จีน–คำขวัญ ดวงมณี : ผู้กำกับที่ใช้แฟชั่นทำ MV ให้หน้าตาดีเหมือนงานอาร์ต

Highlights

  • จีน–คำขวัญ ดวงมณี คืออดีตนักศึกษาสายแฟชั่น ที่เริ่มต้นจากการกำกับแฟชั่นฟิล์ม ก่อนขยับขยายมาทำโฆษณาและเอ็มวีอย่างทุกวันนี้
  • เอกลักษณ์ของเอ็มวีที่จีนกำกับ คือมู้ดย้อนยุค นางเอกผมม้าหน้าตาอินเตอร์ คู่สีที่ดีไซน์มาอย่างละเอียด รวมกันเป็นเอ็มวีที่ภาพสวยจนน่าแคปเก็บไว้ทุกเฟรม
  • เพราะเริ่มต้นจากสายแฟชั่น จีนต้องใช้เวลาในการพัฒนางานให้สวยและเล่าเรื่องไปพร้อมๆ กัน ซึ่งในอนาคต เธออาจใช้สกิลตรงนี้ไปกำกับหนังสวยๆ ให้เราได้ดู

ทุกครั้งที่ดูเอ็มวีที่กำกับโดย จีน–คำขวัญ ดวงมณี เราก็คันไม้คันมือ อยากแคปทุกช็อตมาตั้งเป็นภาพหน้าจอให้รู้แล้วรู้รอด!

เหตุผลไม่มีอะไรมากไปกว่าเอ็มวีของจีนนั้นสวยและเนี้ยบจนเราต้องดูย้ำๆ ซ้ำๆ หลายครั้ง แถมยังสไตล์จัดด้วยมู้ดเรโทร นักแสดงหน้าฝรั่ง และคู่สีที่ดีไซน์มาอย่างละเอียด ออกมาเป็นเอ็มวีอย่าง Lover Boy ของภูมิ วิภูริศ ที่จีนเนรมิตหาดพัทยาให้กลายเป็นไมอามี เอ็มวี ดำสนิท ของฮิวโก้–จุลจักร จักรพงษ์ ที่ดูเหมือนโลกยุคดิสโทเปียในหนังสือ 1984 เอ็มวีเพลง ปะติดปะต่อ ของ Greasy Cafe ที่มีภาพวาดคลาสสิก Ophelia เป็นแรงบันดาลใจ และอื่นๆ ที่ล้วนแล้วแต่งดงามทั้งนั้น

ไม่แปลกนัก เมื่อคิดว่าจีนจบการศึกษาจากสาขาแฟชั่นและสิ่งทอ คณะศิลปกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เซนส์เรื่องความสวยความงามจึงตามมาปรากฏในงานกำกับด้วยอย่างช่วยไม่ได้

กลับกัน เราแอบแปลกใจนิดๆ ที่เด็กสายแฟชั่นคนหนึ่งจะเลือกเดินทางสายฟิล์มเมกเกอร์เต็มตัว จนเราต้องชวนจีนมานั่งคุยกันถึงที่มาที่ไปของการทำงานสายนี้ รวมถึงแรงบันดาลใจและวิธีการทำเอ็มวีให้งดงามจนเราชื่นชม

ปกติเราเห็นเด็กแฟชั่นในแวดวงฟิล์มเป็นสไตลิสต์กันเยอะ ทำไมคุณถึงอยากเป็นผู้กำกับมากกว่า

ตอนเรียนแฟชั่น เรารู้สึกว่าเราชอบภาพสุดท้ายของงาน เช่น lookbook ของเสื้อผ้าคอลเลกชั่นนึง แต่เราไม่ชอบช่วงตรงกลางที่ต้องไปเลือกผ้า ต้องไปคุยกับช่าง ก็เลยลองคิดว่าสิ่งที่เราชอบทำจะกลายเป็นงานอะไรได้บ้าง ช่วงนั้นเราชอบดูแฟชั่นฟิล์มของแบรนด์นอก ชอบแฟชั่นวิดีโอของปราด้า เราตามดูจนอยากทำบ้างก็เลยลองเริ่มจากโปรเจกต์ของเพื่อนๆ กัน

ในการเรียนแฟชั่น เวลาส่งงาน เราจะต้องส่งหนังสือคอนเซปต์ ชุด และภาพนิ่ง แล้วถ้าเพื่อนคนไหนอยากได้วิดีโอเพิ่มเราก็ไปถ่ายให้ ใช้กล้องพ่อ แล้วก็มาตัดต่อเอง เราเลยได้รู้คร่าวๆ ว่าการทำภาพเคลื่อนไหวงานหนึ่งมันต้องผ่านขั้นตอนอะไรบ้าง

ตอนที่จีนทำแฟชั่นฟิล์ม เราไม่ได้แปลกใจเท่าไหร่เพราะเป็นงานที่ดูเข้ากันดีกับเด็กแฟชั่น แต่ทำไมถึงเริ่มมากำกับเอ็มวี

เอ็มวีตัวแรกที่ทำเป็นวงของคนรู้จักของเพื่อน เป็นเด็กมหิดลที่ทำเพลงกันเอง ไม่ได้เป็นศิลปินจากค่ายที่มีชื่อเสียง ส่วนเอ็มวีแรกที่ทำให้ศิลปินที่มีค่าย เป็นศิลปินที่ทุกคนรู้จัก คือเพลง Don’t You Go ของพี่สแตมป์ (อภิวัชร์ เอื้อถาวรสุข) คือพอมีโอกาสเข้ามา เราก็ทำเรื่อยๆ

เราไม่ได้มองตัวเองว่าเป็นผู้กำกับที่จะต้องทำแต่แฟชั่นฟิล์มหรือเป็นผู้กำกับงานแบบเดียวเท่านั้น เอ็มวีก็เป็นสิ่งที่เราชอบเหมือนกันเพราะเราชอบเล่นดนตรี เรารู้สึกว่ามันสนุกที่ได้ทำภาพในหัวออกมาให้เป็นภาพเคลื่อนไหว แล้วก็สามารถใส่สไตล์ลงไปได้ด้วย เช่น ให้มันดูแฟชั่น


จากแฟชั่นฟิล์มถึงเอ็มวี คุณต้องปรับตัวเยอะไหม

เราใช้วิธีคิดต่างกันเพราะว่ากับแฟชั่นฟิล์มหรือโฆษณาเราจะได้โจทย์เป็นสคริปต์จากเอเจนซีหรือโปรดักต์  แต่โจทย์ของเอ็มวีเป็นเพลง มันจะกว้างมากๆ ยกเว้นบางค่ายก็จะมีคอนเซปต์ว่าเขาอยากให้คีย์เวิร์ดคำนี้ออกมาในเอ็มวี แต่ส่วนใหญ่เราก็จะได้เพลงมาแล้วค่อยคิดว่าเราอยากเล่ายังไง ซึ่งเขาก็จะเปิดกว้างสุดๆ

แต่ก่อนตอนทำแฟชั่นฟิล์มเราเน้นภาพเป็นหลัก ไม่เน้นการเล่าเรื่องเลย เป็นการโพสท่าไปเรื่อยๆ มันเกิดจากการที่เราเรียนแฟชั่นแล้วเราก็ยังไม่รู้พื้นฐานการทำภาพเคลื่อนไหวมาก เราเลยคิดเป็นภาพนิ่งมาต่อกัน ไม่ได้มีต้นชนปลาย ไม่มี transition อะไรขนาดนั้น กล้องก็ถ่ายเอง เป็นกล้องนิ่งๆ หรือแฮนด์เฮลด์ ไม่ได้หวือหวามาก

เอ็มวีทุกตัวของคุณสไตล์จัดมาก ปกติเห็นภาพในหัวชัดแค่ไหน

เราค่อนข้างชัดเรื่องอาร์ตไดเรกชั่นว่าเราอยากได้อะไร เช่น ห้องนี้ผนังต้องเป็นภาพพิมพ์เท่านั้น เราก็จะหาเรฟไปให้เขาชัดๆ เลยว่าเราอยากได้ลุคแบบนี้ เราชอบสไตล์นี้ เอาความแฟชั่นมาผสมในงานของเรา หรือเราอยากได้เสื้อผ้าสไตล์ไหนก็บอกสไตลิสต์ที่เป็นเด็กแฟชั่นด้วยกัน ก็จะคุยกันรู้เรื่องอยู่แล้ว เพราะการเป็นผู้กำกับเราไม่ต้องทำเองทุกอย่าง แต่เราต้องชัดว่าเราจะบรีฟฝ่ายต่างๆ ยังไง ซึ่งจริงๆ ก็ไม่ได้เห็นภาพชัดทุกงาน (หัวเราะ) แล้วแต่คาแร็กเตอร์ของศิลปินกับความซีเรียสของเพลงด้วย

กับคาแร็กเตอร์ เราชอบคนผมม้าที่เป็นลูกครึ่ง ดูเป็นสาวฝรั่งเศส ในหลายๆ งานเลยจะมีคาแร็กเตอร์ที่ไว้ผมม้า อย่างน้องริซ่า (นางเอกเพลง Don’t You Go) เราก็จับแปะผมม้า หรือตอนนี้เราก็ตัดผมม้าอยู่ (หัวเราะ)

เมื่อได้โจทย์ คุณเริ่มคิดจากอะไรก่อน

เราเริ่มจากเนื้อเพลงก่อน พอเราตีความเนื้อเพลงแล้วว่าเอ็มวีจะมีคอนเซปต์ประมาณไหน เราก็มาคิดว่าเราอยากใส่สไตล์หรือยุคไหนลงไป อย่างเพลง Don’t You Go ของพี่แสตมป์เราก็แอบขโมยลุคของหนัง French New Wave ที่ใช้ภาพ long shot หรือคาแร็กเตอร์ผู้หญิงมาใส่ อาร์ตไดเรกชั่นหรือการจัดแสงก็จะมีโทนไปทางหนังยุค 80s แล้วพอได้ยินคำว่า Don’t You Go เรานึกถึงเซนส์ของการไล่ล่าหรือตามติด ก็เลยตีความเป็นหนังผียุค 80s ตามมาจากเนื้อเพลงเพลงและคอนเซปต์อีกที

แอบเห็นว่าคุณชอบเอางานอาร์ตไปใส่ไว้ในเอ็มวีด้วย

ใช่ๆ อย่างเพลง ปะติดปะต่อ ของ Greasy Cafe มันพูดเรื่องความฝันเราก็เลยอยากให้มู้ดดูละมุนๆ ตอนนั้นไปถ่ายกันที่อุทยาน มีซีนนอนบนเตียงในน้ำ จะคล้ายๆ กับภาพ Ophelia

ส่วนเอ็มวี ดำสนิท ของพี่ฮิวโก้ เราใส่ภาพวาด The Lovers ของ René Magritte เข้าไปในฉากที่เด็กเข้าไปในห้องแล้วมีคู่รักที่มีผ้าคลุมหัวกำลังจูบกันอยู่ เพื่อนก็มาถามเราว่าเราตีความภาพนั้นว่าอะไร เราก็บอกประมาณว่าไม่ว่าจะขาว ดำ หรือเพศไหน แต่ทุกคนก็เป็นหนึ่งเดียวกัน เราคิดง่ายๆ ไม่ได้ตีความมากมาย ในเอ็มวีนั้นเราเล่นเรื่องขาวและดำเราก็เอา symbolic หลายอันที่ตีความได้มาใส่ด้วย

มันเหมือนเราเอางานอาร์ตมาหยอด ด้วยความที่เราเรียนแฟชั่น เราก็เลยรู้เรื่องศิลปะและยุคของมันประมาณหนึ่ง เวลาเราชอบงานของศิลปินคนไหนเราก็อยากเอามาหยอดในงานของเรา

นอกจากงานศิลปะตะวันตก เรายังเห็นว่างานของคุณมีมู้ดเป็นฝรั่งมากๆ ด้วย

สมัยก่อน บรรดาเพื่อนๆ เราเขาก็จะฟังเพลงไทยเยอะ เราก็รู้จักบ้างถ้าวงไหนดังจริงๆ แต่เราจะเน้นฟังเพลงสากลมากกว่า บางทีก็ฟังเพลงตามพ่อแม่ เป็นเพลงที่มีความ Oldies นิดๆ

แต่ถ้าเป็นหนังเราดูได้หมด แต่ว่าหนังที่จะตั้งใจไปหามาดูจะเป็นหนังสไตล์จัดๆ เราชอบหนัง French New Wave Musical ของ Jacque Demy เขาเป็นผู้กำกับที่ Damien Chazelle ที่ทำ La La Land ได้แรงบันดาลใจมาอีกทีหนึ่ง Jacque Demy จะทำหนังสไตล์น่ารักๆ เราอินกับหนังของคนนี้มาก เพลงประกอบหนังก็เพราะ เราก็ไปตามซื้อซาวนด์แทร็ก หรือตามซื้อเพลงของ Michel Legrand ที่เป็นคนที่ประพันธ์เพลงของหนังของ Jacque Demy

หนังที่เราชอบมีสองแบบ ถ้าไม่ใช่หนังประเภทที่ภาพสวย เพลงสวย ย้อนยุค ก็จะเป็นหนังอีกโทนคือเครียดไปเลย เป็นหนังดาร์กๆ ไม่เชิงหนังผี แต่ว่าเป็นหนังที่ดูแล้วกดดัน ชอบมาก จะเรียกว่าฟินก็ได้ (หัวเราะ)

นี่คือเหตุผลที่งานของคุณมักจะออกมามีมู้ดเรโทรด้วยใช่ไหม

ใช่ๆ งานของเราจะไม่ค่อยมีความล้ำแบบ futuristic มินิมอล ขาว เพลนเท่าไหร่ และคำว่าแฟชั่นของเราก็อาจจะไม่ได้เป็นคาแร็กเตอร์ที่แฟชั่น เปรี้ยวสะบัด (หัวเราะ) อย่างครั้งหนึ่ง เราเคยได้คอมเมนต์ว่างานแฟชั่นเราไม่ได้จี๊ดมาก แต่มุมมองคำว่าแฟชั่นมันมีหลายแนวมาก เราก็ไม่รู้ว่าเขาอาจจะตีความคำว่าแฟชั่นไปอีกแบบหนึ่งที่ไม่ใช่สไตล์เรา เพราะเราไม่ใช่คนเปรี้ยวจี๊ดอยู่แล้ว เราก็จะมีความง่ายๆ สบายๆ ไม่ได้หรูหรามาก ซึ่งงานก็น่าจะสะท้อนความเป็นเรา

ในแง่ของเพลง เพลงแบบไหนที่คุณจะรับทำตั้งแต่ได้ยินครั้งแรก

หนึ่ง คือมันอาจจะเกี่ยวกับศิลปินด้วยว่าเขาเป็นใคร แล้วก็ทำนอง ถ้าทำนองดี เราชอบดนตรีแค่นั้นผ่านแล้ว เนื้อหาเราไม่ได้เก็บมาคิดขนาดนั้น

ที่ผ่านมามีเพลงไหนค่อนข้างหลุดกรอบจากเพลงที่คุณฟังไหม

มันไม่เชิงว่าหลุดกรอบ เพราะจริงๆ เราฟังเพลงได้ทุกแนว แต่การทำเพลงช้าน่ะยาก เพราะพอเขาเลือกมาหาเรา เขาก็จะอยากได้ทั้งวิชวลสวยๆ แล้วเนื้อหา ซึ่งบางทีมันก็ยาก เราเข้าใจเลยว่าทำไมงานบางชิ้นถึงไม่ต้องการวิชวลเพราะเขาอยากให้มันเสมือนจริงที่สุด ให้คนรู้สึกทัชและเข้าถึงง่ายที่สุด แต่พอเขาอยากได้ภาพสวยด้วย มีสไตล์ด้วย คนเข้าถึงได้ด้วย ก็ไม่ง่ายเหมือนกัน

เพลงเร็วจีนจะคิดค่อนข้างไวด้วยความที่มันมีบีต มี vibe ที่ทำให้อาจจะไม่ต้องการการเล่าเรื่องมาก แต่ความยากของการทำเพลงช้าคือมันต้องซิงก์กับเพลง หลังๆ เราค่อนข้างถือคติว่าการทำเอ็มวีที่ดีมันคือเอ็มวีที่ส่งเพลง มันไม่ใช่ทำให้เราหลุดโฟกัสจากเพลงร้อยเปอร์เซ็นต์ ส่งเนื้อเพลง มู้ด ภาพ ทำให้ดูไปด้วยกัน ไม่ใช่เราดูภาพอย่างเดียวแล้ว อ้าว! สรุปเพลงพูดเรื่องอะไร

เรารู้สึกว่างานช่วงแรกๆ ของคุณเน้นภาพมากกว่าการเล่าเรื่องแต่ช่วงหลังๆ เริ่มจะมีเอ็มวีแบบเล่าเรื่องเยอะขึ้น อะไรทำให้ตัดสินใจเปลี่ยนแนวบ้าง

มันน่าจะเป็นเพราะเราเริ่มทำงานเยอะขึ้น เริ่มทำโฆษณา คนเริ่มเห็นงานเรา เราก็ชอบกดดันตัวเองว่าพอเราทำงานวิชวลที่ไม่เล่าเรื่อง คนอีกสายหนึ่งเขาจะคิดว่างานของเรามันก็แค่สวยหรือเปล่า มันไม่ได้ให้ความรู้สึก ให้แง่อารมณ์ เป็นอาร์ตที่ดูแล้วก็จบไปหรือเปล่า มันเป็นจุดที่ทำให้เราอยากทำอะไรให้งานเราไม่อยู่ที่เดิม

เราหาความลงตัวยากเหมือนกัน เอ็มวีที่เราชอบเลยน่าจะเป็นเอ็มวีของพี่ฮิวโก้ เพราะเรารู้สึกว่ามันเป็นอาร์ตครึ่งหนึ่ง เล่าเรื่องครึ่งหนึ่ง แบบพอดีๆ คือโดยภาพรวมก็ยังดูเป็นอาร์ตอยู่ แต่ถามว่ามีเส้นเรื่องไหม ก็มีอยู่บางๆ

ยากไหมกับการทำเอ็มวีที่ต้องใส่อารมณ์ ความรู้สึกเข้าไปมากขึ้น

ยากเหมือนกันเพราะว่าจริงๆ แล้วเราเป็นคนแข็งๆ ประมาณหนึ่ง คือถ้าไปบรีฟงานผู้หญิงๆ เราต้องมีแอ็กติ้งโค้ชช่วยเพราะเราไม่ใช่คนอิ๊อ๊ะ ไม่มีคาแร็กเตอร์ผู้หญิงๆ ที่จริตจะก้านเยอะ ยิ่งเป็นเอ็มวีมันจะยิ่งยากเพราะมีความ emotional สูงมาก

อย่างเอ็มวีเพลง ยังอยู่ ของสครับบ์ก็ยากเพราะมีความ emotional สูง เป็นซีนกลางคืนเยอะด้วยก็เลยต้องถ่ายให้ทัน เราก็ใช้วิธีเล่าแบ็กกราวนด์ตัวละครคร่าวๆ ให้นางเอกฟัง เช่น บอกกับเขาว่าเราอยากให้รู้สึกกับแว่นสายตาอันนี้มากขึ้นเพราะมันเป็นแว่นสายตาของแฟนเรานะ เวลาจับให้ใช้เวลากับมันมากขึ้น แต่สุดท้ายถ้าเราไปทำหนังสั้นกับภาพยนตร์มันก็คงต้องลงรายละเอียดมากกว่านี้

อย่างที่บอกว่าเป็นคนแข็งๆ เวลาจะไปบรีฟนักแสดงในเพลงที่ต้องใช้อารมณ์เยอะๆ เราต้องทำตัวเองให้อินก่อนไหม

ก็ต้องทำด้วย จริงๆ กับทุกเพลงเราก็ต้องทำตัวให้อินเหมือนกัน เราจะชอบฟังเพลงบนรถ เรารู้สึกว่าการเดินทางไปทำงานมันเสียเวลาเพราะประเทศเรารถติด เลยชอบหาอะไรทำ เช่น คิดงาน ถ้าเป็นงานที่มีโจทย์ เช่น เอ็มวี หรือแม้แต่โฆษณาที่มีโจทย์เป็นเพลง เราก็จะฟังบนรถนี่แหละ เพราะมันมีสมาธิ คิดอะไรคนเดียวได้ แล้วก็มีช่วงกลางคืน ไม่รู้ทำไม แต่มันเป็นบรรยากาศหนึ่งที่คิดงานได้

เราชอบตอนจบเอ็มวีของคุณที่ขึ้นเครดิตทีมงานเหมือนเครดิตภาพยนตร์มากๆ หลังจากนี้คุณคิดจะทำหนังบ้างไหม

อยากเหมือนกัน แต่เราอยากลองทำหนังสั้นของตัวเองก่อน เราอยากรู้ว่าเราจะใช้ตัวเราเล่าเป็นหนังได้แค่ไหน ไม่กล้าทำงานของคนอื่น กลัวทำของเขาพัง (หัวเราะ)

ที่ผ่านมาเราไม่ค่อยมีเวลาส่วนตัวเท่าไหร่ ทำงานทุกวันตั้งแต่เดือนมิถุนายน มันเลยกลายเป็นว่าเราติดอยู่กับงาน ไม่ได้เอาตัวเองไปเปิดรับอะไรใหม่ๆ หรือไม่มีเวลาคิดกับตัวเอง เคยมีคนถามเหมือนกันว่าถ้าอยากทำหนัง อยากทำเกี่ยวกับอะไร เราก็ตอบไม่ได้เท่าไหร่เพราะเรายังไม่ค่อยมีเวลาให้ความสนใจส่วนตัวขนาดนั้น

อย่างนี้ เป้าหมายของคุณตอนนี้คืออะไร

เราไม่อยากอยู่ที่เดิม อย่างช่วงนี้เรารู้สึกว่าเราทำงานเยอะไปแล้ว เราเริ่มใช้วัตถุดิบใกล้ๆ ตัว มันเริ่มดูออกแล้วว่าเราจะมามุกนี้ เราน่าจะต้องเปลี่ยนแปลงชีวิตตัวเอง เราอยากไปต่างประเทศ ออกจากจุดเดิมๆ ที่เคยอยู่ ออกจากเซฟโซน คือเราสร้างภาพจำให้คนได้ประมาณหนึ่งแล้ว เราก็อยากทำอะไรใหม่ๆ ซึ่งก็อาจจะดีหรือไม่ดีก็ไม่รู้ แต่เราก็ได้ลอง


5 เอ็มวีของ จีน คำขวัญ ที่น่าดูและน่าแคปเก็บไว้เป็นที่สุด

01 ดำสนิท / ฮิวโก้–จุลจักร จักรพงษ์

“ตอนได้โจทย์มา พี่เล็กบอกว่าเขาชอบอะไรแนวเยอรมันๆ เราก็บอกเขาว่าเราอยากทำฟิล์มนัวร์ แล้วก็กลับไปคิดจนได้คีย์เวิร์ดที่เราชอบ แต่ยังไม่สามารถเอาคีย์เวิร์ดมารวมกันเป็นเส้นเรื่องได้ เราก็เลยไปคุยกับเพื่อน เพื่อนก็น่ารักมาก คิดพล็อตให้เลย (หัวเราะ) เราก็บอกว่าไม่เป็นไร แต่เราชอบคำคำหนึ่งที่นายใช้นะ คือคำว่าสีตก เราก็เลยคิดว่า เออว่ะ ทำไมเราไม่เล่นเรื่องขาว-ดำไปเลย ก็เลยกลายเป็นที่มาของเอ็มวี”


02 Lover Boy / ภูมิ วิภูริศ

“เพลงของภูมิเราไม่ได้คิดเยอะ (หัวเราะ) คิดแค่ว่าอยากไปถ่ายที่พัทยา เราชอบงานนี้ตรงที่มันสดแล้วมันก็สนุก เหมือนเพื่อนไปเที่ยวด้วยกัน แต่ถามว่ามี error ไหม ก็มี อย่างเช่นถ่ายมาแล้วแอ็กติ้งไม่ต่อเนื่องกันเพราะว่าวันแรกที่ไปถึง เราถ่ายฉากกลางคืนก่อน ซึ่งเป็นครึ่งหลังของเพลง ตอนแรกบอกภูมิว่าเราจะมาแนวเกรียนๆ นิดหนึ่ง จะให้ภูมินอนแล้วเอาทรายทับตัว แต่พอคืนแรกเราเอามาลองตัด เราก็ต้องบอกน้องว่า “ภูมิ นายเกรียนไม่ได้แล้ว มันออกมาคูลกว่าที่คิดว่ะ” (หัวเราะ)

“ความสดมันนำพามาซึ่งความรู้สึกคนละแบบ แต่เราก็ทำแบบนี้ไม่ได้ทุกงาน บางงานเป็นเพลงช้ามันก็ต้องการการเล่าเรื่องและการซิงก์เนื้อเพลงกับภาพ”


03 Don’t You Go / แสตมป์–อภิวัชร์ เอื้อถาวรสุข

“พอเริ่มทำงานที่เล่าเรื่องเราก็กลัวเหมือนกัน (หัวเราะ) เราก็ยังมีความไม่เซลฟ์ว่าสิ่งที่เราทำมันดีไหม พอมีคนตามงานก็เหมือนมีคนจ้องมองตลอดเวลาแหละ งานออกมาดีหรือไม่ดี เราคิดว่าการที่เราเบสจากแฟชั่นฟิล์ม เด็กอาร์ตหรือเด็กแฟชั่นจะค่อนข้างชอบหรือซัพพอร์ตงานเราอยู่แล้ว แต่ในสายงานที่กว้างออกไปเขาจะเข้าใจแค่ไหน แต่หลังๆ ก็เริ่มรู้สึกว่าไม่เป็นไร”


04 เสาอากาศ / M Yoss

“เอ็มวีนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากหนังคัลต์ญี่ปุ่นชื่อ Hausu เกี่ยวกับเด็กผู้หญิงที่ไปบ้านคุณป้าที่มีแมวผีตัวหนึ่ง เราชอบความฟุ้งของภาพและเอฟเฟกต์การวาดทับลงไปในเฟรมของหนังเรื่องนั้น และเพราะเพลงชื่อ เสาอากาศ เราก็เลยใส่ความแอนะล็อก เสาอากาศ หรืออุปกรณ์วิทยาศาสตร์เข้าไป แล้วก็เพิ่มความ sci-fi ก็เลยคิดพล็อตเรื่องเป็นนักประดิษฐ์ที่ประดิษฐ์เสาสัญญาณอากาศแล้วได้เจอผู้หญิงจากอนาคต

“เราดีไซน์การแต่งตัวให้เป็นยุค space age ที่ชุดจะเป็นเดรสตรง ไม่เข้ารูป ทรงผมจะเป็นผมม้า ผมบ๊อบ มีวิกสี มันคือความเข้าใจความเป็นอวกาศในยุค 60s เอ็มวีเลยจะมีความป๊อปและความอวกาศที่รวมๆ กันแล้วน่ารักดี”


05 ปะติดปะต่อ / Greasy Cafe

“ผีเสื้อตอนต้นเอ็มวีมาจากการที่เรานึกถึงหนังเรื่อง Butterfly Effect ที่ใช้ผีเสื้อเป็นสื่อถึงโลกคู่ขนาน ซึ่งผีเสื้อตัวนี้ค่าซีจีก็แพงมาก (หัวเราะ) แต่เราอยากได้เพราะมันไม่ใช่อยู่ดีๆ เราจะอยากได้ผีเสื้อมาบินเฉยๆ แต่มันเป็น opening sequence ที่จะนำไปสู่เรื่องความฝันที่เหลือ”


ใครอ่านแล้วอยากดูผลงานสวยๆ ของจีนอีก สามารถติดตามได้ที่นี่ หรือที่ instagram ชื่อ afilmbykhamkwan ได้เลย

AUTHOR

PHOTOGRAPHER

ปฏิพล รัชตอาภา

ช่างภาพอิสระที่สนใจอาหาร วัฒนธรรม และศิลปะร่วมสมัย มีความฝันว่าอยากทำงานศิลปะเล็กๆ ไปเรื่อย รวบรวมผลงานไว้ที่ pathipolr.myportfolio.com