“I feel like I can go so keep going.” บนเส้นทางใหม่ของ DABOYWAY

Highlights

  • ในวันที่แรปเปอร์อย่าง 'ปริญญา อินทชัย' หรือ เวย์ Thaitanium เลือกก้าวต่อไปในฐานะศิลปินเดี่ยว และผู้บริหารค่าย Def Jam Recordings อย่างเต็มตัว ตามไปพูดคุยกับเขาถึงเส้นทางอนาคตข้างหน้า มองแพสชั่น ความเชื่อ และการลงมือทำ ที่เขาใส่ไปกับชื่อ 'DABOYWAY'

“ทำต่อไปเรื่อยๆ” 

คือประโยคสั้นๆ ที่รวบตึงทั้งความเชื่อและหลักการที่ ‘ปริญญา อินทชัย’ หรือ เวย์ Thaitanium ยึดถือและนำมาปรับใช้กับชีวิตทั้งในและนอกวงการของตัวเองเสมอมา

จากวันที่เขาเริ่มต้นออกเดินตามเส้นทางที่ปูด้วยความรักและความชอบในดนตรีร่วมกันกับกลุ่มเพื่อน ตั้ง ‘Thaitanium’ ขึ้นในมหานครนิวยอร์ก ออกไล่ตามความฝัน ทำในสิ่งที่ใครหลายคนไม่เข้าใจ สู้ทั้งๆ ที่มองไม่เห็นหนทางความเป็นไปได้ว่าจะสำเร็จ ไม่มีใครคาดคิดว่า 20 ปีให้หลัง ประโยคและการทำต่อไปเรื่อยๆ ของเขาและเพื่อนจะสร้างชื่อและถูกจารึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ฮิปฮอปไทยว่า ‘Thaitanium’ คือหนึ่งในกลุ่มคนที่ขับเคลื่อนฮิปฮอปจนกลายเป็นตำนาน 

ในวันที่ Thaitanium ไม่เหมือนเก่า ปริญญา อินทชัย ออกเดินทางอีกครั้งในฐานะศิลปินเดี่ยวอย่างเต็มตัว เส้นทางของ DABOYWAY ในวันนี้เป็นอย่างไร ความเชื่อ และหลักการที่ยึดถือยังคงเดิมหรือไม่

ปล่อยตัวไปตามไรม์ที่เขา flip ปล่อยใจไปกับคำตอบที่เขา flow ออกมาตามจังหวะของหัวใจ บนเส้นทางแห่งความฝันในบทสัมภาษณ์ครั้งนี้กัน


การออกมาเป็นศิลปินเดี่ยวเหมือนในปัจจุบันนี้ก็เป็นเรื่องปกติ แต่ถ้าย้อนกลับไปเมื่อ 5-6 ปีที่แล้ว ทำไมตอนนั้นคุณถึงคิดเริ่มทำ DABOYWAY ขึ้นมา 

ตั้งแต่แรก หมายถึงตั้งแต่ก่อนทำ Thaitanium ผมมีความคิดอยากออกอัลบั้มเดี่ยวอยู่แล้ว อยากทำเพลงภาษาอังกฤษออกมา เพราะมันคือภาษาที่ผมถนัด ซึ่งถ้าเราทำเพลงออกมาเป็นภาษาอังกฤษล้วนๆ Thaitanium ก็อาจไม่ได้ถนัดด้วย DABOYWAY เลยเริ่มมาจากตรงนั้น เริ่มจากเราอยากลองทำเพลงภาษาอังกฤษแยกออกมา

 

ถ้าอย่างนั้นความเป็น DABOYWAY กับ เวย์ Thaitanium เหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร

same person ไม่ต่างอะไรกัน แค่พอเราได้ลองทำเพลงออกมา พยายามหา sound หา voice ของตัวเอง ทำไปเรื่อยๆ อยู่ในห้องอัดตลอดเวลา มันเลยเริ่มมีเพลงออกมามากขึ้นเรื่อยๆ ถ้าเทียบกับแต่ก่อนสมัยเมื่อสัก 7-8 ปีที่แล้ว เราไม่ได้อยู่ในสตูดิโอมากขนาดนี้ เพราะ Thaitanium ทำงานกันเป็นกลุ่ม มีหลายคน หลายองค์ประกอบ แต่พอมาทำเอง มันคือการทำตามใจเรา เราไม่ต้อง depend on ใคร workflow เราเลยเริ่มคล่อง อยากทำแบบไหนก็ทำแบบนั้น อยากเข้าห้องอัดตอนตีสามก็เข้าได้ ตื่นเช้าขึ้นมาอยากอยู่ห้องอัดทั้งวันก็สามารถไปได้ ทำให้เราเปลี่ยนวิธีในการทำเพลง ทำให้ค้นพบว่า Oh shit, I can do it.


ถึงอย่างนั้นคุณก็เคยบอกไว้ว่าพอทำ DABOYWAY ขึ้นมาแล้วกลับรู้สึกสับสน ไม่รู้ว่าเป้าหมายต่อไปของตัวเองคืออะไร ความคิดนั้นมันเกิดขึ้นได้ยังไง

เพราะเราอยากทำเพลงภาษาอังกฤษ แต่เราดันอยู่ในเมืองไทย คือผมแค่อยากจะลองทำ อยากให้เพลงมันไปได้ไกลขึ้น ไม่ได้คิดถึงขนาดว่าจะให้เพลงเรา world wide นะ world wide is big (หัวเราะ) เราแค่อยากให้มันออกไปจากเมืองไทย อยากให้คนอื่นที่ไม่ใช่แค่คนไทยฟัง เผื่อจะได้รับฟีดแบ็กว่า Yo! it sucks. หรือ It’s good. Keep doing it.

 

 

แปลว่าเป้าหมายในตอนนั้นคืออยากให้คนรู้จักคุณมากขึ้นด้วย

เปล่า แค่อยากให้เพลงมันไปในวงกว้าง ความอยากให้คนมารู้จักเรามากขึ้น I don’t really care ตรงนั้นอยู่แล้ว ผมเป็นคนที่ชาเลนจน์ตัวเองอยู่เรื่อยๆ ทุกปีจะมีชาเลนจน์ใหม่ๆ หรือเป้าหมายที่ตั้งไว้ ผมเป็นคนไม่ชอบอยู่กับที่ และไม่ชอบทำอะไรเหมือนเดิมไปตลอด ถ้าเราตั้งเป้าหมายแล้วไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อนก็ทำไป ทั้งการใช้ชีวิตและการเป็นศิลปินเราใช้หลักการเดียวกัน

 

ค่ายเพลงฮิปฮอปน้องใหม่ที่คุณเข้าไปบริหารอย่าง Def Jam Recordings ก็เข้ามาในช่วงที่กำลังสับสนด้วยพอดี

ใช่ครับ พอเราสับสน เรามีคำถาม เราเลยพยายามหาคำตอบ เริ่มเขียนออกมาว่าถ้าอยากไปให้ถึงเป้าหมายนั้นเราต้องเริ่มทำอะไร แล้วมันก็เข้ามาพอดี เหมือนเป็น another challenge เป็น next step ของเรา

 

คำถามที่เกิดกับตัวเองตอนนั้นคืออะไร

How do I tour more like the legend, How do I go on a world tour, How do I find more inspiration, How do I win a grammy, How do I chart on billboard, How do I ทำอัลบั้มแล้วได้คอลแลบกับคนที่อยู่นอกวงการและไม่ใช่แค่ในเมืองไทย คำถามมันเกิดขึ้นเยอะไปหมด เพราะเราโฟกัสกับอาชีพนี้ เราอยากให้มันไปในอีกขั้นหนึ่ง เลยเขียนเป้าหมายที่เราอยากจะทำทั้งหมดออกมา ไม่ว่ามันจะใกล้หรือไกล เราไม่ได้ทำงานตรงนี้เพื่อหยุดอยู่กับที่แน่ๆ I wanna keep going. เราเกิดคำถามว่าทำไมวงร็อกอย่าง The Rolling Stone ถึงยังสามารถทัวร์กันได้อยู่ แม้ว่าเขาจะอายุ 50 – 70 กันแล้ว คือ I wanna do that. ผมอยากทำเพลง อยากจริงจังกับตรงนี้ไปเรื่อยๆ อยาก Keep doing music.      

 

ทั้งๆ ที่ Thaitanium ก็ยืนยันถึงความสำเร็จของคุณในเส้นทางนี้แล้ว ยังจะต้องพิสูจน์ตัวเองหรือทำตามฝันต่อไปด้วยเหรอ

แน่นอน I have goal as a group. รวมทั้ง individual goal เราก็มี

 

กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เหมือนว่าครึ่งชีวิตที่ผ่านมาความทรงจำทั้งหมดแทบจะผูกติดไว้กับ Thaitanium โลกของคุณพังทลายไปเลยไหมเมื่อตัดสินใจออกจากวง

(นิ่งคิด) เรื่องที่เราออกมา ผมคิดว่าไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้นหรอก และก็ไม่ได้คิดว่าจะเกิดขึ้น We’re still a family. ยังไงเราก็ยังเป็น Thaitanium เพียงแค่ ณ วันนี้ ปัจจุบันนี้ We’re just not on the same page.

 

ไม่กลัวการเริ่มต้นใหม่

No, not at all because it’s the challenge. I’m not scared of challenge.


พอมาอยู่ Def Jam Recordings ต้องเป็นทั้งผู้บริหาร และเป็นศิลปินคนแรกของค่ายด้วย คุณกดดันกับมันขนาดไหน

แต่ก่อนตอนที่อยู่ Thaitanium เราก็บริหารนะ (หัวเราะ) ไม่ใช่ว่าอยู่ดีๆ เราเริ่มเป็นศิลปินเดี่ยว หรือเริ่มมาบริหารค่าย ตอนอยู่ Def Jam เราทำแบบนี้มาตั้งนานแล้ว เป็นผู้บริหารมาตลอดใน career ของตัวเอง บริหารตัวเอง และศิลปินอื่น 

การเป็นศิลปินมันเปิดประตูให้กับเราหลายบาน ทำให้เราได้ทำหลายบทบาท และเราเองก็ไม่ใช่คนที่มองว่าวันนี้เป็นศิลปินแล้วเราจะเป็นแบบนี้ตลอดไป I need a plan. สมมติว่าถ้าตอนอายุ 50-70 เราไม่สามารถออกทัวร์ได้แล้วจริงๆ นั่นแปลว่า I have another business and I’m doing the work. 

การเป็นทั้งผู้บริหาร เป็นทั้งศิลปินมันกดดันแหละครับ มันยากที่จะทำอะไรพร้อมๆ กัน และทำทั้งสองอย่างนั้นให้ออกมาดี แต่ผมว่ามันเป็นความกดดันที่ดี เป็น good pressure ที่เข้ามาท้าทายว่าเราจะทำได้หรือเปล่า เป็นโอกาสที่จะโชว์ด้วยว่าประสบการณ์ที่เราทำมาเกือบ 20 ปีเป็นยังไง และการที่เราเหยียบทั้งสองขาแบบนี้ แปลว่าเราจะรู้ใจศิลปินไง บอกเลยว่าการเซ็นสัญญาต่างๆ สำหรับผมคือโคตรแฟร์อะ เราจะช่วยแนะนำได้ทั้งตัวศิลปิน และตัวค่ายเอง so I think it would be a good mix. และสุดท้ายแล้วเราก็ไม่ได้ทำคนเดียวนะ เรามีทีม ซึ่งก็หวังว่ามันจะออกมาสำเร็จ หวังว่าจะสามารถผลักดันสิ่งที่เรารักให้มันก้าวต่อไป


คุณมองว่าค่ายนี้จะไปในทิศทางไหน มีแบบแผนอย่างไร

เป็นค่ายใหม่เล็กๆ สำหรับวงการเพลงไทย แพลนของมันไม่มีอะไรมากครับ สมมติว่าตอนนี้เราหลังชนกำแพง ทางเดียวที่เราจะไปต่อได้ก็คือเดินหน้า ค่ายอยู่ในขั้นหารือกันว่าใครจะเข้ามาร่วมกับเราบ้าง ทั้งศิลปินใหม่ที่เราอยากพัฒนาตั้งแต่ศูนย์ และศิลปินที่ก็พอมีมูฟเมนต์ของตัวเองแล้ว

 

ศิลปินในค่ายต้องมีคุณสมบัติแบบไหน

มีสตอรีที่เขาอยากจะเล่า และอยากจะให้เรา ทีม Def Jam ช่วยเล่าเรื่องนั้น

 

แต่ ณ ตอนนี้คนก็จะมองว่า แรปเปอร์ก็ทำเพลงได้เองอยู่แล้ว มีคนทำบีตอยู่แล้ว ทำไมเราถึงต้องมีค่ายมาดูแลเขาอีก

ใช่ ถ้ามองเผินๆ มันก็ง่าย ทำเองได้ แต่บางทีเขาก็ไม่รู้ด้านที่เกี่ยวกับธุรกิจ คือถ้าเขาอยากจะ take the business seriously มันก็ไม่เสียหายถ้าจะลองเป็นศิลปินแบบมีสังกัด

 

ในฐานะที่อยู่ในวงการนี้มานาน 20 กว่าปี คุณคิดว่าวงการจะแข็งแรงขึ้นได้อย่างไร

การที่วงการจะแข็งแรงขึ้น It’s not gonna happen ใน 1-3 วันอยู่แล้ว มันต้องใช้เวลา ซึ่งผมว่าทุกวันนี้วงการก็เริ่มแข็งแรงขึ้นมากแล้ว ถ้าเทียบกันคือเขาอายุ 20 กว่าปีแล้ว เป็นวัยรุ่นที่กำลังเติบโต กำลังจะเป็นผู้ใหญ่ สิ่งที่เราทำได้คือแค่ keep continuing ผลักดันให้เป็นไปในทางบวกและทางที่ดี และสิ่งหนึ่งที่สำคัญมากกับตอนนี้คือ Every artist should have the publishing contract. ศิลปินควรรู้ว่าทุกครั้งที่เพลงเราถูกเปิด ทุกครั้งที่เพลงเรานำไปเล่นที่ไหน นั่นคือส่วนแบ่งและสิทธิของคุณ

 

 

หากย้อนดูประวัติและผลงาน จะพบว่าคุณลงมือทำสิ่งต่างๆ มาแล้วหลากหลาย อะไรคือสิ่งสำคัญที่ผลักดันให้คุณเริ่มต้นทำสิ่งต่างๆ

anything ทุกสิ่งที่คิดอยากทำ คือมันจะชอบมีอะไรบางอย่างฮึดขึ้นมาตลอด เช่น ช่วงที่กำลังเตรียมงาน NVSC FEST มันยังขาดกราฟิกในโชว์ของผม เราก็ลงไม้ลงมือทำเองเลย ใครว่างไม่ว่างยังไงผมไม่รู้ เราทำก่อน หมกมุ่นกับมัน ทำอะไรทำเต็มร้อย ผมจะคิดเสมอว่า You get as much as you put in. You put in a hundred then you’re gonna get a hundred.

ซึ่งคิดแบบนี้ก็ไม่ใช่ว่าทุกงานจะต้องสำเร็จนะ ทำไม่สำเร็จก็ไม่เป็นไร We learned, we still get something. ถึงยังไงมันก็เป็นบทเรียนให้เรารู้ว่าโอเค คราวหน้าเราจะไม่ทำแบบนี้ หรือเราสามารถทำแบบนี้แทน I think if we still มีลมหายใจ that’s the best thing to give and to get something. คือทำไปเรื่อยๆ if you keep doing โดยที่ไม่ทำร้ายใคร you will win ในสักทาง

โต้ง TWOPEE ทำไปเรื่อยๆ มา 13 ปี เพิ่งดังเมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมานี้เอง มันทำมาตั้งแต่อายุ 14 โดยที่ไม่หยุด คนอาจจะเข้าใจว่ามันมาจากไหนก็ไม่รู้ อยู่ดีๆ ก็ดังขึ้นมา แต่จริงๆ มันทำมานานแล้ว ไม่หยุดพักเลย

Thaitanium เองก็ทำมาเรื่อยๆ 6 ปีกว่าจะได้เงินที่เป็นกำไร ออกไปตั้งสองอัลบั้ม ทำมาไม่รู้กี่มิกซ์เทป ถึงขนาดว่าตอนอัลบั้ม Thailand most wanted เริ่มกลับมาคิดกันแล้วว่าถ้ามันไม่โอเคอีกเรายังจะทำกันต่อไหม แต่เพราะเชื่อว่าทำต่อไปสิ ทำไปเรื่อยๆ ถ้าเราไม่ได้ทำร้ายใครก็ทำไป มันเลยมีวันนี้ ผมเชื่อว่า If we do good, something good is going to happen.


เหมือนนี่คือเคล็ดลับความสำเร็จของคุณ

จะว่าอย่างนั้นก็ได้ เวลาผมพูดอะไรแบบนี้คนจะชอบบอกว่ามันง่ายเพราะผมอยู่ตรงจุดนี้แล้วไง แต่จริงๆ ก่อนที่ผมจะสำเร็จ ผมก็ wanna be ผมก็พยายามเหมือนทุกคนนั่นแหละ ก็แค่ทำไปเรื่อยๆ เหมือนกัน 

การจะทำอะไรสักอย่างสำเร็จ เราต้อง change your habit ก่อน อย่าไปคิดว่าตัวเองทำไม่ได้ อย่าไปคิดว่าเรา comfortable กับการวิ่งอยู่ในสวนสิริกิติ์แล้วเราจะไม่สามารถไปวิ่งที่ราชมังคลาฯ ได้ อย่าคิดแบบนั้น I understand comfortable getting money but you should take a chance ด้วย

Experience make you better. ประสบการณ์แย่ๆ ความล้มเหลวทำให้เราได้เรียนรู้ เหมือนเด็กเวลาหัดเดิน เขาก็ล้ม แต่ล้มแล้วยังไงต่อล่ะ what’s next สุดท้ายมันก็จะออกมาดี เขาก็จะเดินได้ คือผมรับรองเลยว่าคุณวาดรูปครั้งแรกยังไงก็ออกมา look fucking ugly อยู่แล้ว (หัวเราะ) Your first song is gonna suck but keep going to get better.

 

คิดว่าวันนี้พาตัวเองเดินมาไกลแค่ไหนแล้วในเส้นทางนี้ และเป้าหมายของเราทุกวันนี้ทำไปเพื่ออะไร

การที่อยู่ในวงการมาแล้ว 20 ปี แต่ทุกวันนี้เราก็ยังได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรักโดยที่ไม่ได้มีใครบังคับว่าเราจะต้องทำ ผมว่าผมก็โชคดีมากแล้ว I’m very happy, very grateful กับมัน การได้ jam with my son on stage ได้ทำสิ่งอื่นๆ หรือได้รับอะไรตอบแทนกลับมามันเหมือนเป็นโบนัสในชีวิตแล้ว เราไม่ได้คาดหวังอะไรอีก แค่คิดว่า as long as I can continue to enjoy it. ก็อยากที่จะทำมันไปเรื่อยๆ I still feel like I can go so keep going.

AUTHOR

PHOTOGRAPHER

สรรพัชญ์ วัฒนสิงห์

ชีวิตต้องมีสีสัน