ด้วยความตั้งใจที่จะร้อยพวงมาลัยเองเพื่อไปกราบในวันแม่ปีนี้ ฉันเลยให้เวลาตลอดทั้งเดือนกรกฎาคม 1 เดือนเต็มกับการเรียนและฝึกร้อยมาลัย
“มือซ้ายถือเข็ม มือขวาหยิบดอกไม้ขึ้นมาร้อย” เสียงอาจารย์พูดซ้ำๆ เพื่อเตือนเสมอ เพราะอยู่ๆ เข็มก็เปลี่ยนจากมือซ้ายไปอยู่ในมือขวาตลอด
คงเป็นเพราะเข็มที่เล็กและบาง มีขนาดใหญ่กว่าเข็มเย็บผ้าแค่ 2-3 เบอร์ แต่ยาวถึง 2 คืบ ซึ่งจับไม่ถนัดเลยสำหรับมือใหม่ที่กล้ามเนื้อมัดเล็กและข้อต่อที่นิ้วมือข้างซ้ายไม่ค่อยได้ใช้งาน ทำให้กว่าจะร้อยได้แต่ละดอก เข็มก็แทงสลับโดนดอกไม้บ้าง โดนนิ้วบ้าง
และหลายทีที่แทงไม่โดนอะไรเลย
2 สัปดาห์แรกผ่านไปด้วยความช่วยเหลือของอาจารย์ ทำให้ทุกๆ 2-3 วัน จะมีพวงมาลัยกลับบ้าน
แรกๆ มาลัยไม่ค่อยสวยและไม่สมประกอบเท่าไหร่เพราะฝีมือในการส่งกลีบส่งดอกยังไม่นิ่ง ทำให้พวงมาลัยมีสัดส่วนไม่เท่ากัน ดอกไม้มีช้ำบ้าง เฉาบ้าง เพราะร้อยไม่เสร็จวันต่อวัน ไม่ต่างกับมือของคนร้อยที่ปลายนิ้วโป้ง นิ้วชี้ และนิ้วกลางข้างขวาเริ่มเยิน เพราะโดนยางดอกไม้กัดแตกจนมีเลือดซึม แต่ด้วยความตั้งใจว่าจะต้องทำพวงมาลัยสวยๆ เพื่อไปให้แม่ในวันแม่ปีนี้ให้ได้ เจ็บแค่ไหนก็ยังร้อยต่อได้
พอเข้า 2 สัปดาห์สุดท้ายของเดือน ฉันเริ่มร้อยมาลัยได้หลายแบบ ได้ทั้งมาลัยแบน มาลัยกลม มาลัยสามเหลี่ยม และมีลูกเล่นหลายลาย ร้อยได้ตั้งแต่ลายง่ายๆ ลายนวลลออ ลายคุณหญิง จนถึงลายเยาวมาลย์ ที่ยากขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อร้อยคล่องขึ้น เร็วขึ้น เลยสนุกขึ้น ทำให้ทุกครั้งที่เริ่มร้อยจะไม่ยอมวางเข็มเลย เหมือนตกอยู่ในภวังค์ อาการคงล้ายกับติดเกม ไม่พักกินข้าวดื่มน้ำ ไม่ค่อยอยากพูดคุยกับใคร ไม่สนใจข่าวสารบ้านเมืองตลอดทั้งเดือน หนักถึงขั้นไม่ยอมเข้านอน ถ้ายังร้อยดอกไม้คาเข็มอยู่ และลืมเรื่องมือถือไปได้เลย เสียงโทรศัพท์ดังก็ไม่รับ เสียงข้อความเข้าก็ไม่หยิบขึ้นมาอ่าน เพราะมือไม่ว่างทั้ง 2 ข้าง
“มือซ้ายถือเข็ม มือขวาหยิบดอกไม้ขึ้นมาร้อย” ร้อยจนติดพันและคิดอยากทำมาลัยแบบอื่น ลายอื่นที่ยากขึ้นไปอีก เพราะเริ่มมีความมั่นใจในฝีมือตัวเองแล้ว เลยทำให้ตัดสินใจเรียนต่ออีก 1 เดือน
1 สิงหาคม วันแรกของการเรียนคอร์สที่ 2 แม่โทรเข้ามาระหว่างเรียนอยู่ ฉันเลยรีบรับสายและบอกแม่ไปสั้นๆ ว่า “เรียนร้อยมาลัยอยู่ เดี๋ยวว่างแล้วโทรกลับนะ” แม่ถามด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ก่อนวางสาย “ยังเรียนไม่จบอีกเหรอ สะดวกเมื่อไหร่ค่อยโทรกลับก็แล้วกัน” พอฉันเรียนเสร็จเลยรีบโทรกลับไปหา “แค่พวงมาลัย 5 บาท 10 บาท ให้แม่ก็พอแล้ว” นี่คือประโยคแรกที่แม่พูดก่อนเปลี่ยนเรื่องคุย
วันนี้ฉันนั่งร้อยมาลัยพวงสำคัญที่เป็นจุดเริ่มต้นของความตั้งใจเรียนร้อยมาลัย ตอนหยิบมะลิทีละดอกร้อยลงเข็ม ประโยคที่แม่พูด “แค่พวงมาลัย 5 บาท 10 บาท ให้แม่ก็พอแล้ว” ดังซ้ำๆ ในหู ทำให้ภาพพวงมาลัยสวยๆ ที่ได้ทำตลอดทั้งเดือนที่แล้ว และเวลา 1 เดือนเต็มที่ใช้ไปกับการเรียนไม่มีความหมายอะไรเลย เพราะจริงๆ แล้วลืมไปว่าต้องการแค่ร้อยมาลัยให้แม่เองพวงหนึ่ง และแม่ก็ต้องการแค่พวงมาลัยธรรมดาๆ พวงหนึ่ง
เวลา 1 เดือนเต็มๆ ที่ใช้ไปกับการฝึกถือเข็ม ฉีกกลีบดอกรัก ร้อยดอกพุด กระทุ้งกลีบกุหลาบ ทำดอกข่า และจับช่อเอื้อง จนทำมาลัยสวยๆ ได้หลายพวง หลายแบบ กลับทำให้เวลาที่เคยอยู่พูดคุยกับแม่ลดลง สนใจแม่น้อยลง เพราะเทความสนใจทั้งหมดไปที่มาลัย
วันนี้เข้าใจความหมายประโยคที่ว่า “พวงมาลัย 5 บาท 10 บาท” ของแม่แล้ว สำหรับแม่ “เวลามีค่ามากกว่ามาลัย” เพราะทุกครั้งที่ฉันหยิบมะลิขึ้นมาร้อย เหมือนแต่ละดอกคอยตะโกนบอกว่า “รีบๆ ร้อย เวลามีน้อย” “รีบๆ ทำ เพราะเวลามีจำกัด”
ตอนนี้มาลัยมะลิเสร็จเป็นพวงแล้ว แต่ไม่ว่าสวยหอมแค่ไหน ไม่นานก็จะกลายเป็นพวงดอกไม้เหี่ยวแห้ง ร่วงโรย และกลิ่นที่เคยหอมก็จะค่อยๆ จางไป จนสุดท้ายก็ต้องถูกโยนทิ้งสักวัน
แม่คงอยากได้มาลัยสวยๆ สะดุดตาที่ลูกร้อยให้เองกับมือ แต่หากลูกต้องใช้เวลาทั้งหมดที่เคยให้แม่ไปกับการร้อยมาลัย แม่ขอเลือกแค่มาลัยพวงเล็กๆ ธรรมดาๆ ร้อยด้วยมะลิหอมๆ ไม่กี่ดอก ที่หาซื้อได้ตามแผงทั่วไป พวงละไม่เกิน 10 บาทก็พอแล้ว
ด้วยหวังว่าจะได้มีเวลาอยู่กับลูกมากขึ้น เท่านั้นเอง