วันที่ฉันรักแม่เป็น

ฉันตื่นเช้าแล้วรีบไปทำงานเหมือนเช่นทุกวัน
เพื่อหวังจะหลบเลี่ยงการจราจรหนาแน่นในช่วงเวลาเร่งด่วน กว่า 10 ปีแล้วที่ฉันจากบ้านในต่างจังหวัดมาทำงานที่กรุงเทพฯ
ความจริงแล้วครอบครัวของเรามีกันแค่ 3 คน แม่ ฉัน และน้องชาย หลังเรียนจบ แม่อยากให้ทำงานในชุมชนใกล้บ้านที่ต่างจังหวัด
แต่ฉันอยากออกมาใช้ชีวิตอิสระในเมืองใหญ่บ้างสักครั้ง ฉันไปเยี่ยมบ้านบ้าง
ส่วนใหญ่เป็นช่วงเทศกาลวันหยุดยาวประจำปี ปีละ 2 – 3 หน แต่ละครั้งก็อยู่ค้างคืนได้ไม่นานนัก

เสียงเตือนจากมือถือดังขึ้น ข้อความของแม่ส่งมาอวยพรเกือบทุกเช้า
แต่ไม่บ่อยนักที่ฉันจะตอบกลับไป เนื่องจากมักเป็นช่วงเช้าที่แสนจะรีบเร่ง เกินกว่าจะนึกถึงเรื่องอื่นใดนอกจากรีบไปให้ทันเวลางาน

วันนี้ก็เป็นเช้าอีกวัน มีข้อความจากแม่เหมือนเคย
ทว่าวันนี้ฉันเลือกเปิดขึ้นดู แม่บอกว่า วันนี้มาหาหมอที่โรงพยาบาลประจำจังหวัด
รอผลเจาะเลือดเพื่อนำไปให้แพทย์ ฉันค่อนข้างตกใจ แม่บอกเมื่อเดือนก่อนแล้วว่าจะมาพบแพทย์เฉพาะทางที่ในตัวจังหวัด
ฉันลืมไปเสียสนิท จึงรีบโทรลางาน และรีบหาเที่ยวบินกลับบ้านในทันที แม่เล่าให้ฟังทางโทรศัพท์ตอนสายๆ ว่า หมอบอกว่าแม่เป็นโรคเรื้อรังหลายชนิด เบาหวาน ความดัน และโรคแทรกซ้อนอีกบางอย่าง ต้องได้รับการผ่าตัด
มันอาจเป็นโรคที่พบได้ในคนชราทั่วไป แต่มันซับซ้อนตรงที่แม่อายุมาก เป็นโรคหลายอย่าง
และปล่อยเอาไว้นานแล้ว

น่าแปลก ฉันไม่เคยทราบมาก่อนเลย ครั้งนี้แม่เล่าว่ามาพบแพทย์เนื่องจากได้รับการตรวจสุขภาพประจำปีของที่ทำงาน ค่าผลเลือดคงบอกสิ่งที่น่ากังวล
เนื่องจากน้อยครั้งมากที่ฉันจะเห็นแม่พร่ำบ่นและหวาดหวั่นจากการเจ็บป่วยของตน ปกติแล้วแม่เป็นนักสู้ และแกร่งกว่าชายหนุ่มกำยำด้วยซ้ำ ทุกครั้งที่แม่โทรหา
แม่จะสอบถามแสดงความเป็นห่วงฉันตลอด ถามเรื่องงาน เรื่องความเป็นอยู่
หลายครั้งก็น่ารำคาญ จนฉันลืมว่าต้องแสดงความห่วงใยท่านเช่นกัน

ขณะนั่งรอแม่ที่กำลังเข้าห้องตรวจด้วยความห่วงใย
ฉันนึกถึงกลางดึกคืนหนึ่งเมื่อกว่า 20 ปีมาแล้ว ฉันเคยล้มป่วย หรี่ตามองเห็นทางเดินห้องฉุกเฉินและไถลไปตามแรงพยุงเข้าไปจนถึงห้องตรวจ
ฉันอ่อนแรงและปวดท้องสุดพลัง เสียงแม่สะอื้นในลำคอไม่ขาดสายพร้อมกับพยุงตัวฉันไปพบแพทย์ได้ทันเวลา
ค่ำคืนนั้นผ่านมาเนิ่นนานแล้ว มันถูกฝังลึกใต้สุดในความทรงจำ และเกือบเลือนหาย แม่ที่ขับรถพาฉันมาโรงพยาบาลกลางดึก
นั่งรอหน้าห้องตรวจในโรงพยาบาลประจำตำบลซึ่งเงียบสงัด ด้วยความหวาดหวั่นและห่วงใย
มันเป็นการผ่าตัดไส้ติ่งอักเสบที่ทรมานเจียนตาย แต่ก็ผ่านพ้นมาได้โดยมีแม่เป็นกำลังใจข้างกายตลอดมา

ในที่สุด ฉันก็เห็นแม่เดินออกจากห้องตรวจ
แม่ทำหน้าตกใจที่เห็นฉันมาหาได้เร็วเกินคาด ไม่กี่นาทีหลังจากนั้น
ก็เปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม แม่เปิดกระเป๋ายื่นห่อขนมที่ฉันชอบสมัยเด็กมาให้ ถามว่า “หิวไหม
กินอะไรมาหรือยังลูก” พร้อมกับรอยยิ้มเปื้อนใบหน้า ทำให้เข้าใจว่า
แม่ไม่เคยใส่ใจฉันน้อยลงกว่าตอนเด็กเลย

แม่ดูดีใจอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเห็นฉันมาอยู่เป็นเพื่อน
อาจเป็นเรื่องธรรมดาของหลายคน แต่สำหรับฉันมันแปลกใหม่เหลือเกิน
ฉันอาจจะกลับบ้านทุกปี แต่ไม่เคยนั่งใกล้ๆ แม่ขนาดนี้มาหลายปีมากแล้ว แม่แก่ลงมาก
ริ้วรอยเกิดตามวัย ผิวพรรณหย่อนคล้อยตามเวลา น้ำตาฉันไหลคลอเบ้า พร้อมสวมกอดแม่ไว้
ตลอดเวลานับสิบปีนี้ ฉันอาจได้มองแม่ แต่ไม่เคยเห็น อาจได้ฟังเสียง
แต่ไม่เคยได้ยิน อาจได้สัมผัส แต่ฉันไม่เคยรู้สึก บอกรักแม่
แต่มันไม่ได้กลั่นจากหัวใจ

ฉันยังโชคดีที่แม่ยังอยู่พร่ำบ่น
เรียกหา และใช้เวลาร่วมกัน

ท่าทีกังวลของแม่หายไป เมื่อแม่ชวนฉันนั่งคุยเรื่องวันเก่าๆ
และเรื่องราวในวันที่ฉันไม่อยู่พร้อมหน้า ของขวัญวันแม่เมื่อปีกลาย แม่เก็บไว้อย่างดีไม่เคยใช้มัน
ตั้งโชว์ไว้ใช้แทนการมีอยู่อันพร้อมหน้าของคนในครอบครัว จากบทสนทนาระหว่างสองเรา ฉันรู้ในทันทีว่า
แม่เองไม่เรียกร้องคำบอกรักแม่ในวันสำคัญ หรือต้องการของขวัญในโอกาสพิเศษ มากไปกว่าอยากใช้เวลาร่วมกัน การมาเยี่ยมเยือนอาจเติมเต็มความสุขได้ชั่วคราว
แต่ไม่อาจอิ่มใจเท่าอยู่เคียงใกล้ตลอดเวลา

ในขณะที่ฉันรับบัตรนัด พลันรู้สึกถึงความสุขอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
ในทุกวันฉันรับรู้และแก้ไขปัญหาของผู้คนมากมาย แต่ปัญหาของแม่ฉันไม่เคยใส่ใจฟัง
แม้จะเริ่มต้นช้า ฉันก็จะเริ่มต้นใหม่ เพราะเชื่อว่าไม่มีความสำเร็จในชีวิตรูปแบบใดทดแทนความเดียวดายของคนในครอบครัวได้

หากมองผ่านความสัมพันธ์แม่ลูกที่อาจมีเรื่องช่องว่างระหว่างวัยและความต่างของทัศนคติในใจของกันและกัน แต่อย่าลืมว่าเราและแม่ผ่านหลายพันคืน หลายหมื่นวัน
ทั้งความสุข ทุกข์ เศร้า เราเติบใหญ่ หัวใจแม่ก็เติบโต เราอาจไม่จำเป็นต้องนิยามคำว่าแม่ให้ลึกซึ้ง
ไม่ต้องนึกถึงการใช้หนี้บุญคุณที่มากและยากเกินคาดเดา เพียงแค่ต้องเห็นความหมายของความห่วงใยและก่อร่างสร้างสายใยในครอบครัว
สำหรับแม่ ฉันยังเป็นเด็ก 10 ขวบคนนั้น
ที่วิ่งซนอยู่รอบๆ คิดอ่านและตัดสินใจไม่รอบคอบเสมอ ส่วนฉันยังเผลอคิดว่าแม่ยังเป็นหญิงวัยรุ่นตอนปลาย เหมือนกว่า 20 ปีที่แล้ว
จนลืมคิดว่า วันเวลาได้กัดกร่อนเรี่ยวแรงและความเข้มแข็งค่อยๆ สลายไป

วันรุ่งขึ้น ฉันกลับไปทำงาน
แม้บรรยากาศและสิ่งแวดล้อมจะคงเดิม แต่มีสิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนแปลง
ฉันมีเป้าหมายใหม่ ในอนาคตอันใกล้ ฉันจะมาเยี่ยมบ้านบ่อยมากขึ้น และหากมีโอกาสจะย้อนกลับไปในถิ่นที่หัวใจจากมา

แม่เข้ารับการรักษาเป็นระยะตามแพทย์สั่ง
สิ่งสำคัญกว่ายาหรือการบำบัดใดๆ คือกำลังใจของครอบครัว
แม่กลับมาเป็นนักสู้อีกครั้ง คราวนี้ท่านคงไม่เดียวดายอีกต่อไป
เหมือนที่ฉันไม่เหงาใจ เพราะมีข้อความแสนน่าเบื่ออวยพรทุกเช้าตลอดมา

แม่ไม่ต้องการความรักเพิ่ม
ความรักของแม่ก่อเกิดเป็นตัวเรา ในช่วงเวลาท่านเปลี่ยวเหงา ก็แค่เอามวลความรักก้อนเก่ามาโอบใกล้
และใช้เวลาอยู่ร่วมกัน ทรัพย์สินก้อนโตสักเพียงใด ไม่อาจซื้อสุขภาพใจให้แข็งแรง เราต้องมอบใจเพื่อดูแลใจ

โชคดีที่สุดท้ายฉันก็รักแม่เป็นเสียที

ใครอยากเล่าเรื่องวันเปลี่ยนชีวิตของตัวเองบ้าง คลิกที่นี่เลย

AUTHOR