ในวันที่ความเป็นคนล่มสลาย D.P. ซีรีส์ตีแผ่ความเลวร้ายของกองทัพเกาหลีใต้

บทความนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาบางส่วนของซีรีส์

ในวันสุดท้ายก่อนที่ อันจุนโฮ (รับบทโดย จองแฮอิน) จะต้องเข้ารับราชการทหารไม่ต่างอะไรจากวันสับปะรังเควันหนึ่ง เขายังคงทำงานพิเศษเป็นพนักงานส่งอาหารให้ร้านอาหารสกปรกๆ แห่งหนึ่ง โดนลูกค้ากล่าวหาว่ามุบมิบเงินทอน แถมพอกลับมาถึงร้านยังโดนเจ้านายเบี้ยวไม่ยอมจ่ายค่าจ้างอีก

ภายใต้เหตุการณ์เล็กๆ น้อยๆ ที่พอจะยืนยันให้เรารับรู้ถึงความบัดซบในชีวิตที่เด็กหนุ่มต้องเผชิญอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน จุนโฮเพียงแค่เหม่อมองฉากชีวิตสุดท้ายของตัวเองก่อนจะต้องไปรับใช้ชาติผ่านไปอย่างเหม่อลอย ไม่มีอะไรน่าจดจำสักอย่าง หรือต่อให้สู้กับนายจ้างเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมก็ไม่น่าจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้นัก ท้ายที่สุดเขาจึงเดินออกจากร้านไปอย่างเงียบๆ กระโดดขึ้นมอเตอร์ไซค์ส่งอาหารที่เขาไม่ได้เป็นเจ้าของแล้วเร่งเครื่องจากไป ทิ้งเสียงของนายจ้างที่ตะโกนด่าว่า “ไอ้หัวขโมยมอเตอร์ไซค์!” ไว้ข้างหลัง จะถูกไล่ออกหรือฟ้องร้องอะไรก็ช่างมัน เพราะยังไงวันพรุ่งนี้เขาก็ต้องเข้ากรมไปเป็นทหารแล้ว

หน่วยไล่ล่าทหารหนีทัพ

D.P. คือซีรีส์ขนาด 6 ตอนของเน็ตฟลิกซ์ซึ่งดัดแปลงมาจากซีรีส์การ์ตูนบน WEBTOON เรื่อง D.P. Dog’s Day เขียนโดย Kim Bo-tong ซึ่งพาผู้อ่านไปสำรวจบาดแผล ความโกรธแค้น และความเจ็บปวดที่เหล่าเด็กหนุ่มชาวเกาหลีใต้ต้องเผชิญตลอดระยะเวลา 2 ปีของการรับราชการทหาร

ซีรีส์บอกเล่าเรื่องราวของจุนโฮ เด็กหนุ่มที่เพิ่งเข้าไปเป็นทหารเกณฑ์ได้ไม่นาน ด้วยความที่เขายังเป็นเพียงทหารชั้นผู้น้อยทำให้ต้องพบเจอกับการกลั่นแกล้งสารพัดจากบรรดาทหารรุ่นพี่ ไม่ต่างอะไรกับทหารใหม่คนอื่นๆ ราวกับว่าเป็นเรื่องธรรมดาของวงจรชีวิตทหารฝึกหัด พ้นไปจากการฝึกฝนซ้ำๆ ซากๆ แล้วก็เห็นจะมีแต่การต้องจำยอมต่อชะตากรรมที่ต้องถูกรังแกอยู่เรื่อยๆ จนกว่าจะถึงวันที่ทหารรุ่นพี่ปลดประจำการออกไป

จนกระทั่งวันหนึ่ง อยู่ๆ จุนโฮก็ถูกเรียกตัวไปเป็นทหารประจำหน่วย D.P. ภายใต้การดูแลของจ่าสิบโท พัคบอมกู (รับบทโดย คิมซองกยุน) D.P. คือหน่วยไล่ล่าทหารหนีทัพ ซึ่งนอกจากจุนโฮแล้วยังมีสมาชิกอีกหนึ่งคนคือ ฮันโฮยอล (รับบทโดย คูคโยฮวาน) ทหารรุ่นพี่ซึ่งสังกัดหน่วยนี้อยู่ก่อนแล้วและพอจะมีประสบการณ์ตามจับทหารที่หลบหนีจากกองทัพอยู่บ้าง 

ในแง่นี้ เรื่องราวตลอด 6 ตอนของซีรีส์เรื่องนี้จึงโฟกัสอยู่กับภารกิจตามล่าบรรดาทหารหนีทัพของจุนโฮและโฮยอล โดยที่ระหว่างทางเราก็พลอยได้เรียนรู้ถึงแรงผลักดันที่อยู่เบื้องหลังการตัดสินใจหนีทหารของแต่ละคนที่ล้วนแตกต่างกันไป เพราะในขณะที่คนหนึ่งเลือกจะหลบหนีเพราะทนการถูกกลั่นแกล้งจากทหารรุ่นพี่ไม่ไหว อีกคนกลับแค่รู้สึกเบื่อหน่ายและหนีมาขังตัวเองอยู่กับบ้านเพื่อเล่นเกมไปวันๆ และในขณะที่คนหนึ่งเลือกจะวิ่งหนีจากค่ายทหารเพราะอยากไปดูแลคนที่เขารัก อีกคนกลับก้าวออกจากประตูกองทัพเพราะความปรารถนาที่จะล้างแค้นล้วนๆ 

แม้ว่าทหารแต่ละคนต่างมีเหตุผลในการหนีทหารที่แตกต่างกันไป หากถึงที่สุดแล้วเหตุผลทั้งหลายเหล่านี้ก็ไม่ได้มีน้ำหนักมากพอที่จะล้มล้างข้อเท็จจริงที่ว่า พวกเขาหลบหนีจากการเกณฑ์ทหารและจำเป็นต้องถูกลากคอกลับไป การหลบหนีจากหน้าที่ทางราชการยังไงก็คือความผิด เพราะถึงที่สุดแล้วการเกณฑ์ทหารก็กินเวลาแค่ 2 ปี พอครบกำหนดก็จะได้กลับไปใช้ชีวิตเป็นปกติอีกครั้ง 

แค่ 2 ปีในค่ายทหารไม่อาจเปลี่ยนแปลงชีวิตใครไปได้หรอก–ใช่ไหม?

D.P.

ความเป็นมนุษย์ที่แหลกสลาย

ย้อนกลับไปในปี 2014 สองเหตุการณ์จริงที่สร้างความสั่นสะเทือนใจให้กับชาวเกาหลีต่อกองทัพเกาหลีใต้อย่างรุนแรงคือ หนึ่ง–การเสียชีวิตของนายทหารชั้นผู้น้อยคนหนึ่งอันเป็นผลลัพธ์โดยตรงจากการกลั่นแกล้งของนายทหารรุ่นพี่ และสอง–การกราดยิงของนายทหารคนหนึ่งอันเป็นผลสืบเนื่องมาจากการโดนรังแกในค่ายทหารซ้ำๆ จนนำมาซึ่งความตายของทหารอีก 5 นาย ในเดือนสิงหาคมปีเดียวกัน ฮอตไลน์ของกองทัพแทบจะลุกเป็นไฟจากสายโทรศัพท์ของทหารกว่า 758 รายที่ต่างก็โทรมารายงานว่าตัวเองถูกกลั่นแกล้งในกองทัพ และเป็นปี 2014 อีกเช่นกันที่เรื่องราวของ D.P. เริ่มต้นขึ้น

ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นความตั้งใจของซีรีส์ที่เลือกบอกเล่าเรื่องราวในปีเดียวกันนี้ นั่นเพราะซีรีส์ได้รับแรงบันดาลใจมาจากสองเหตุการณ์สลดข้างต้น และแม้ว่าความรุนแรงในกองทัพจะไม่ใช่ประเด็นใหม่ในสังคม แต่หากลองพิจารณาภายใต้บริบทของอุตสาหกรรมบันเทิงเกาหลีใต้แล้วจะพบว่า ซีรีส์หรือภาพยนตร์ที่เลือกตีแผ่ความโหดร้ายของชีวิตการเป็นทหารกลับไม่ค่อยมีให้เห็นมากนัก ยิ่งเมื่อเป็นความโหดร้ายของกองทัพในปัจจุบันด้วยแล้วยิ่งน้อยมาก ที่พอจะมีอยู่ก็คงต้องย้อนกลับไปในปี 2005 ที่ภาพยนตร์เรื่อง The Unforgiven เคยได้ถ่ายทอดความรุนแรงในกองทัพผ่านชีวิตของนายทหารหนุ่มคนหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็มีอายุกว่า 16 ปีเข้าไปแล้ว

คงไม่ผิดนักหากจะบอกว่า D.P. เป็นซีรีส์ที่ให้ความรู้สึกสดใหม่พอสมควร ซีรีส์ไม่เพียงแต่จะพาเราไปสำรวจประเด็นที่อุตสาหกรรมบันเทิงเกาหลีใต้ยังไม่ค่อยได้แหย่ขาเข้าไปนัก หากยังเลือกที่จะฉายภาพความโหดร้ายของค่ายทหารอย่างตรงไปตรงมา อย่างที่ซีรีส์เองก็ดูจะรู้ตัวดีว่าความประนีประนอมหรือการไว้หน้ากองทัพไม่ใช่อะไรที่จำเป็นสักเท่าไหร่นัก อย่างน้อยก็ในภารกิจตีแสกหน้ากองทัพเกาหลีใต้ครั้งนี้

ด้วยเหตุนี้ ความน่าสนใจของซีรีส์เรื่องนี้คือการที่มันพาเราไปสำรวจความรุนแรงภายในกองทัพหลายระดับด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นระดับทหารชั้นผู้น้อยด้วยกันไปจนถึงระดับผู้บังคับบัญชา ทว่าท่ามกลางตัวละครต่างๆ ในเรื่อง พัฒนาการของตัวละครอย่างโจซอกบง (รับบทโดย โชฮยอนชอล) เห็นจะเป็นหัวใจสำคัญของซีรีส์ที่สะท้อนผลกระทบจากความรุนแรงในกองทัพที่กระทำต่อมนุษย์ตัวเล็กๆ คนหนึ่งได้อย่างชัดเจนที่สุด

D.P.

ก่อนหน้าการเกณฑ์ทหาร ซอกบงคือคุณครูหนุ่มใจดีผู้ชื่นชอบการดูอนิเมะและหลงใหลการวาดรูป แม้ว่าเขาจะเข้ามาอยู่ในกองทัพก่อนจุนโฮไม่นาน ถึงอย่างนั้นซอกบงก็ยังถือว่าเป็นรุนพี่ของจุนโฮภายใต้ลำดับอาวุโสของกองทัพอยู่ดี ตลอดเวลาที่อยู่ในกองทัพ ซอกบงมักจะถูกกลั่นแกล้งอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นการถูกเรียกชื่อว่า ‘โอตาคุ’ ด้วยท่าทีเหยียดหยาม การถูกบังคับให้ช่วยตัวเองต่อหน้านายทหารรุ่นพี่ ไปจนถึงการทำร้ายร่างกายเมื่อซอกบงแสดงท่าทีแข็งขืน ซอกบงถูกรังแกไม่ต่างจากทหารชั้นผู้น้อยคนอื่นๆ หากถึงที่สุดแล้ว ความรุนแรงที่ซอกบงต้องเผชิญไม่เพียงฝากบาดแผลและรอยช้ำไว้บนร่างกายเขาเท่านั้น แต่มันยังค่อยๆ บดขยี้จิตใจอันบริสุทธิ์ของชายคนหนึ่งจนแหลกสลายไม่เหลือซาก ผลักพาครูหนุ่มจิตใจสะอาดสู่หลุมดำแห่งความโกรธแค้น เกรี้ยวกราด และบ้าคลั่ง

D.P. ฉายภาพให้เราเห็นถึงความรุนแรงในกองทัพที่เปลี่ยนมนุษย์ไปเป็นเดรัจฉาน เปลี่ยนเด็กหนุ่มผู้อยากมีชีวิตเรียบง่ายงดงามไปเป็นอาวุธสงครามที่ไร้หัวจิตหัวใจ ซึ่งพอถึงจุดหนึ่ง ซีรีส์ก็ได้แสดงให้เห็นว่าซอกบงเองก็ค่อยๆ เปลี่ยนตัวเองไปสู่ตัวตนที่เขาเกลียดชังอย่างช่วยไม่ได้ เพราะจากรุ่นพี่ผู้เคยบอกกับจุนโฮว่า “เราต้องไม่กลั่นแกล้งรุ่นน้องเหมือนกับที่บรรดารุ่นพี่รุ่นก่อนๆ เคยทำกับเราไว้” ซอกบงก็ได้กลายมาเป็นนายทหารที่ตบหน้ารุ่นน้องฉาดๆ แค่เพราะจำชื่อรุ่นพี่ไม่ได้ ไม่ต่างอะไรกับเหล่ารุ่นพี่ที่เขาจงเกลียดจงชัง

แต่นั่นไม่ใช่ความผิดของคุณครูหนุ่มแม้แต่น้อย เพราะจิตใจที่วิปลาสไปแล้วของซอกบงไม่ได้เป็นเพราะเขาอ่อนแอเกินกว่าจะปกป้องหัวใจตัวเอง แต่เป็นเพราะความอุบาทว์บัดซบของความรุนแรงในกองทัพที่เป็นวงจรอุบาทว์ไม่รู้จบ วงจรอุบาทว์ที่คอยแต่จะบดขยี้หัวใจของนายทหารคนแล้วคนเล่าภายใต้ข้ออ้างที่ว่า เพื่อประโยชน์ของการฝึกฝนบ้างล่ะ เพื่อสร้างระเบียบวินัยบ้างล่ะ ภายในกองทัพ เส้นแบ่งระหว่างการฝึกฝนและการกลั่นแกล้งถูกทำให้พร่าเลือน แน่นอนว่าไม่ใช่เพื่อประโยชน์ของกองทัพอะไรพรรค์นั้นหรอก แต่เพื่อให้การกลั่นแกล้งถูกหยิบจับมาใช้สอยได้อย่างสะดวกมือมากขึ้นภายใต้นิยามของการฝึกฝนก็เท่านั้น

D.P.

ในฉากหนึ่ง ขณะที่โฮยอลพยายามเกลี้ยกล่อมซอกบงที่กำลังโกรธจัดและให้สัญญาว่าจะมีการตรวจสอบกองทัพถึงกรณีการกลั่นแกล้งและทำร้ายร่างกายที่ทหารชั้นผู้น้อยรวมถึงตัวซอกบงต้องพบเจอ ซอกบงถามโฮยอลกลับว่า รู้ไหมว่าบนกระติกน้ำที่ทหารใช้กันในค่ายเขียนว่าอะไร 

“มันเขียนว่า 1953 มันใช้มาตั้งแต่สงครามเกาหลี ขนาดกระติกน้ำยังไม่เคยเปลี่ยนเลย”

แค่กระติกน้ำโง่ๆ ยังเปลี่ยนไม่ได้ นับประสาอะไรกับกองทัพวะ 

ซอกบงไม่ได้พูดประโยคนี้ออกมา

ใครกันแน่คือศัตรูที่แท้จริง

หากกองทัพคือโลกใบหนึ่ง และสังคมภายนอกคือโลกอีกใบซึ่งตัดขาดจากกันอย่างชัดเจน หน่วยไล่ล่าทหารหนีทัพอย่างจุนโฮและโฮยอลก็เห็นจะเป็นทหารฝึกหัดที่เคลื่อนที่อยู่ระหว่างโลกทั้งสองนี้ แน่นอนว่าหน้าที่หลักของทั้งคู่คือการตามจับทหารที่หลบหนีจากกองทัพให้กลับไปยังค่ายทหาร ทว่าหนึ่งในอภิสิทธิ์ที่หน่วยไล่ล่าทหารมีเหนือกว่าทหารชั้นผู้น้อยคนอื่นๆ คือการที่พวกเขาได้มีโอกาสออกไปสัมผัสโลกภายนอกบ่อยกว่า อย่างน้อยก็มากพอให้พวกเขายังคงตระหนักถึงคุณค่าของความเป็นมนุษย์ที่ไม่เคยปรากฏให้เห็นในกองทัพ

จุนโฮและโฮยอลเป็นทหารที่เพิ่งเข้ามาอยู่ในกองทัพได้ไม่นานนัก และแม้ว่าทั้งคู่ต้องเผชิญกับการถูกกลั่นแกล้งจากรุ่นพี่อยู่บ้าง แต่ด้วยสถานะของหน่วยไล่ล่าทหารหนีทัพ สภาพจิตใจของพวกเขาเลยยังไม่ถึงขั้นแหลกสลายจนสูญเสียความเป็นมนุษย์ไป เพราะถึงแม้ว่าการออกไปข้างนอกค่ายทหารของทั้งคู่คือการปฏิบัติหน้าที่ แต่ในขณะเดียวกันสังคมภายนอกก็คอยย้ำเตือนจุนโฮและโฮยอลอยู่เสมอถึงความผิดปกติของโลกในกองทัพ สังคมกระจ้อยร่อยหลังลวดหนามที่เชื่อเสียเหลือเกินว่าตัวเองยิ่งใหญ่เสียเต็มประดา แต่พอเวลาผ่านไป 2 ปีแล้วต้องกลับมาเป็นประชาชนคนธรรมดาก็พบว่าอํานาจบาตรใหญ่ในค่ายทหารกลับเป็นเพียงทรัพย์สินที่ไม่มีใครให้ราคาแม้แต่น้อย

D.P.

ฮวางจางซู (รับบทโดย ชินซึงโฮ) คือหนึ่งในรุ่นพี่ทหารที่คอยกลั่นแกล้งทหารรุ่นน้องอย่างหนักข้ออยู่เรื่อยๆ สถานะของเขาในกองทัพคือพี่ใหญ่ที่ใครๆ ต่างก็หวาดกลัว แต่พอครบกำหนด 2 ปีที่เขาต้องกลับมาใช้ชีวิตอย่างสามัญชนอีกครั้ง จางซูกลับพบว่าอำนาจที่เขาเคยมีกลับอันตรธานหายไปอย่างไร้ร่องรอย จนเขาต้องมาคอยก้มหน้าให้นายจ้างแก่ๆ ที่เอาแต่บ่นว่าเขาทำงานไม่ได้เรื่องเอาเสียเลย จางซูคิดถึงชีวิตการเป็นทหารเพราะเขาเคยยืนอยู่ชั้นบนสุดของห่วงโซ่ 2 ปีในกองทัพได้มอบสถานะนายเหนือหัวที่เขาไม่อาจสัมผัสได้ในโลกแห่งความจริง ตรงข้ามกับซอกบงที่กลับพบว่า 2 ปีในกองทัพริบทุกอย่างไปจากเขาจนหมดสิ้น ไม่เหลืออีกแล้วคุณครูศิลปะแสนใจดี ไม่เหลืออีกแล้วชายหนุ่มผู้มีหัวใจแสนอ่อนโยน ซ้ำร้ายในขณะที่ซอกบงตระหนักดีว่าความรุนแรงในกองทัพคือต้นเหตุที่เปลี่ยนให้เขาเป็นเช่นนี้ หากตัวกองทัพเองกลับไม่สนใจใยดีหรือคิดจะทบทวนแม้แต่น้อย ว่าอะไรคือสาเหตุให้ทหารชั้นผู้น้อยคนหนึ่งโกรธแค้นถึงขนาดหยิบปืนมาเล็งใส่ทหารด้วยกัน

ซอกบงเป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งที่สะท้อนให้เห็นว่าความรุนแรงภายในกองทัพสามารถทำให้คนคนหนึ่งสูญสิ้นความเป็นคนได้ยังไง แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นกับซอกบงจะเป็นโศกนาฏกรรมสุดท้าย ในทุกๆ ปีที่เด็กหนุ่มชาวเกาหลีใต้ต้องกอดลาครอบครัวเพื่อไป ‘รับใช้ชาติ’ ทว่าปลายทางที่รอพวกเขาอยู่จริงๆ กลับไม่ใช่ศัตรูฝั่งตรงข้ามอย่างที่กองทัพพร่ำพ่น หากเป็นปีศาจร้ายในเสื้อสีเขียวหม่นในค่ายทหารที่รอกลั่นแกล้งพวกเขา–นั่นต่างหากคือศัตรูที่แท้จริงของเด็กหนุ่มเหล่านั้น

กองทัพต่างหากที่เป็นศัตรูที่แท้จริงของประชาชนเสมอมา

D.P.

AUTHOR