คุณเป็นเหมือนเราหรือเปล่า
เมื่อได้ใช้เวลาอยู่ที่ไหนนานๆ ก็มักจดจำบรรยากาศ และแปรเปลี่ยนกลิ่นที่ได้สูดดม เป็นความทรงจำทดแทนสถานที่นั้นๆ ไม่ก็คนนั้นๆ
หากได้กลิ่นป่าฝนเมื่อไหร่ก็พลอยคิดถึงความรู้สึกตอนไปเที่ยวภาคเหนือในช่วงปลายฝนต้นหนาว หรือหากวันไหนได้กลิ่นดอกไม้สดชื่น ก็ยังจำตอนใช้เวลาท่องเที่ยวในฤดูร้อนได้ไม่จาง
ได้กลิ่นนี้แล้วมีความสุขจัง ได้กลิ่นนั้นแล้วนึกถึงตอนไปเที่ยวกับใครสักคน
น้ำหอมที่ผลิตขึ้นแบบโฮมเมดด้วยฝีมือการปรุงกลิ่นของ อู๋–ธีรนัย สมรรถชัยศรี เจ้าของแบรนด์ day.off.studio ก็เกิดขึ้นด้วยเหตุผลคล้ายๆ กัน เพราะเจ้าของหนุ่มมักออกเดินทางท่องเที่ยวและเก็บเอากลิ่นที่ตัวเองรู้สึกจากประเทศนั้นๆ ขนออยล์มาสร้างสรรค์และออกแบบน้ำหอมกลิ่นใหม่ๆ อยู่เสมอ
น้ำหอมที่เขาปรุงขึ้นมาอย่างตั้งใจทุกกระบวนการขั้นตอนจะเป็นอย่างไร เลือกน้ำหอมกลิ่นโปรดของคุณพรมตัว แล้วเตรียมหอมกลิ่นที่เขาได้แรงบันดาลใจมาจากสถานที่ท่องเที่ยวในวันหยุดไปพร้อมๆ กัน
เริ่มต้นจากรักและหลงใหลในเรื่องกลิ่น
day.off.studio เริ่มต้นจากความชอบและความรักในเรื่องกลิ่นของ อู๋–ธีรนัย สมรรถชัยศรี หนุ่มร่างสูงที่หากบอกอาชีพของเขาคงทำให้หลายคนต้องขมวดคิ้ว เพราะมันช่างห่างไกลจากการเป็นเจ้าของแบรนด์น้ำหอมโฮมเมด อาชีพเสริมที่เจ้าตัวยอมรับว่าอินและมีความสุขมากที่ได้ทำ
“อาชีพเรามันคล้ายๆ ข้าราชการ พอมาทำก็รู้เลยว่าเงินคงน้อยแน่ๆ ต้องหาอย่างอื่นมาทำเสริมด้วย เราเลยคิดจะทำ day.off.studio ขึ้นมา” อู๋เล่าติดตลก บอกเหตุผล (จริงๆ) ที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังการสร้างแบรนด์
ถึงจะเริ่มต้นเล่าด้วยท่าทีขี้เล่น แต่ความชอบและความสนใจด้านกลิ่นของอู๋จริงจังกว่านั้น เพราะก่อนหน้าจะมีแบรนด์เป็นของตัวเอง นอกจากเขาจะเสาะหาดมกลิ่นแบรนด์เครื่องหอม ทั้งแชมพู ครีมอาบน้ำ ธูป และเทียน อยู่เสมอแล้ว ความชอบนี้ยังพาให้เขาออกเดินทางตามกลิ่นไปพบกับร้านที่สามารถเติมเต็มฝันของเขาไกลถึงประเทศเกาหลีใต้
ด้วยฝันที่อยากจะทำน้ำหอมเป็นทุนเดิม เพราะสังเกตว่าปกติแล้วน้ำหอมในท้องตลาดมักจะมีแต่ขวดใหญ่ขนาด 30 มิลลิลิตรขึ้นไป ซึ่งไม่ตอบโจทย์ที่ใช้ไปได้สักพักก็อยากจะเปลี่ยนกลิ่น อยากซื้อน้ำหอมขวดใหม่ หรือบางครั้งก็อยากจะพกไปฉีดระหว่างวัน วันหยุดหนึ่งที่อู๋เลือกใช้เวลา ณ ต่างแดน ขณะที่กำลังเที่ยวเล่นนั้นเอง เขาได้พบกับร้านน้ำหอมที่เป็นเสมือนประตูเปิดให้เห็นภาพของ day.off.studio ชัดขึ้น
“เราไปเที่ยวโซลแล้วเจอร้านน้ำหอมที่เขาทำขนาด 10 มิลลิลิตรออกมา เลยไปถามเขาคร่าวๆ ว่าถ้าผมซื้อน้ำหอม คุณพอจะบอกได้ไหมว่ามีสัดส่วนอะไรยังไงบ้าง แล้วผมจะซื้อออยล์ที่ร้านคุณด้วย” คลาสผสมน้ำหอมขนาดย่อมจึงเกิดขึ้นในวันนั้น ก่อนที่เขาจะนำความรู้ที่ได้กลับมาเปิดแบรนด์จริงจัง และกลับไปเรียนรู้ใหม่ที่ร้านนี้อีกหลายต่อหลายครั้ง
กว่าจะเป็นกลิ่นป่าเชียงใหม่ กว่าจะเป็นกลิ่นทะเลดาในดานัง
“จริงๆ มันก็ไม่ได้ง่ายขนาดนั้นหรอก” อู๋ตอบคำถาม เมื่อเราสงสัยว่าเพียงแค่วันเดียว เขาก็สามารถเรียนรู้และผสมน้ำหอมได้เลยอย่างนั้นเหรอ
“ส่วนผสมในการทำน้ำหอมไม่ได้มีเยอะมาก แต่มันจะไปยากตรงตัวกลิ่นมากกว่าว่าเราจะเอาอะไรมาเบลนด์กับอะไร เพื่อให้มันออกมาเป็นกลิ่นแบบไหน
“อย่างตอนเราไปทะเลที่เมืองดานังในช่วงฤดูร้อน เราก็อยากทำน้ำหอมที่กลิ่นมีความสดชื่นกลับมา เลยพยายามมองหาว่าที่ดานังมีที่ไหนพอจะให้เราสามารถสร้างอะไรอย่างนี้ขึ้นมาได้บ้าง ไปเจอสปาที่เขาทำออยล์ขายพอดี เลยขอซื้อออยล์กลับมาด้วย แล้วเราก็จินตนาการจากตรงนั้นว่า เฮ้ย นี่คือดานัง นี่คือทะเล ถ้าเราต้องการความสดชื่นมันควรจะเป็นกลิ่นยังไง ต้องใส่กลิ่น wood หรือ floral หรือเปล่า ซึ่งบางทีพอนำออยล์ทั้งสองมาผสมในสัดส่วนที่เท่ากัน บางทีกลิ่น floral มันก็หายไปเลย เหลือแค่กลิ่น wood แทน การผสมกลิ่นมันยาก ยากปวดหัวเลย”
อู๋เล่าถึงความยากลำบากกว่าจะพัฒนาจนได้เป็นกลิ่นที่โดนใจอย่างกลิ่น South Sea เพราะบางครั้งน้ำหอมกลิ่นที่เขาต้องการก็ถูกกลิ่นอื่นกลบจนมิด หรือบางครั้งก็ผสมผิดพลาดจนน้ำหอมกลายเป็นตะกอน
“ตอนแรกก็คิดนะว่าทำน้ำหอมน่าจะง่าย แต่พอไปเรียนที่โซลก็รู้เลยว่ามันไม่ง่ายอย่างที่คิด” เขาหัวเราะหลังพูดประโยคนี้จบ แต่ถึงจะล้มเหลวกี่ครั้งเขาก็ยิ้มรับและพยายามทำต่อด้วยความตั้งใจ เพราะยึดมั่นในคำที่ว่า
“จะเสียก็ช่างมัน เราทำของเราให้ดี ทำแบบที่เราต้องการจริงๆ ออกมา”
เก็บความทรงจำ ตามหาออยล์ และสร้างกลิ่นใหม่ๆ
กลิ่นน้ำหอมของ day.off.studio เมื่อผ่านการลองผิดลองถูกจนลงตัวแล้ว ส่วนใหญ่จึงเป็นกลิ่นสดชื่นแบบที่เจ้าตัวชอบ ฉีดก่อนออกไปทำงานหรือฉีดทับเพิ่มความสดชื่นให้ตัวเองในช่วงบ่ายก็ย่อมได้ ซึ่งกลิ่นทั้งหมดนี้อู๋เล่าว่าล้วนได้แรงบันดาลใจมาจากการออกเดินทาง ดังนั้นออยล์ส่วนใหญ่ที่ทางร้านใช้จึงมาจากประเทศที่เขาออกเดินทางท่องเที่ยว เช่น กลิ่น Seoul 01 และ Seoul 02 ก็ได้ออยล์มาจากเกาหลี หรือกลิ่นที่เพิ่งเล่าไปอย่าง South Sea ก็ได้ออยล์มาจากดานัง
“เวลาไปเที่ยวที่ไหน เรามักจะคิดถึงกลิ่นที่เรารู้สึกกับสถานที่นั้น แล้วจึงออกตามหาออยล์ที่ผสมกันแล้วให้กลิ่นที่ต้องการ
“กลิ่นแรกอย่าง Winter Weekend เราใช้ออยล์จากไทยนี่แหละ แต่ได้อินสไปร์มาจากตอนไปเที่ยวเชียงใหม่ในฤดูหนาว มันจะนึกถึงกลิ่นป่าๆ ฝนๆ หน่อย เป็นวันหยุดสบายๆ น้ำหอมเลยมีกลิ่น wood เข้ามาผสม หรือกลิ่น AN ก็ได้อินสไปร์จากตอนไปเที่ยวทะเลที่ไต้หวันกับแฟนเหมือนกัน เรารู้สึกว่าทริปนั้นมันแฮปปี้ มันโรแมนติกดี เลยกลับมาผสมแล้วออกกลิ่นใหม่เลยแล้วกัน” อู๋ยิ้มเขินขณะเล่า ส่วนเราก็อดไม่ได้ที่จะพยักหน้าเห็นด้วยอยู่ในใจเมื่อได้ฟังที่มาของกลิ่นโปรด เพราะกลิ่นที่มีส่วนผสมของ blackcurrant nectar หอมฟุ้ง และให้ความรู้สึกเย็นๆ ในช่วงแรก แต่เมื่อทิ้งเวลาผ่านไปจะเหลือเพียงกลิ่นหอมอ่อนๆ ของแป้งนั้นก็ดูจะเป็นตัวแทนของความโรแมนติกได้จริงๆ
“ออยล์ที่เรานำเข้ามา ปกติแล้วจะเอาไปทำน้ำหอมได้แค่ไม่กี่ขวดหรอก” อู๋สารภาพ นั่นเป็นเพราะเขาผสมออยล์ลงไปในน้ำหอมเยอะมากและใส่แอลกอฮอล์น้อย ด้วยหวังว่าจะทำให้น้ำหอมติดทนนานขึ้น
“จริงๆ เราเพิ่มแอลกอฮอล์เพื่อให้กลิ่นมันจางลงกว่านี้ก็ได้ แต่เรามองว่ากำไรไม่ใช่เหตุผลที่เราทำน้ำหอมแบรนด์นี้ขึ้นมา แต่การที่คนใช้แล้วบอกว่าแบรนด์ day.off.studio ดีนะ เราว่าแบบนั้นมันน่าจะดีกว่า”
แบรนด์น้ำหอมออนไลน์ที่ขายจินตนาการไปพร้อมๆ กับการอธิบายกลิ่น
“กลิ่นมันเป็นเรื่องเฉพาะตัวมาก อย่างเรามองว่ากลิ่นนี้หอมมาก เราชอบมาก พอเราเสนอขายให้ลูกค้าไปลองใช้ บางทีเขากลับบอกว่าชอบกลิ่นเดิมมากกว่า เราเลือกให้ใครไม่ได้ มันเลยยากตรงที่ว่าเราจะขายของด้วยจินตนาการยังไง” คนออกแบบกลิ่นอย่างอู๋เอ่ยขันๆ เมื่ออุปสรรคของแบรนด์น้ำหอมที่เน้นตลาดออนไลน์คือการที่คนไม่สามารถรับรู้กลิ่นน้ำหอมที่เขาผสมออกมาได้
“เราแก้ปัญหาด้วยการบอกส่วนผสมหลักๆ กับเขาแทน อย่าง musk ก็จะให้กลิ่นสะอาดๆ คล้ายแป้ง cedar wood ก็คือกลิ่นไม้หอม พอเขารู้ว่ากลิ่นนี้มี wood เป็นส่วนผสมแน่ๆ คนก็จะเข้าใจได้ ตีความได้ว่ามันต้องสดชื่นและต้องมีกลิ่นแบบป่าๆ หน่อย”
ทุกวันนี้เขาจึงพยายามกระจายน้ำหอมไปสู่การขายแบบออฟไลน์มากขึ้น เพื่อให้คนได้สูดดมกลิ่นจริงๆ ที่หน้าร้าน และตอนนี้ day.off.studio ก็มีน้ำหอมวางขายแล้ว 2 แห่ง คือที่ something about us. ร้านรวมของน่ารักๆ ที่คัดเลือกและนำเข้ามาจากเกาหลี และที่ H I D E . selected ซอยอารีย์
“ที่ร้าน something about us. จะมีน้ำหอมที่เราร่วมคอลแล็บกันด้วย จินยองเจ้าของร้านจะเป็นคนคิดคอนเซปต์ ส่วนเราจะเป็นคนเบลนด์กลิ่นออกมา 3 กลิ่นใหม่ที่ได้อย่าง Monet, Jardin และ Le blanc เลยมีความเป็นผู้หญิงเกาหลีมากกว่า”
เมื่อพูดถึงเกาหลี อู๋ก็เล่าเสริมขึ้นมาให้ฟังถึงอีกหนึ่งเหตุผลที่ช่วงนี้น้ำหอมของ day.off.studio มีกลิ่นที่ใช้ออยล์จากเกาหลีเป็นส่วนผสมมากขึ้นว่า “ออยล์จากเกาหลีมันมีความสนุกสนาน เพราะผสมแล้วได้กลิ่นใหม่ๆ เยอะ ออยล์ไทยจะผสมยากกว่าออยล์เกาหลีมากเพราะมีกลิ่นเฉพาะตัวของมันอยู่ ไม่สามารถนำมาเบลนด์รวมกันแล้วออกมาเป็นกลิ่นใดกลิ่นหนึ่งได้ มันจะออกมาเป็นกลิ่นเดียวเลย ต่อให้ใส่นิดเดียวจริงๆ ก็ตาม”
ถึงแม้เรื่องของกลิ่นจะเข้าใจยาก แต่เขาก็ตั้งใจไว้ว่าแบรนด์น้ำหอมแบรนด์นี้จะต้องสดใหม่ เข้าถึงได้ทุกเพศ ทุกวัย ทั้งชายและหญิง ทุกวันนี้อู๋จึงใช้เวลาหลังเลิกงานประจำผลิตน้ำหอมปรุงใหม่ที่เขาตั้งใจทุกกระบวนการ ตั้งแต่คัดสรรออยล์กลิ่นที่ชอบ ผสมกลิ่น กรอกใส่ขวด ไปจนถึงงานยิบย่อยที่เขาตั้งใจทำอย่างติดสติกเกอร์แบรนด์ day.off.studio
“เราอยากจะพัฒนาน้ำหอมแบรนด์นี้ต่อไปเรื่อยๆ” อู๋กล่าวอย่างหนักแน่นพร้อมยิ้มไปทั้งใบหน้า ยิ้มเช่นเดียวกับตลอดเวลาที่เขาเล่าเรื่องราวการทำน้ำหอมให้เราฟังด้วยความตั้งใจ และหวังว่าสักวันหนึ่งแบรนด์ของเขาอาจเป็นได้เช่นเดียวกันกับ Le Labo แบรนด์น้ำหอมชั้นนำที่มีจุดเด่นด้านความสดใหม่เช่นเดียวกัน