ขิม-พัทธมญส์ กาญจนพันธุ์ : ไปสัมผัสอินเดียแบบอินไซต์กับสาวเจ้าของเพจ ‘ตามติดชีวิตอินเดีย’ สุดฮิต

เราเป็นแฟนตัวยงของเพจ ตามติดชีวิตอินเดีย
บนเฟซบุ๊ก เพจเล่าประสบการณ์ชีวิตสนุกปนฮาน้ำตาเล็ดของ ขิม-พัทธมญส์
กาญจนพันธุ์
สาวไทยตัวเล็กตาโตเจ้าของรอยยิ้มแฉ่ง ผู้อาศัยในดินแดนภารตะ
ปัจจุบันเพจมียอดไลก์สองแสนต้นๆ เสน่ห์ของเรื่องราวและลีลาการนำเสนอทำให้คนอ่านตั้งแต่เด็กมัธยมฯ
นักศึกษา คุณยาย หรือแม้แต่พระสงฆ์ยังติดเรื่องเล่าของเธอกันอย่างงอมแงม

เราใช้เวลาติดต่อ ‘ขิม’ ไม่นานนัก
ก็ได้ต่อสายสนทนาทางวิดีโอตรงจากกรุงเทพฯ ถึงเมืองไมซอร์ ประเทศอินเดียโดยทันที
ขิมทักทายเราด้วยยิ้มและน้ำเสียงสดใส เราเห็นหน้าเธอครั้งแรก แต่กลับรู้สึกคุ้นเคยเพราะอ่านเรื่องของเธอนานแรมปี
จากสาวเชียงใหม่ ลัดฟ้าสู่เมืองไอที ‘บังคาลอร์’ โยกย้ายมายังเมืองโยคะ ‘ไมซอร์’ ในปัจจุบัน โชคดีที่วันนั้นชั้นเรียนวิชาเอกสื่อสารมวลชน ระดับปริญญาโทของขิมหยุด
เราเลยได้โอกาสฟังเธอแบ่งปันประสบการณ์ว่าอินเดียให้อะไรและเปลี่ยนแปลงตัวเธอยังไงบ้าง
พร้อมกับคำถามสำคัญที่ว่าคนและประเทศอินเดียน่ากลัวอย่างที่ใครหลายคนคิดจริงหรือ?

เธอไม่รอช้าเปิดฉากเล่าเรื่องโหด
มัน ฮา ที่ได้เจอในอินเดียอย่างออกรส ไม่เว้นวรรคจังหวะหายใจ
ช่างสมคำโฆษณาที่เธอบอกว่าตัวเองมีพรสวรรค์ด้านการเล่าเรื่องระดับดีเยี่ยมบนหนังสือเล่มแรกในชีวิตชื่อเดียวกันกับเพจ
ที่เธอเพิ่งคลอดออกมาสดๆ ร้อนๆ

เริ่มต้นทำเพจตามติดชีวิตอินเดียได้ยังไง
และเกณฑ์ในการเลือกเรื่องเล่าลงเพจคืออะไร
เริ่มจากการบ่นเรื่องการใช้ชีวิตที่อินเดียในเฟซบุ๊กส่วนตัว
แล้วเพื่อนเราเริ่มมาตามอ่านทุกวัน วันไหนที่เราไม่มีเรื่องเล่า
เพื่อนจะมาถามว่าวันนี้ไม่มีเรื่องเล่าเลยเหรอวะ ส่วนเรื่องเกณฑ์การคัดเรื่องมาลง
เราไม่มีเลย เพราะในหนึ่งวันเกิดเรื่องอะไรในชีวิตเรา เราเล่าง่ายๆ ไปเรื่อยๆ บ่นทุกเรื่องในชีวิต
เพราะเราขี้บ่นมาก

เรื่องราวที่ขิมเล่าในเพจดูน่าปวดหัวและชวนเครียดมาก ทำไมถึงทำให้กลายเป็นเรื่องเล่าตลกๆ ได้
ไม่ได้ตั้งใจให้เรื่องตลกเลยนะ
เรื่องที่เอามาแชร์ส่วนใหญ่เกิดจากความเครียด ความโมโห แล้วต้องการที่ระบาย
แต่บังเอิญบ่นตลกไง เราไม่ได้เป็นคนตลก แต่เราเป็นคนบ้าเว้ย เพื่อนยังบอกเลยว่าบ้า
ต้องโทษเพื่อนแล้วล่ะ เพราะเราติดนิสัยพวกมัน แล้วต้องโทษพ่อด้วย
เขาเลี้ยงเราแบบแปลกๆ ห้ามใส่กระโปรง ไม่ต้องพูดเพราะ กวนตีนพ่อได้ตั้งแต่เด็ก
เพราะพ่อไม่ชอบผู้หญิงหวานๆ โตมาถึงห้าวแบบนี้

ตอนนี้คนกดไลก์เพจตามติดชีวิตอินเดียสองแสนกว่าคนแล้ว
ชีวิตเปลี่ยนไปยังไงบ้าง
รู้สึกว่ามีคนติดตามเรื่องราวของตัวเองมากขึ้น
แต่ไม่ได้รู้สึกเปลี่ยนแปลงเท่าไหร่ เพราะเรายังใช้ชีวิตประจำวันที่อินเดียตามปกติ
แต่รู้สึกแปลกๆ เวลากลับไทย เพราะมีคนรู้จักมากขึ้น
จะพูดอะไรต้องระมัดระวังกว่าเดิม แต่เรางงมากกว่าที่มีคนชอบเพจมากขนาดนี้
เพราะเรื่องที่เล่าไม่มีสาระอะไรเลย เชื่อไหม พอเราโพสต์เรื่องมีสาระนะ คนกดไลก์น้อยมาก
แต่พอโพสต์เรื่องไร้สาระหรือเพี้ยนๆ คนมาอ่านเต็มเลย
แล้วยิ่งกว่านั้นคือลูกเพจก็เพี้ยนๆ เขาจะมาเล่าเรื่องแปลกในอินเดียให้ฟังด้วย
เอาจริงบ้ากว่าเราอีก (หัวเราะ) แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปอย่างชัดเจนคือตั้งแต่ทำเพจทำให้มีเพื่อนมากขึ้น
บางคนมาเที่ยวอินเดียแล้วแวะมาเยี่ยม คุยกันจนสนิท ด้วยความที่เขารู้จักตัวตนเราบางส่วนจากเพจอยู่แล้ว
พอเจอกันเลยคุยง่ายมาก บางคนชอบเพจจริงๆ ถึงขนาดส่งของกินมาให้ เราเกรงใจเขาน่ะ
น้ำตาคลอเลยค่ะ (หัวเราะ) แต่ที่ประหลาดคือชอบจนมีผู้ชายมาขอเป็นแฟน
ล่าสุดหนักมากคือขอเป็นเมีย งง อะไรของแก

คนไทยมีภาพจำว่าผู้หญิงที่อยู่ประเทศอินเดียไม่ค่อยปลอดภัย
ทำไมพ่อขิมถึงอนุญาตให้ไปเรียนที่นั่น
พ่ออนุญาตเร็วมาก เขาไม่ห่วงอะไรเลย
ทุกอย่างง่ายมากเพราะพ่อปรึกษาเพื่อนที่ลูกเขาไปเรียนอินเดียมาแล้ว พ่อวางใจในตัวเราเพราะเขารู้ว่าเราแข็งแรงและไม่เป็นอะไรแน่นอน
ไม่เคยกลัวอะไร เพราะอยู่คนเดียวมา 2 ปี ไม่มีอันตราย เราแค่อยู่ให้ถูกที่ถูกทาง
ไม่มีใครทำอะไรได้หรอก ถ้าใครทำเรานะ ให้ด่าเสียงดังๆ นำก่อนเลย คนจะได้มอง
ไม่งั้นก็ร้องไห้ให้คนสงสาร เอาสิ เราบ้ากว่าคนอินเดียอีก ทำอะไรเราไม่ได้หรอก

นอกจากเพจตามติดชีวิตอินเดียจะช่วยให้คนอ่านคลายเครียด
ขิมคิดว่าเพจของตัวเองมีข้อดีอะไรอีกบ้าง
ทำให้คนหายกลัวประเทศอินเดีย
โดยนำเสนอด้านดีหรือด้านที่ตลกโปกฮาและสนุกสนาน เพื่อให้คนไทยรู้สึกอยากมาเยือนอินเดีย
จะได้กลัวกันน้อยลงบ้าง ออกมาเถอะ เราเป็นผู้หญิงตัวคนเดียวยังมาได้เลย
ถึงจะโดนหลอกบ้าง แต่เชื่อสิเอาตัวรอดไม่ยาก

หลังจากขิมอยู่ประเทศอินเดียมานาน
สังเกตเห็นว่าความคิดและนิสัยของตัวเองเปลี่ยนแปลงไปยังไงบ้าง
เปลี่ยนไปอย่างมาก
ตอนแรกเป็นคนขี้โมโหง่าย คิดดูสิ เราสั่งอาหารเดลิเวอรี่ ตามหลักสากลพนักงานต้องมาส่งของถึงที่บ้านสิ
แต่ดันมาจอดรถหน้าปากซอย แล้วบอกว่าหาบ้านไม่เจอให้ออกมาเอาข้าวเอง เราโมโห เค้านั่นแหละต้องมาหาเรา นี่ลูกค้านะ สุดท้ายต้องยอมออกไปเอาเอง ต้องฝึกหัดตัวเองให้มองทุกอย่างในแง่บวกขึ้น
ถ้าอยู่ที่นี่เป็นคนมองแง่ลบจะเหนื่อยมาก เราเลยทำความเข้าใจว่าจะให้ทุกอย่างเป็นอย่างใจไม่ได้หรอก
ต้องปรับตัวให้กินง่ายอยู่ง่าย ทำตัวให้เป็นพวกมัน
ทุกวันนี้นิสัยเหมือนพวกแม่งไปแล้ว เพราะกลายเป็นคนไม่คิดซับซ้อน ไม่ทำตัวยุ่งยาก
อยู่ที่นี่อยากใส่เสื้อกับกางเกงที่สีไม่เข้ากันก็ยังได้ อยากร้องเพลงกลางถนนดังๆ คนก็ไม่สนใจ
ถ้าเป็นที่บ้านเราโดนถ่ายคลิปแฉลงเว็บไซต์แน่ อยู่อินเดียเราทำอะไรก็ได้เท่าที่สิทธิเรามี
สิทธิเรา คนอินเดียไม่แคร์ใคร

มีเหตุการณ์ไหนที่ทำให้ขิม
Culture Shock รุนแรงที่สุด
วันแรกๆ ที่มาถึง
ไปซื้อเบอร์เกอร์ที่ร้าน Subway ต้องเลือกไส้ ช่วงแรกเราฟังสำเนียงภาษาอังกฤษไม่รู้เรื่องเลย
สื่อสารกันไม่ได้แม้สักนิด จนเราบอกพนักงานว่า up to you จะใส่อะไรใส่เลย พอทำเสร็จออกมาเป็นไส้ผักล้วน รสชาติเปรี้ยวจี๊ดจนกินไม่ได้ แล้วเราถามพนักงานว่ามีหน้าแบบนี้มั้ย
เขาส่ายหัว เราเลยนึกว่า เอ้า ไม่มีนี่ แต่เปล่าเลยส่ายหัวคือใช่ เรางงไปหมด ตอนนั้นรู้สึกว่าฉันไม่เหมาะกับที่นี่เลย
อยู่ไม่รอดแน่ๆ แล้วโดยปกติคนที่นี่จะตะโกนใส่กัน เราช็อกมาก เหมือนโดนดุด่าตลอดเวลา
แต่ตอนนี้ไม่กลัวแล้ว ตะคอกกลับเลยค่ะ

ขิมเคยเฉียดประสบการณ์อันตรายในประเทศอินเดียบ้างไหม
ไม่ได้มีอันตรายอะไรมาก
มีแต่อุบัติเหตุแค่เล็กน้อย รุนแรงมากสุดคงเป็นกระดูกร้าวใส่เฝือก แต่อันนี้โง่เองเพราะเอาบิ๊กไบค์ของเพื่อนชาวอาหรับออกไปซิ่ง
แล้วรถอีแต๋นขับตัดหน้าเลยบวกมันจนตัวเองล้ม แต่รู้ไหมรถอีแต๋นขับผ่านไปเลยมันไม่สนเลยว่าเราจะเป็นยังไง
ไม่ชะลอดู ไม่หยุด ไปเรื่อยๆ ของมันเฉย

คนไทยจะได้ยินเรื่องการอึตามที่สาธารณะในประเทศอินเดีย
ทุกวันนี้ขิมอึตามข้างทางได้หรือยัง
ยังไม่เคยทำแบบนั้น เราไม่ไหวจริงๆ แต่เคยฉี่ราดกางเกงด้วยเพราะที่นี่มีห้องน้ำสาธารณะน้อยมาก
ตอนนั้นเราปวดฉี่สุดขีด แล้วต้องขับรถมอเตอร์ไซต์จากมหา’ลัยกลับบ้านระยะทาง 12 กิโลเมตร
ไกลมากๆ แล้วยิ่งลำบากเพราะถนนที่อินเดียเป็นลูกรัง เป็นหลุมบ่อไปหมด เราเลยอั้นเพื่อไปปล่อยที่บ้าน
แต่สุดท้าย เราไม่ไหวอะ ฉี่ราดกลางทางเลย กางเกงยีนส์นี่ชุ่มไปหมด คิดดูฉันเกิดมา 20 กว่าปี
ตอนอนุบาลยังไม่เคยฉี่ราดกางเกงเลย หลังจากนั้นพอเราปวดนะ ไม่สนใครแล้ว ต้องหน้าด้านขอเข้าห้องน้ำตามโรงแรม
ร้านอาหาร ร้านอะไรได้หมด อาจจะทำเป็นซื้อของหนึ่งถึงสองรูปีเพื่อขอเข้าห้องน้ำก็ยอม

ด้วยหน้าตาของขิมที่แตกต่างไปจากคนท้องถิ่นในเมืองบังคาลอร์และไมซอร์
เขาเข้ามาถามมั้ยว่าขิมเป็นใครมาจากไหน
มีคนเข้ามาถามเยอะมาก
อย่างคนขับแท็กซี่ถามเราว่าเป็นคนอิตาลีเหรอ โอ้โห มั่วมาก ถามนี่รู้รึยังว่าคนอิตาลีหน้าตาแบบไหน เราตอบเปล่านะเป็นคนไทย ยังไม่จบ ถามต่อว่าคนไทยพูดภาษาอิตาเลี่ยนเหรอ
อะไรเนี้ย ต้องฝังใจกับประเทศอิตาลีแน่ๆ อีกทีหนึ่งไปมหา’ลัย อยู่ๆ คนเดินเข้ามาถาม
เธอเป็นคนอิรักเหรอ เพื่อนในคลาสเหมือนกัน เธอเป็นคนอียิปต์เหรอ อียิปต์อะไรวะ
ไม่พอนะ ยังมีมาถามด้วยว่าเป็นคนจีน ญี่ปุ่น หรืออาหรับ โคตรมั่วซั่ว
ไม่ได้วิเคราะห์อะไรมั่วล้วนๆ

สีสันและความสนุกของเพื่อนชาวอินเดียคืออะไร
เพื่อนคนอินเดียเห่อเรามาก
เขาตื่นเต้นเพราะเราเป็นชาวต่างชาติ แล้วพวกนี้ชอบเล่นอะไรแปลกๆ
ขนาดเรียนปริญญาโทกันแล้ว แต่ยังเล่นตีลังกา เล่นต่อสู้ แสดงละคร ร้องเพลง
หรือเปิดเพลงเต้นรำ นี่เลิกเล่นแบบนี้ตั้งแต่ ป.5 แล้วนะ อยู่ๆ
มาชวนว่าเธอมาเล่นเป็นนางเอกสิ เราเป็นพระเอก เราเป็นผู้ร้าย เอาล่ะ
เธอวิ่งมาทางนี้นะ ดูมันเล่นกันสิ (หัวเราะ) แล้วถ้าเราไม่เล่น
เพื่อนจะมารุมถามว่าอ้าวขิมเป็นอะไรไป ทำไมเธอไม่เล่นด้วยกันล่ะ หลังๆ
เราเลยเล่นด้วยเลย ซึ่งหลายครั้งจากที่สังเกต คิดว่าคนอินเดียมีความเป็นเด็กสูงมาก
แต่กลุ่มเพื่อนคนอินเดียที่มีความเป็นผู้ใหญ่ที่ไปเจอกันข้างนอกก็มี

อยากให้ขิมพูดถึงเพื่อนสนิทคนอินเดีย
เพื่อนสนิทเราชื่ออินดิรา เป็นผู้หญิงใสๆ
ไม่เคยกินเหล้า ไม่เคยเข้าผับ พูดง่ายๆ คือไม่เคยทำอะไรเลย เราทั้งคู่สนิทกันนะ
แต่ไม่มีอะไรเหมือนกันสักอย่าง อยู่ด้วยกันยังไม่รู้เลยว่าจะพูดเรื่องอะไร
ชีวิตของอินดิรามีแต่การดูหนังอินเดีย เขาใสๆ และโลกสวยมาก แต่เราขี้เหวี่ยง ซึ่งพอเราโมโหใครเขาอยู่ข้างเราตลอด
ไม่เข้าใจเรื่องไหนเขาจะมาคอยบอก อธิบายเรื่องวัฒนธรรมอินเดียให้ฟัง อย่างคนที่นี่เขาใช้มือกินข้าว
แล้วเราทำไม่เป็น อินดิราต้องป้อน ทุกครั้งที่ไปโรงอาหารเธอรู้ว่าต้องปั้นข้าวเป็นก้อนให้กิน
ถ้าเราไม่สบาย อินดิราจะนั่งรถเมล์มาทำกับข้าวให้กิน
แล้วเราเป็นเพื่อนต่างชาติคนแรกของเขา ปกติถ้าอินดิราอยู่กับเพื่อนตัวเองเขาพูดแต่ภาษาท้องถิ่น
พอคบกันเลยได้ฝึกภาษาอังกฤษไปด้วย เราว่าคนอินเดียจะรู้สึกเท่ที่มีเพื่อนเป็นคนต่างชาติ
เขาเอาไปอวดพ่อแม่ พ่อแม่เขาก็ไปอวดคนแถวบ้านต่อ จนคนในจังหวัดรู้หมดเลย เรากลายเป็นคนเด่นดัง
อินดิราเคยพาเราไปโชว์ตัวที่บ้านเกิดรอบนึง ตอนนั้นคนกรูกันเข้ามาดูทั้งหมู่บ้าน

คนอินเดียที่ขิมรู้จักมีทัศคติต่อคนไทยยังไงบ้าง
เขาตื่นเต้นกันมาก
เหมือนคนไทยบ้าเกาหลี คนอินเดียบอกว่าผู้หญิงไทยผิวสวย เซ็กซี่ ประเทศสวยงาม
เขาชอบไปฮันนีมูนที่ไทย ซึ่งความฝันของคนอินเดียคือต้องการมาพักผ่อนในไทยสักครั้ง
ส่วนใหญ่เขารู้จักเมืองพัทยาและจังหวัดภูเก็ตบางคนถึงขนาดนึกว่าพัทยาเป็นเมืองหลวงของไทย
สำหรับคนอินเดียการเดินทางไปไทยไม่ได้ทำกันง่ายๆ มีหลายคนมาบ่นว่าขอวีซ่าไปบ้านเรายากมาก

ขิมมีวิธีการปรับตัวให้เข้ากับคนอินเดียยังไง
วิธีการคือเขาคิดอะไร เราคิดแบบนั้น
คนที่นี่ไม่คิดเยอะ ไม่ซับซ้อน คิดยังไงพูดอย่างงั้น ปวดฉี่ก็ลงไปฉี่ทันที
ทะเลาะกันก็ลุยเลย เดี๋ยวแยกเอง เวลาเราโกรธคนอินเดีย
อินดิราเพื่อนสนิทของเราสอนว่าอย่าไปคิดแบบนั้นให้มองแบบนี้สิ แล้วจะโกรธน้อยลง อีกอย่างเราต้องเข้าใจธรรมชาติของคนอินเดียนะ
ประชากรมันเยอะ เขาต้องต่อสู้ ไม่มีเวลามาเกรงใจกัน ถึงจะพูดกันห้วนๆ แต่จริงๆ เป็นคนตรงๆ
และจิตใจดี

กิจกรรมที่คนอินเดียชอบทำคืออะไร
ถ้าเป็นผู้ชายชอบเล่นกีฬา เขาใช้เวลาว่างเล่นคริกเก็ต
คลั่งกันมากเหมือนเป็นสิ่งที่ฮิตที่สุดในโลก ถึงขนาดว่ามีโรงเรียนที่เปิดสอนแต่คริกเก็ตโดยเฉพาะ
จะได้ออกมาเป็นนักกีฬาคริกเก็ต ถึงเวลามาคุยกันทุกคนพูดแต่เรื่องดูคริกเก็ต
นักกีฬาคริกเก็ตเท่มากๆ ส่วนผู้หญิงต้องเสริมสวยให้เต็มที่ ถ้าอยู่บ้านจะเอาน้ำมันมะพร้าวสระผม
ประทินโฉมตัวเองทุกรูปแบบ

ได้รู้มาว่าคนอินเดียมีความชาตินิยมสูง
ขิมสังเกตเห็นลักษณะเด่นนี้ยังไงบ้าง
เขาชอบดูหนัง ฟังเพลงอินเดีย ไม่ดูและฟังของต่างชาติ
อย่างตอนที่เราอยู่มหา’ลัย เปิดเทย์เลอร์
สวิฟต์ฟังกับเพื่อนชาวอินโดนีเซีย แล้วเพื่อนชาวอินเดียเดินเข้ามาถามว่า เทย์เลอร์ สวิฟต์ คือใคร
เขาดังที่ประเทศเธอเหรอ จะบ้าเหรอแก เขาดังทั้งโลก ใครๆ ก็รู้จัก
แล้วพอเราถามว่ารู้จักเพลงภาษาอังกฤษกับเขาบ้างมั้ย
คนอินเดียบอกว่ารู้จักแต่เพลงไททานิค หนังฮอลลีวู้ดล่ะรู้จักเรื่องอะไร โอเค ไททานิคอีก
รู้จักกันแค่นั้น เวลาให้เราออกไปแสดงความสามารถก็ขอให้ร้องเพลงไททานิค แบบอะไร นั่นมันเพลง My Heart Will Go On โว้ย เพื่อนๆ
ไม่แต่งตัวแบบพวกเราด้วยซ้ำ เขามีเอกลักษณ์ผู้หญิงใส่ส่าหรี ส่วนผู้ชายใส่เสื้อลายสก็อตกางเกงสแล็ค
ใส่รองเท้ารัดส้น ตอนนั้นเราใส่รองเท้าผ้าใบไปโรงเรียน อาจารย์ดุว่าเราไม่สุภาพ
ต้องใส่รองเท้าแตะเท่านั้น เรางงมาก รองเท้าแตะไม่ใช่เหรอที่ไม่สุภาพ
ความสุภาพสากลอาจใช้กับที่นี่ไม่ได้

ระบบการเรียน
และนักเรียนนักศึกษาของอินเดียเป็นยังไงบ้าง
ประเทศอินเดียการเรียนเน้นระบบท่องจำ
ตอนสอบเขียนตอบถูกไหมไม่รู้ แต่อาจารย์เน้นนับจำนวนหน้าแล้วให้คะแนนก่อนเลย
ดังนั้นต้องเขียนตอบให้เยอะๆ ไว้ก่อน บางทีเขียนคำตอบไปหมดแล้ว
ยังเอาคำตอบเดิมมาเขียนซ้ำไปเรื่อยๆ อะไรก็ได้เน้นปริมาณมาก
ให้เหมือนเราอ่านมาเยอะ ถ้าเราตอบตรงเป๊ะมีแต่เนื้อ ไม่มีน้ำจะสอบตก คนอินเดียเลยขยันมาก
เพื่อนเราส่วนมากตื่นตี 5 เพื่ออ่านหนังสือ เลิกเรียนเสร็จรีบทบทวนทันที
การแข่งขันสูงมาก ถ้าเป็นคนไม่เก่ง เขาจะขยันจนเก่งให้ได้
เพราะการได้เกรดดีช่วยการันตีเรื่องการสมัครเข้าทำงานในบริษัท
การสมัครงานไม่ได้จบแค่ยื่นใบสมัครไว้แล้วรอเรียกสัมภาษณ์เหมือนไทย
คนอินเดียมีเป็นล้านๆ แต่งานมีจำกัด เขาต้องประกาศส่งใบสมัครไว้
ผ่านด่านแรกต้องทดสอบทัศคติ ต่อด้วยความรู้ เข้าไปอภิปรายกับบริษัท
กว่าจะได้เข้าทำงานเหนื่อยมาก

ประสบการณ์ที่ได้รับจากประเทศอินเดีย
ช่วงเวลา 2 ปีที่เราอยู่ที่นี่ เรียนรู้ชีวิตโคตรเยอะ
เลเวลอัพจนแข็งแกร่งขึ้นมาก จนไม่มีใครทำอะไรเราได้อีกแล้ว เราเรียนรู้ว่าทุกอย่างขึ้นอยู่กับความคิดตัวเอง
ไม่ว่าใครก็ทำอะไรเราไม่ได้ แต่ก่อนเวลามีคนตะคอกเรา เราเถียงเขาไม่ได้จะร้องไห้ ถ้าเป็นเดี๋ยวนี้จะมองแรงๆ
แบบมึงตะคอกกูทำไม สุดท้ายพอเข้มแข็งเขาจะเกรงใจเรา ลดคาดหวังลงเพราะเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา
ฉะนั้นต้องมีสติ ปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์และสภาพแวดล้อม
เมื่อก่อนเรายังเป็นคนโง่ๆ หุงข้าวและซักผ้าไม่เป็น ไม่เคยออกไปไหนคนเดียว
เวลาซื้อของยังให้เพื่อนถามราคาให้เลย จากทำอะไรไม่เป็น ตอนนี้ทำได้ทุกอย่าง มองภายนอกตอนนี้เราอาจตัวผอมเท่าเดิม
แต่ไม่กลัวใครสักคนเพราะมีภูมิคุ้มกันแล้ว

คำแนะนำสำหรับคนที่ต้องการมาอินเดีย
ที่นี่เต็มไปด้วยสีสัน
อารยธรรม และความรู้ พูดตรงๆ มันอาจไม่ใช่ทุกคนที่เหมาะกับคนอินเดีย
ถ้าคุณรักความสะอาด รักความถูกต้อง รักความสะดวกสบาย จะหงุดหงิดใจ ฉะนั้นต้องเป็นคนยืดหยุ่นสูง
อย่างเราเรียนที่นี่ วันดีคืนดีมหา’ลัยปิดเทอม เขาไปประชุมกันตอนไหนไม่รู้ แล้วประกาศว่าจะเปิดแล้ว
เปิดเลยละกันนะ เราต้องรีบบินจากไทยกลับมา ต้องรับตรงนี้ให้ได้ บางคนเจอสภาพแบบนี้แล้วทนไม่ได้
เขาถึงกับลาออกกลับบ้านไปเลย ถ้าคุณเลิกคาดหวัง
เปิดรับและยืดหยุ่นให้กับที่นี่ คุณจะได้เห็นและสัมผัสความแปลกของคน บ้านเมือง วัฒนธรรมมากมาย
เราได้อะไรจากมันเยอะมาก จนได้มาเขียนหนังสือของตัวเอง จากเป็นใครไม่รู้ วันนี้เรามีหนังสือ
มีประสบการณ์ชีวิต และภูมิคุ้มกันทุกอย่าง ถ้าเกิดเปิดรับมันจะโอเคคุณจะได้อะไรกลับไปเยอะมาก

ยิ่งอยู่ยิ่งเห็น จนตกหลุมหลงรัก ตอนนี้เราชอบที่นี่ไปแล้ว
เรากลายเป็นคนอินเดีย ไม่อยากไปไหนแล้ว เราเอนจอยมาก

ภาพ พัทธมญส์ กาญจนพันธุ์

Facebook l ตามติดชีวิตอินเดีย

AUTHOR