เราก็เขียนมาคร่าวๆ ว่าจะต้องเจอกับอุปสรรคอะไร
มีวิธีแก้ไขอย่างไร
แล้วก็เอาตัวเราเข้าไปอยู่ในนั้นว่าตอนช่วงที่เราเจอปัญหาแบบนี้ เรารู้สึกอย่างไร
เราแก้ไขมันด้วยอะไร ก็ถูกเอามาบวกกันกับสิ่งที่ผ่านมาในชีวิตเรา
เราอยากจะทำให้ดีที่สุด อยากให้มันเป็นเพลงที่เราชอบที่สุด บางทีการเปลี่ยนคำคำเดียวมันส่งผลทั้งประโยคได้เลย จะร้องเพลงนี้ยังไงให้คนรู้สึกฮึบและสู้ขึ้นมา

เพลงที่คุณแต่งในแคมเปญ “SangSom คนไทย… ตั้งใจทำอะไรไม่แพ้ชาติใดในโลก
The Inspirers” มันพูดถึงเรื่องอะไร
เพลงเพลงนี้มันจะพูดถึงความตั้งใจ ความมุ่งมั่น
จริงๆ หัวใจของเพลงนี้ มันเป็นการก้าวออกมา ก้าวออกมาจากคอมฟอร์ตโซน ก้าวมาเจอกับอะไรที่ยังไม่เคยเจอ
เวลาคนต่อสู้หรือจะก้าวออกมาจากจุดเดิมๆ มันจะมีหลายสเต็ป แต่จังหวะในเพลงนี้คือเรายังไม่ออกจากบ้านเลย
จังหวะที่เรายังห่วงและระวังคิดมากว่าจะเจอปัญหาอะไรหรือเปล่า เพราะฉะนั้น เพลงนี้มันจะพูดถึงก้าวแรกว่า
อย่าเพิ่งไปกลัว ต้องก้าวออกมาให้ได้ก่อนหรือเปล่า ซึ่งตรงนี้อยากจะขอบคุณปอม ปภาวินท์
สําหรับการคุยกันในบ่ายวันนึงเรื่องไอเดีย แล้วปอมก็พูดบางอย่างออกมาที่ทําให้ภาพมันเคลียร์มากขึ้นว่าจะเล่ามันยังไง
เพลงนี้หัวใจมันจะพูดถึงก้าว ทำไปทำมาเพลงนี้มันเลยชื่อว่า ‘ก้าว’ แต่พอคุยกับแฟนเรา ทรายก็บอกว่าทำไมไม่ใช้เลข 9 ไปเลย และจากตรงนั้นมันทำให้เราคิดอะไรต่อไปได้อีกเยอะ
ซึ่งตรงนี้ก็อยากขอบคุณทรายด้วยเช่นกัน ซึ่งเหตุผลในการใช้เลข 9 เป็นชื่อเพลงนั้น เราว่าพอเราตีความมันทั้งหมดแล้วคิดดูดีๆ
เลข 9 มันอยู่ในตำแหน่งสุดท้ายก่อนที่จะเป็น 0 และในบางกรณีของใครบางคนที่ได้พยายามอย่างตั้งใจมากๆ
แล้วมันดันกลายเป็น 0ในบางครั้ง ก็อย่าลืมว่าชีวิตเราก็ยังคงมีเลข 1 ให้เริ่มต้นกันได้ใหม่เสมอ

นี่ก็เป็นเหตุผลให้คนส่งคลิปแชร์เรื่องเล่าของตัวเองในเวลา
9 วินาทีเพื่อเป็นหนึ่งในเรื่องราวของเอ็มวีเพลงนี้ด้วย
ใช่ครับ คือจริงๆ เราอยากให้มีคนเยอะๆ มาร่วมกิจกรรมนี้
เพราะเราจะได้รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาบ้าง หมายความว่าเขาเคยผ่านอะไรมาบ้าง
มันเหมือนกับตอนที่เราไปอ่านจดหมายเด็กแมวใน Cat Radio มันทำให้เราเห็นปัญหาบางปัญหาที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน
แล้วเราก็เชื่อว่าจดหมายบางฉบับที่เราอ่านออกไป มันอาจช่วยให้คนอื่นคิดอะไรต่อได้ หรือคลิปบางคลิปที่คนจะส่งเข้ามาร่วมสนุกในแคมเปญนี้
มันก็อาจจะไปช่วยคนอื่นได้เช่นกัน เราว่ามันน่าจะเป็นเรื่องดี

คุณคิดว่าคนฟังแล้วจะรู้สึกกับเพลงนี้ยังไง
เราไม่ค่อยกล้าคาดหวังเท่าไร
เราแค่อยากให้เพลงนี้มันทำงานเหมือนเราไปนั่งอยู่ข้างๆ เขา
ตอนที่เขาจะลุกขึ้นไปทำอะไรสักอย่าง เราอาจจะไม่ได้จับมือ อาจจะไม่ได้กอดไหล่
แค่ไปนั่งอยู่ข้างๆ ให้เขารู้ว่ามีเลข 9 อยู่ข้างๆ ตัวเขา ในขณะที่เขาอาจจะรู้สึกว่าตัวเองคือ 0 แล้วก็ตาม

ภาพ สลัก แก้วเชื้อ


ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในมิวสิกวิดีโอเพลงใหม่ล่าสุดของ
Greasy Café โดยมีเพียง 20
คลิปเท่านั้นที่จะได้รับคัดเลือกในบทเพลงใหม่จากโปรเจกต์
“SangSom คนไทย…
ตั้งใจทำอะไรไม่แพ้ชาติใดในโลก The
Inspirers”
โดยส่งคลิปวิดีโอยาว
9 วินาที
เพื่อบอกเล่าเรื่องราวความตั้งใจเพื่อไปถึงจุดหมายของตัวเอง และอัพโหลดขึ้นบน YouTube,
Instagram หรือ Facebook จากนั้นให้ส่งข้อมูลเหล่านี้มาที่ [email protected]

เข้าไปอ่านกติกาเพิ่มเติมได้ที่ SangSom Experience – MOVEaBAR

AUTHOR