พาใจเฉาๆ ไปให้เขา (หลัก) เยียวยาจิตใจ ด้วยเสียงนกยามเช้า คลื่นทะเลกระทบฝั่ง และฟังต้นไม้ฮัมเพลง

แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่านาฬิกาไม่ได้หมุนเร็วขึ้นหรือช้าลง แต่ทำไมรู้สึกว่าช่วงนี้ชีวิตวุ่นวายไปหมดจนไม่ได้พักหายใจ ทุกวันนี้เต็มไปด้วยเสียงความวุ่นวายที่คอยรบกวนตลอดเวลา อีกทั้งยังมีเสียงของคนอื่นที่คอยบอกว่าเราต้องทำอะไร จนทำให้เราไม่ได้มีเวลาหยุดพักและฟังเสียงในใจตัวเองบ้างเลย      

เราเชื่อว่าเวลาคนเราอยู่ในช่วงที่เหนื่อยล้า หัวใจมักต้องการพื้นที่เยียวยาและการเข้าหาธรรมชาติ เมื่อทุกอย่างรอบๆ ตัวสงบมากพอ เราจะได้ยินเสียงของตัวเองชัดมากขึ้นเช่นกัน

‘เขาหลัก’ เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่ทำให้เราสงบและสบายใจอยู่เสมอ มาทริปครั้งนี้เราเลยหนีงานวุ่นวายมาพักกายพักใจที่เทวาศรม เขาหลัก (Devasom Khao Lak) รีสอร์ตที่ขึ้นชื่อเรื่องความสงบและการบำบัด นอกจากจะได้ฟังเสียงธรรมชาติแล้ว ก็เป็นโอกาสดีที่จะได้อยู่กับตัวเองและอนุญาตให้ตัวเองปลดปล่อยสิ่งที่กักเก็บไว้ในใจ

เมื่อเธอทุกข์ใจให้ลองเอาเท้าจุ่มน้ำ

 เรามีโอกาสมาใช้เวลา 3 วัน 2 คืนเต็ม ไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้าเรายังคิดถึงเรื่องงานอยู่ตลอดเวลา แต่เพียงก้าวเข้ามาในรีสอร์ตที่ซ่อนตัวอยู่ข้างลากูนตามธรรมชาติบนหาดเขาหลัก ความเงียบสงบของที่นี่ทำให้ทุกอย่างดูช้าลงเหมือนหลุดเข้าไปอีกโลกหนึ่งที่มีเวลาเป็นของตัวเอง 

    ใกล้ๆ ห้องพักของรีสอร์ตมีคลองธรรมชาติให้ผู้ที่เข้ามาพักสามารถเล่นกีฬาทางน้ำได้ เราแอบเล็งคายัคไว้ตั้งแต่ตอนที่มาถึง โชคดีที่วันนี้ฝนไม่ตก เราเลยได้ไปพายเรือคายัคและอาบป่าสำรวจธรรมชาติสมใจ 

 สารภาพตามตรงว่าพายเรือคายัคไม่เป็นแต่อย่างใด แต่มาถึงขนาดนี้แล้วก็ต้องลองดูสักตั้ง สูดลมหายใจเข้าจนเต็มปอด ตั้งสมาธิแบบที่ไม่เคยทำมาก่อน บอกกับตัวเองว่าทำได้! 

เริ่มต้นด้วยความกล้าๆ กลัวๆ แต่พายไปสักพักก็เริ่มคล่องตัว เพราะผู้นำทางคอยสอนและประกบแนะนำวิธีการพายเรืออย่างถูกต้อง นอกจากนี้ ผู้นำทางยังคอยแนะนำให้เรารู้จักพันธุ์ของต้นไม้ ดอกไม้ และนกนานาชนิดตลอดทาง

เมื่อมาจนสุดฝั่งคลองเราหยุดพายแล้วนอนมองฟ้า เอาเท้าจุ่มน้ำ สัมผัสกับสายลมเย็นๆ ฟังเสียงธรรมชาติที่อยู่รอบตัวอย่างเต็มที่ สัมผัสได้ถึงความเงียบสงบ ผ่อนคลายจนลืมเวลาไปเลย โมเมนต์นั้น ชวนให้นึกถึงประโยคที่เรามักจะได้ยินบ่อยๆ ว่า มนุษย์เราจะรู้สึกเป็นอิสระเมื่ออยู่กลางสายน้ำ 

            อาจเป็นเพราะธรรมชาติของมนุษย์เราที่มีความรู้สึกเชื่อมโยงและโหยหาธรรมชาติอยู่เสมอ การได้นั่งมองสายน้ำกระเพื่อมอย่างเป็นจังหวะ เอาเท้าจุ่มลงไปในน้ำในวันที่กลิ่นของอากาศไร้ PM 2.5 สูดเข้าไปแล้วสดชื่นหัวใจ ท่ามกลางต้นไม้ที่โอบกอดเราอยู่ทำให้รู้สึกดีได้อย่างประหลาด 

          ตลอดทางอาจจะทุลักทุเลสักหน่อย แต่ก็ผ่านไปด้วยดี เอาเข้าจริงก็ไม่น่ากลัวสักเท่าไหร่ หากแต่ใจเราปรุงแต่งเพียงเพราะไม่คุ้นชิน เรารู้สึกภูมิใจเล็กน้อยที่สามารถสลัดก้อนความกังวลในชีวิตทิ้งไปได้บ้าง 

           ที่สำคัญคือเอาชนะความกลัวในใจตนเองได้ 🙂

นอนอาบเสียงบนบับเบิ้ลลอยน้ำ

เผลอแปปเดียวก็เดินทางมาถึงครึ่งปีแล้ว ชีวิตครึ่งปีที่ผ่านมา รู้สึกว่ามีเรื่องราวมากมายในชีวิตทำให้จิตใจว้าวุ่นไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเท่าไหร่ มาเที่ยวทริปนี้ตั้งใจว่าจะกลับมาอยู่กับปัจจุบันแล้วมีสติรู้ทันตัวเองมากขึ้น 

ที่นี่มีสระว่ายน้ำใหญ่อยู่ริมหาด เช้าวันนี้มีกิจกรรม Aqua Sound Bath หรือ กิจกรรมวารีบำบัด เราจะได้นอนอาบเสียงใต้แสงแดดอุ่น ปล่อยตัวปล่อยใจบนบับเบิ้ลที่ล่องลอยอยู่กลางน้ำ โดยใช้คลื่นเสียงและแรงสั่นสะเทือนจาก Tibetan Singing Bowl หลากหลายชนิด ช่วยปรับสมดุลอารมณ์ลดความเครียดผ่อนคลายร่างกายและจิตใจ แน่นอนว่าเราไม่พลาด

If you ready, please slowly close your eyes

please relax your body, relax your mind

ทันทีที่จบประโยค เสียงขันทิเบตดังขึ้นเป็นท่วงทำนอง เราหลับตา หายใจเข้าออกอย่างช้าๆ เปิดผัสสะการได้ยินให้คลื่นและเสียงรอบตัวไหลผ่านเข้าไปทั่วร่างกาย ปล่อยความคิดหนักๆ ในหัวให้หลุดลอยไป ล่องลอยอยู่บนคลื่นน้ำอย่างอิสระ 

ทุกอย่างเงียบสงบจนได้ยินเสียงนกร้องยามเช้า คลื่นทะเลที่กระทบฝั่งเป็นจังหวะ ในเวลานั้นไม่มีอดีตและอนาคต มีแต่ปัจจุบันที่พาเราเข้าสู่ภาวะที่ผ่อนคลายทั้งร่างกายและจิตใจได้เป็นอย่างดี 

 ยามเช้ากับ Aqua Sound Bath นับเป็นอีกหนึ่งโมเมนต์ที่ช่วยลดความเครียดและความวิตกกังวลของเราได้ไม่น้อยเลยทีเดียว นอกจากนี้ยังทำให้ได้อยู่กับตัวเองและใกล้ชิดธรรมชาติมากขึ้น เหมือนได้ชาร์จพลัง พร้อมสู้กับสิ่งต่างๆ ที่จะเข้ามาอีกครึ่งปีหลังจากนี้

มาฟังเสียงต้นไม้กันเถอะ

อีกหนึ่งเป้าหมายของทริปนี้คือ การมาฟังเสียงต้นไม้ในกิจกรรม Plant Sound Meditation   

เราเชื่อว่าหลายๆ คนคงขมวดคิ้วไปสักพักใหญ่ว่าต้นไม้มีเสียงด้วยเหรอ แล้วเสียงของน้องช่วยในเรื่องการบำบัดยังไง

สำหรับเรา Plant Sound Meditation เป็นเหมือนการบำบัดรูปแบบหนึ่งที่ช่วยทำให้เราโฟกัสกับปัจจุบันได้มากขึ้น แต่ความน่าสนใจคือยังสามารถลดช่องว่างของมนุษย์กับต้นไม้ได้ โดยดึงเอากระแสไฟฟ้าจากต้นไม้ออกมาเป็นเสียงดนตรี ทำให้เราได้ทำสมาธิหลับตา ผ่อนคลาย ปล่อยใจให้ดื่มด่ำไปกับเสียงดนตรีที่ขับกล่อมด้วยเสียงธรรมชาติ 

  เมื่อจบคลาสเราได้มีโอกาสคุยกับ ‘ไปป์-ธวิศรุต บุรพัฒน์’ ผู้ดำเนินกิจกรรมในครั้งนี้ เล่าให้เราฟังว่า จริงๆ แล้วต้นไม้ก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีกระแสไฟฟ้าวิ่งทั่วร่างกายไม่ต่างอะไรกับมนุษย์อย่างเราๆ พวกเขามีความรู้สึกตื่นเต้น ผ่อนคลาย สบายใจ เจ็บปวด หวาดกลัว กรีดร้อง เพียงแค่ความถี่นั้น เบาเกินกว่าที่มนุษย์จะได้ยิน 

“เราแปลภาษาต้นไม้ไม่ได้ก็จริง แต่กระแสไฟฟ้าที่วิ่งอยู่เป็นตัวบอกได้นะ มันคือหลักการเดียวกันกับเครื่องจับเท็จ เวลาเราพูดโกหกก็จะมีปฏิกิริยาบางอย่างเกิดขึ้น ต้นไม้เองก็มี activities เหมือนกัน ถ้าเขาชิลล์หรือผ่อนคลายก็จะเป็น Low activities ถ้าเขาปกติก็จะเป็น Medium activities ถ้ามีคนไปสัมผัส รดน้ำ หรือเขาได้รับแสงก็จะเป็น High activities ซึ่งเราก็จะเอากระแสไฟฟ้าแต่ละช่วงไปทำเป็นดนตรีแทน” 

แน่นอนว่าการทำสมาธิและทำให้จิตใจสงบไม่มีสูตรสำเร็จสำหรับทุกคน บางคนอาจจะเหมาะกับการปฏิบัติธรรมยุบหนอ พองหนอ บางคนอาจจะเหมาะกับการโยคะ เพียงแต่ Plant Sound Meditation เป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับคนที่ชอบเสียงดนตรีและต้นไม้เท่านั้น เพราะท้ายที่สุดก็นำไปสู่ปลายทางเดียวกัน นั่นคือความสงบและอยู่กับปัจจุบันขณะ

ตะวันลับฟ้า เพื่อเริ่มเช้าวันใหม่

หนึ่งในโมเมนต์ที่น่าจดจำของการมาทะเลคือการได้มองแสงสีส้มของพระอาทิตย์ที่กำลังจะลับขอบฟ้าไล่สีไปเรื่อยๆ แน่นอนว่า Golden Hour ต่อให้เห็นในรูปสวยแค่ไหนก็เทียบไม่ได้กับของจริงตรงหน้า เหมือนเราได้นั่งมองงานศิลปะที่ไม่ซ้ำกันในแต่ละวัน

 บางทีการมาเที่ยวเราอาจจะไม่ได้ต้องการแพลนอะไรมากมาย หรือต้องตามไปเก็บทุกที่เพื่อถ่ายรูปลงโซเชียล สำหรับเราการพักผ่อนก็เพียงแค่อยากฟังเสียงคลื่นซู่ๆ จากทะเล มองท้องฟ้าในวันธรรมดาที่ไร้นักท่องเที่ยว ปล่อยให้กลิ่นทะเลบำบัดให้หายเหนื่อยจากโลกข้างนอกที่แสนวุ่นวาย

สำหรับเรา นี่ถือเป็นช่วงเย็นของวันที่ดีมากๆ เป็นความรู้สึกของการพักผ่อนอย่างแท้จริง ในเวลาอันสั้น เราสลัดเรื่องกังวลใจทิ้งไปจนหมด ได้ใช้ชีวิตโดยไร้การวางแผนและปล่อยวางความรู้สึก เหมือนได้ชาร์จพลัง เมื่อรู้ตัวอีกทีความรู้สึกเครียดที่มีอยู่อาจจะสลายไปในพริบตา

พระอาทิตย์ตกดินเรานิยามไว้ว่าเป็น ช่วงเวลาแห่งการบอกลาความรู้สึกทั้งดีและไม่ดีในวันนี้ เพื่อเริ่มต้นความรู้สึกใหม่ๆ ในเช้าอีกวัน ทำให้พลังงานภายในจิตใจของเราเพิ่มขึ้น พร้อมจะกลับไปลุยงานอันหนักหน่วงได้อีกครั้ง