“โรงเรียนคืออาหารหลัก แคมป์คือวิตามิน” CP-Meiji Tensai แคมป์ที่อยากให้เด็กพบตัวตนตั้งแต่เนิ่นๆ

Highlights

  • ซีพี-เมจิ เทนไซ (CP-Meiji Tensai) คือแคมป์ติวเนื้อหาทางวิชาการสำหรับเด็กในช่วงประถมศึกษาเพื่อเตรียมสอบเข้าชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1  อีกทั้งยังเสริมสร้างความรู้และทักษะการใช้ชีวิตพื้นฐานควบคู่ไปพร้อมกันตามแนวคิด ‘ชีวิตดี เริ่มต้นด้วยรากฐานการศึกษา
  • นอกจากจะติวความรู้ในเชิงวิชาการแล้ว ซีพี-เมจิหวังว่าแคมป์นี้จะช่วยจุดประกายให้เด็กเห็นเส้นทางความสำเร็จด้านอื่นอีกมากมายที่พวกเขาสามารถเลือกเดินและทำควบคู่กันไปโดยไม่ทิ้งเรื่องการศึกษา
  • ตลอดเวลา 6 ปีที่จัดแคมป์เทนไซขึ้นมา ทางซีพี-เมจิมีการปรับปรุงพัฒนาแคมป์ให้ดียิ่งขึ้นมาโดยตลอด โดยปีนี้ทางแคมป์ยังมีเวิร์กช็อป ‘เทคนิคการเลี้ยงลูกแบบพ่อแม่ยุคดิจิทัล’ สำหรับคุณพ่อคุณแม่เพื่อเข้าใจและสามารถรับมือกับลูกที่เข้าสู่ช่วงวัยรุ่นได้ดียิ่งขึ้น

ในยุคที่คนเราเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้เร็วขึ้นและในจำนวนมากขึ้น หากเยาวชนไทยจะรอให้ถึงช่วงมัธยมปลายก่อนเตรียมสู่สนามสอบก็คงจะสายไปเสียแล้ว

เพราะอย่างนี้ บริษัท ซีพี-เมจิ จำกัด ซึ่งเชื่อในการสร้างชีวิตที่ดีให้กับอนาคตของชาติผ่านผลิตภัณฑ์นมและโยเกิร์ต จึงจัดกิจกรรม ซีพี-เมจิ เทนไซ (CP-Meiji Tensai) แคมป์ติวตะลุยโจทย์สำหรับเด็กประถมศึกษาปีที่ 6 ที่กำลังเตรียมสอบเข้าชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น ซึ่งปีนี้จัดต่อเนื่องเป็นปีที่ 6 แถมยังครองตำแหน่งแคมป์เตรียมสอบระดับนี้แห่งเดียวในประเทศไทยที่จัดต่อเนื่องได้ยาวนานที่สุด

 จุ๊บ–ชาลินี พูนลาภมงคล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายกิจกรรมองค์กรสัมพันธ์ บอกกับเราว่าแคมป์ซีพี-เมจิ เทนไซ มีความพิเศษตรงที่ไม่ได้ติวแค่วิชาการ แต่ยังแบ่งปันประสบการณ์ชีวิต เพื่อเป็นตัวอย่างให้น้องๆ นักเรียนที่กำลังค้นหาตัวเอง และปีนี้ยังเป็นปีแรกที่มีการจัดแคมป์สำหรับพ่อแม่ผู้ปกครองควบคู่กันไป

อะไรกันที่ทำให้พวกเขาเชื่อในการศึกษาทั้งในและนอกห้องเรียน เชื่อในการเป็นตัวเองของเด็กนักเรียน และเชื่อในการมีส่วนร่วม (แบบไม่บังคับ) ของพ่อแม่ ชาลินีจะเล่าให้ฟัง

 

ทำไมซีพี-เมจิถึงเห็นถึงความสำคัญของการศึกษาสำหรับเด็กและเยาวชนจนเกิดมาเป็นแคมป์ซีพี-เมจิ เทนไซ

คำตอบอยู่ในชื่อโครงการอย่าง ‘เทนไซ’ ที่แปลว่า ‘อัจฉริยะ’ อยู่แล้ว เพราะความตั้งใจแรกของซีพี-เมจิที่มีผลิตภัณฑ์เป็นนมและโยเกิร์ต คือการให้ประโยชน์แก่เด็กและเยาวชนผ่านคุณค่าทางโภชนาการ แม้ทุกคนจะสามารถดื่มผลิตภัณฑ์ของเราได้ แต่ต้องยอมรับว่ากลุ่มเด็กและเยาวชนเป็นกลุ่มผู้บริโภคที่สำคัญ

พวกเราจึงมาคิดต่อว่า นอกจากการทำผลิตภัณฑ์ที่ให้คุณค่าทางโภชนาการที่เหมาะสมแล้ว เราสามารถทำอะไรได้อีกที่จะช่วยส่งเสริมสิ่งสำคัญในชีวิตเขาได้ และยังสอดคล้องกับนโยบายหลักของเราคือ ‘ชีวิตดี มีได้ทุกวัน

องค์กรเรามองว่าสิ่งสำคัญสำหรับเด็กและเยาวชนคือการศึกษา เพราะในช่วงวัยสิบกว่าขวบ อาชีพที่แท้จริงของเขาก็คือนักเรียน จึงเป็นที่มาของโครงการซีพี-เมจิ เทนไซ ที่ยังคงมุ่งไปที่กลุ่มของเด็กและเยาวชนเพื่อสร้างความอัจฉริยะทางการศึกษาให้แก่พวกเขา

 

ทำไมถึงออกแบบแคมป์ซีพี-เมจิ เทนไซให้กับเด็กช่วงประถมศึกษาปีที่ 6 ที่กำลังขึ้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยเฉพาะ

แคมป์ติวส่วนใหญ่ออกแบบมาสำหรับเด็กมัธยมปลายที่กำลังจะเข้ามหาวิทยาลัย แต่เรามองว่ารอยต่อระหว่างประถมศึกษาและมัธยมศึกษาก็เป็นช่วงเวลาที่สำคัญเหมือนกัน อีกทั้งยังเป็นช่องว่างที่เหมาะสม ตรงกับกลุ่มเป้าหมายในแง่ผลิตภัณฑ์ และยังตรงกับความตั้งใจในการพัฒนาเยาวชนอีกด้วย

เราเชื่อว่า ถ้ารอถึงตอนมัธยมปลาย มันอาจจะช้าไปแล้ว เราอยู่ในยุคที่ทุกอย่างรวดเร็วขึ้น โลกหมุนไวกว่าเดิม เด็กในปัจจุบันสามารถรับข่าวสารได้เร็วและมากกว่าสมัยก่อน ดังนั้นการช่วยให้เขารู้จักตัวตนและปูพื้นฐานในสิ่งที่ถนัดตั้งแต่วัยประถมจึงเป็นสิ่งสำคัญ

เป้าหมายของแคมป์ซีพี-เมจิ เทนไซ คืออะไร

เรามองว่าการเรียนในห้องเรียนคืออาหารหลัก ซึ่งก็ให้ความรู้กับเขาเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ ครบถ้วนอยู่แล้ว ส่วนแคมป์เราคือวิตามิน ที่จะช่วยเพิ่มเคล็ดลับและเทคนิคให้กับเด็ก มากกว่าจะสอนสิ่งที่พวกเขาก็เรียนจากโรงเรียนอยู่แล้ว แม้เขาจะมาติวเพียงแค่ 2 วัน เขาก็ต้องได้อะไรใหม่ๆ กลับไปให้มากที่สุดในช่วงเวลาอันสั้น

แคมป์ของเราจึงเป็นเหมือนอาหารเสริมที่ช่วยเปิดโลกให้เขาว่า ชีวิตจริงมันมีเส้นทางให้เลือกเดินต่อไปอยู่มากมาย เด็กบางคนอาจไม่ได้เรียนหนังสือเก่งมาก แต่เขาอาจมีความถนัดและสนใจในด้านอื่น แต่เราก็อยากบอกเขาว่า คุณสามารถเดินตามเส้นทางที่คุณสนใจโดยที่ยังตั้งใจเรียนควบคู่กันไปได้

ปีนี้เราจึงพาแขกรับเชิญมา 2 ท่าน คือ มิวนิค BNK 48 และโค้ชป้อม จากทีม eSports บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ทั้งคู่มีความพิเศษเหมือนกันคือ รู้ว่าตัวเองชอบอะไร และพยายามทำความฝันให้เป็นจริงโดยไม่ทิ้งการเรียน

ในงานมีน้องๆ หนึ่งพันคน เราก็ไม่รู้ที่มา ไม่รู้ว่าแต่ละคนชอบอะไร แต่อย่างน้อยถ้าเขาได้มาฟังว่ารุ่นพี่ทำตามฝันควบคู่ไปกับการเรียนยังไง เขาก็จะได้เปิดโลก ถ้าเราทำได้สัก 1 คนแคมป์นี้ก็คุ้มค่าแล้วล่ะ หรือในมุมพ่อแม่ที่กังวลว่าลูกจะสนใจอย่างอื่นมากกว่า ก็จะเห็นว่ามันทำควบคู่กันไปได้จริง แล้วพ่อแม่ก็จะเข้าใจลูกมากขึ้น

นั่นเป็นเหตุผลที่แคมป์จัดเวิร์กช็อปสำหรับผู้ปกครองด้วยใช่ไหม

ในปีแรกๆ เราโฟกัสไปที่เนื้อหาสำหรับเด็กก่อน แต่พอทำไปได้หลายปีจึงเริ่มคิดต่อว่า จะสามารถขยายขอบข่ายให้ครอบคลุมบุคคลที่เกี่ยวข้องกับเด็กได้ยังไงบ้าง แล้วพอมองไปรอบๆ แคมป์จะเห็นได้ว่า พ่อแม่ที่ขับรถมาส่งลูกหรือมานั่งเฝ้าลูกติวในแคมป์ เขาก็นั่งอยู่เฉยๆ ไม่ได้ทำอะไร เราเลยคิดกันว่า ทำไมเราไม่ทำเวิร์กช็อปสำหรับเขาด้วยเสียเลยล่ะ ในระหว่างที่ลูกเรียนพ่อแม่ก็เรียนด้วยได้นี่ เราเลยขยายขนาดของแคมป์จากเด็กไปสู่ผู้ปกครอง เพราะพวกเขาคือคนที่ใกล้ตัวเด็กมากที่สุด ซึ่งควรจะเข้าใจเด็กมากที่สุด

 

เนื้อหาแบบไหนที่จะช่วยให้พ่อแม่เข้าใจลูกยุคนี้ได้มากขึ้น

เวิร์กช็อปมี 4 หัวข้อคือ

1. เข้าใจความแตกต่าง สร้างครอบครัวมีสุข พ่อแม่ต้องเข้าใจว่า ทุกคนมีความแตกต่าง ลูกแต่ละคนก็มีนิสัยที่ต่างกัน บางคนเหมือนพ่อ บางคนเหมือนแม่ บางคนไม่เหมือนใครเลย ถ้าพ่อแม่เข้าใจความแตกต่างก็จะช่วยลดความขัดแย้งและอยู่ด้วยกันได้อย่างมีความสุข

2. สมองวัยรุ่นวุ่นรัก ช่วงวัยของน้องๆ ที่มาซีพี-เมจิ เทนไซ คือช่วงที่กำลังเข้าสู่วัยรุ่น มีความเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย ซึ่งส่งผลต่อหลายๆ เรื่อง และเป็นช่วงที่อาจมีเรื่องเพศตรงข้ามเข้ามา เราจึงต้องทำให้พ่อแม่เข้าใจว่า ลูกคุณกำลังเปลี่ยนช่วงนะ เพราะบางคนอาจลืมช่วงวัยรุ่นไปแล้ว หรือบางทีตัวเองก็เคยเป็นเคยเจอ แต่พอมาเป็นพ่อแม่เองกลับรับมือไม่ถูก หรือการที่เราไม่ชอบพ่อแม่แบบไหน แต่เราอาจเป็นพ่อแม่แบบนั้นซะเอง

3. โค้ชลูก พ่อแม่บางคนอยากสอนลูก แต่อาจจะสอนไม่เป็น การสอนเลยกลายเป็นการสั่ง ซึ่งเป็นการสื่อสารที่แตกต่างกับการสอนโดยสิ้นเชิง เราเลยอยากสอนพวกเขาว่าควรสื่อสารกับลูกยังไง เข้าหาลูกยังไง ให้ลูกสบายใจ

4. อาชีพแห่งอนาคต ทุกวันนี้มีอาชีพที่ไม่เคยมีในสมัยก่อนเยอะมาก เช่น ยูทูบเบอร์​ บล็อกเกอร์ หรือบางอาชีพก็อาจจะหายไปแล้ว และอย่างที่บอกว่านี่เป็นยุคดิจิทัล ยุคที่ทุกอย่างเข้ามาเร็วขึ้น พ่อแม่เองก็ต้องปรับตัว ถ้าพ่อแม่เริ่มวางแผนเร็วก็จะสามารถช่วยลูกไปถึงเป้าหมายได้

คุณคิดว่าเด็กยุคนี้แตกต่างจากเด็กยุคก่อนยังไงบ้าง

ในแง่หลักสูตรที่เด็กได้เรียนก็คงไม่เปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนมากนัก แต่ที่เปลี่ยนแปลงจริงๆ คือเรามีระบบการเรียนการสอนหลากหลายมากขึ้น เช่น นานาชาติ สองภาษา โรงเรียนทางเลือก เป็นต้น แต่ในเรื่องของการเรียนรู้อย่างอื่น เรามองว่าการเข้ามาของโซเชียลมีเดียทำให้เด็กเข้าถึงข้อมูลได้มากขึ้น มีทางเลือกมากขึ้นและเร็วขึ้น เมื่อก่อนเด็ก ป.1 อาจจะไม่รู้อะไรเลย แต่เด็ก ป.1 ทุกวันนี้ เขาอาจรู้เรื่องได้เท่าเด็ก ป.6 สมัยก่อนได้เลย

 

คุณคิดว่ามันถูกต้องไหมที่เด็กต้องเริ่มเรียนรู้เร็วขนาดนี้

เป็นเรื่องที่บอกว่าถูกหรือผิดได้ยาก เพราะสำหรับเด็กบางคนมันก็ดี แต่สำหรับเด็กอีกคนมันอาจไม่ดีก็ได้ แต่เรามองว่าการเริ่มเร็วคือการเพิ่มโอกาส เด็กบางคนอาจมีความสามารถ รับเนื้อหาในวิชาเรียนได้เร็ว และเขาสนุกที่จะเรียนรู้เพิ่มเติม ในบางทีที่เขาได้ความรู้จากการศึกษาภาคปกติได้ 70% และถ้าสามารถเติมเต็มอีก 30% ผ่านการเรียนเสริมได้ เราคิดว่ามันเป็นประโยชน์นะ

การเรียนพิเศษก็เหมือนกัน โดยหลักการแล้วเราคิดว่าเด็กควรได้รับความรู้ผ่านโรงเรียนอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุดก่อน หากจะเรียนพิเศษข้างนอก ควรจะเป็นการเสริมความรู้ด้านอื่นๆ มากกว่าการเรียนพิเศษในเรื่องที่ก็เรียนในหลักสูตรอยู่แล้ว

 

แคมป์นี้ก็เป็นการเสริมเหมือนกันใช่ไหม

ใช่ค่ะ เราเสริมให้สมบูรณ์และทันยุคสมัยมากขึ้น แนวคิดหลักยังคงเป็นการเสริมเนื้อหาวิชาการ แต่เราไม่จบแค่นั้น ในยุคสมัยนี้ที่โลกเปลี่ยนแปลงไป การเรียนรู้นอกห้องเรียนมันมีความสำคัญ เพราะสุดท้ายชีวิตเด็กคนหนึ่งก็มีเรื่องอื่นๆ อีกมากมาย

เราเข้าใจว่าแคมป์นี้เป็น CSR แต่ทำไมแทบไม่มีการ tie-in ผลิตภัณฑ์ของซีพี-เมจิ เลย

อันที่จริงเราไม่ได้มองว่าเราทำ CSR เลย มันคือการสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายเพื่อให้เขามีชีวิตที่ดีขึ้นมากกว่า อย่างแคมป์ซีพี-เมจิ เทนไซ คือการสื่อสารกับกลุ่มเด็กนักเรียน และเรายังมีการสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ เช่นเกษตรกรที่ส่งนมให้เรา หรือกลุ่มลูกค้าที่ใช้นมของเราในธุรกิจ ซึ่งทั้งหมดล้วนมีเป้าหมายเดียวกัน คือการสร้างชีวิตที่ดีให้กับพวกเขา

 

ถ้าไม่ใช่ CSR ทำไมถึงยังถึงทำแคมป์นี้มาต่อเนื่องถึง 6 ปี

พวกเราไม่อยากเป็นแบรนด์ที่ขายของอย่างเดียว เราอยากเห็นลูกค้าของเรามีชีวิตที่ดีขึ้นอย่างใจจริง ซึ่งของแบบนี้เป็นสิ่งที่ไม่สามารถบอกตรงๆ ได้ พวกเราจึงต้องทำอย่างต่อเนื่องให้ลูกค้าเห็นถึงความตั้งใจจริงของพวกเรา

ความยาก-ง่ายของการทำแคมป์สำหรับเด็กยุคนี้คืออะไร

คงเป็นเรื่องของการจัดในขนาดที่ใหญ่ แคมป์ของเราจัดขึ้นสำหรับเด็ก 1,000 คน จึงมีเรื่องให้คิดตั้งแต่สถานที่ การอำนวยความสะดวกต่างๆ การจัดตารางเนื้อหาวิชา การคัดเลือกติวเตอร์ที่ไม่ใช่แค่มีชื่อเสียง แต่ว่าต้องสอนดี สอนเข้าใจง่าย และสอนสนุกด้วย ทั้งหมดเพื่อสร้างบรรยากาศให้มันสนุกขึ้น ไม่ใช่แค่ว่าปล่อยให้เด็กเรียนอย่างเดียวให้จบไป เพราะถึงแม้แคมป์นี้จะมีหน้าที่เปิดโลกให้เด็กในอนาคต แต่ระหว่างแคมป์มันก็ต้องน่าสนใจ เอื้อให้เด็กพร้อมจะเรียนรู้ด้วยเช่นกัน

 

คุณคาดหวังว่าเด็กจากแคมป์ซีพี-เมจิ เทนไซจะเติบโตขึ้นเป็นคนแบบไหนในอนาคต

แคมป์นี้มีเวลาแค่ 2 วัน ซึ่งไม่ได้เยอะจนขนาดที่จะรู้ว่าเด็กจะเติบโตเป็นแบบไหน แต่เราอยากช่วยจุดประกายอะไรบางอย่างในตัวเขามากกว่า ถ้าเขาได้รับประสบการณ์ดีๆ จากการเรียน บางทีมันอาจพลิกชีวิตเขาเลยก็ได้

เด็กจะเลือกทางไหนคงเป็นเรื่องของตัวเขา หน้าที่เราคือต้องพยายามเพิ่มทางเลือกให้เขาตัดสินใจได้อย่างมั่นใจ เพื่อให้เขาเติบโตขึ้นอย่างมีคุณภาพ

AUTHOR

PHOTOGRAPHER

ณัฐปคัลภ์ ทัศนวิริยกุล

นักเรียนฟิล์มที่มาฝึกงานช่างภาพ รักการถ่ายรูป ชอบกินของอร่อย และชอบใช้เวลากับครอบครัว เพื่อนสนิท คนรัก