ในยุคที่คนเราเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้เร็วขึ้นและในจำนวนมากขึ้น หากเยาวชนไทยจะรอให้ถึงช่วงมัธยมปลายก่อนเตรียมสู่สนามสอบก็คงจะสายไปเสียแล้ว
เพราะอย่างนี้ บริษัท ซีพี-เมจิ จำกัด ซึ่งเชื่อในการสร้างชีวิตที่ดีให้กับอนาคตของชาติผ่านผลิตภัณฑ์นมและโยเกิร์ต จึงจัดกิจกรรม ซีพี-เมจิ เทนไซ (CP-Meiji Tensai) แคมป์ติวตะลุยโจทย์สำหรับเด็กประถมศึกษาปีที่ 6 ที่กำลังเตรียมสอบเข้าชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น ซึ่งปีนี้จัดต่อเนื่องเป็นปีที่ 6 แถมยังครองตำแหน่งแคมป์เตรียมสอบระดับนี้แห่งเดียวในประเทศไทยที่จัดต่อเนื่องได้ยาวนานที่สุด
จุ๊บ–ชาลินี พูนลาภมงคล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายกิจกรรมองค์กรสัมพันธ์ บอกกับเราว่าแคมป์ซีพี-เมจิ เทนไซ มีความพิเศษตรงที่ไม่ได้ติวแค่วิชาการ แต่ยังแบ่งปันประสบการณ์ชีวิต เพื่อเป็นตัวอย่างให้น้องๆ นักเรียนที่กำลังค้นหาตัวเอง และปีนี้ยังเป็นปีแรกที่มีการจัดแคมป์สำหรับพ่อแม่ผู้ปกครองควบคู่กันไป
อะไรกันที่ทำให้พวกเขาเชื่อในการศึกษาทั้งในและนอกห้องเรียน เชื่อในการเป็นตัวเองของเด็กนักเรียน และเชื่อในการมีส่วนร่วม (แบบไม่บังคับ) ของพ่อแม่ ชาลินีจะเล่าให้ฟัง
ทำไมซีพี-เมจิถึงเห็นถึงความสำคัญของการศึกษาสำหรับเด็กและเยาวชนจนเกิดมาเป็นแคมป์ซีพี-เมจิ เทนไซ
คำตอบอยู่ในชื่อโครงการอย่าง ‘เทนไซ’ ที่แปลว่า ‘อัจฉริยะ’ อยู่แล้ว เพราะความตั้งใจแรกของซีพี-เมจิที่มีผลิตภัณฑ์เป็นนมและโยเกิร์ต คือการให้ประโยชน์แก่เด็กและเยาวชนผ่านคุณค่าทางโภชนาการ แม้ทุกคนจะสามารถดื่มผลิตภัณฑ์ของเราได้ แต่ต้องยอมรับว่ากลุ่มเด็กและเยาวชนเป็นกลุ่มผู้บริโภคที่สำคัญ
พวกเราจึงมาคิดต่อว่า นอกจากการทำผลิตภัณฑ์ที่ให้คุณค่าทางโภชนาการที่เหมาะสมแล้ว เราสามารถทำอะไรได้อีกที่จะช่วยส่งเสริมสิ่งสำคัญในชีวิตเขาได้ และยังสอดคล้องกับนโยบายหลักของเราคือ ‘ชีวิตดี มีได้ทุกวัน
องค์กรเรามองว่าสิ่งสำคัญสำหรับเด็กและเยาวชนคือการศึกษา เพราะในช่วงวัยสิบกว่าขวบ อาชีพที่แท้จริงของเขาก็คือนักเรียน จึงเป็นที่มาของโครงการซีพี-เมจิ เทนไซ ที่ยังคงมุ่งไปที่กลุ่มของเด็กและเยาวชนเพื่อสร้างความอัจฉริยะทางการศึกษาให้แก่พวกเขา
ทำไมถึงออกแบบแคมป์ซีพี-เมจิ เทนไซให้กับเด็กช่วงประถมศึกษาปีที่ 6 ที่กำลังขึ้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยเฉพาะ
แคมป์ติวส่วนใหญ่ออกแบบมาสำหรับเด็กมัธยมปลายที่กำลังจะเข้ามหาวิทยาลัย แต่เรามองว่ารอยต่อระหว่างประถมศึกษาและมัธยมศึกษาก็เป็นช่วงเวลาที่สำคัญเหมือนกัน อีกทั้งยังเป็นช่องว่างที่เหมาะสม ตรงกับกลุ่มเป้าหมายในแง่ผลิตภัณฑ์ และยังตรงกับความตั้งใจในการพัฒนาเยาวชนอีกด้วย
เราเชื่อว่า ถ้ารอถึงตอนมัธยมปลาย มันอาจจะช้าไปแล้ว เราอยู่ในยุคที่ทุกอย่างรวดเร็วขึ้น โลกหมุนไวกว่าเดิม เด็กในปัจจุบันสามารถรับข่าวสารได้เร็วและมากกว่าสมัยก่อน ดังนั้นการช่วยให้เขารู้จักตัวตนและปูพื้นฐานในสิ่งที่ถนัดตั้งแต่วัยประถมจึงเป็นสิ่งสำคัญ
เป้าหมายของแคมป์ซีพี-เมจิ เทนไซ คืออะไร
เรามองว่าการเรียนในห้องเรียนคืออาหารหลัก ซึ่งก็ให้ความรู้กับเขาเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ ครบถ้วนอยู่แล้ว ส่วนแคมป์เราคือวิตามิน ที่จะช่วยเพิ่มเคล็ดลับและเทคนิคให้กับเด็ก มากกว่าจะสอนสิ่งที่พวกเขาก็เรียนจากโรงเรียนอยู่แล้ว แม้เขาจะมาติวเพียงแค่ 2 วัน เขาก็ต้องได้อะไรใหม่ๆ กลับไปให้มากที่สุดในช่วงเวลาอันสั้น
แคมป์ของเราจึงเป็นเหมือนอาหารเสริมที่ช่วยเปิดโลกให้เขาว่า ชีวิตจริงมันมีเส้นทางให้เลือกเดินต่อไปอยู่มากมาย เด็กบางคนอาจไม่ได้เรียนหนังสือเก่งมาก แต่เขาอาจมีความถนัดและสนใจในด้านอื่น แต่เราก็อยากบอกเขาว่า คุณสามารถเดินตามเส้นทางที่คุณสนใจโดยที่ยังตั้งใจเรียนควบคู่กันไปได้
ปีนี้เราจึงพาแขกรับเชิญมา 2 ท่าน คือ มิวนิค BNK 48 และโค้ชป้อม จากทีม eSports บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ทั้งคู่มีความพิเศษเหมือนกันคือ รู้ว่าตัวเองชอบอะไร และพยายามทำความฝันให้เป็นจริงโดยไม่ทิ้งการเรียน
ในงานมีน้องๆ หนึ่งพันคน เราก็ไม่รู้ที่มา ไม่รู้ว่าแต่ละคนชอบอะไร แต่อย่างน้อยถ้าเขาได้มาฟังว่ารุ่นพี่ทำตามฝันควบคู่ไปกับการเรียนยังไง เขาก็จะได้เปิดโลก ถ้าเราทำได้สัก 1 คนแคมป์นี้ก็คุ้มค่าแล้วล่ะ หรือในมุมพ่อแม่ที่กังวลว่าลูกจะสนใจอย่างอื่นมากกว่า ก็จะเห็นว่ามันทำควบคู่กันไปได้จริง แล้วพ่อแม่ก็จะเข้าใจลูกมากขึ้น
นั่นเป็นเหตุผลที่แคมป์จัดเวิร์กช็อปสำหรับผู้ปกครองด้วยใช่ไหม
ในปีแรกๆ เราโฟกัสไปที่เนื้อหาสำหรับเด็กก่อน แต่พอทำไปได้หลายปีจึงเริ่มคิดต่อว่า จะสามารถขยายขอบข่ายให้ครอบคลุมบุคคลที่เกี่ยวข้องกับเด็กได้ยังไงบ้าง แล้วพอมองไปรอบๆ แคมป์จะเห็นได้ว่า พ่อแม่ที่ขับรถมาส่งลูกหรือมานั่งเฝ้าลูกติวในแคมป์ เขาก็นั่งอยู่เฉยๆ ไม่ได้ทำอะไร เราเลยคิดกันว่า ทำไมเราไม่ทำเวิร์กช็อปสำหรับเขาด้วยเสียเลยล่ะ ในระหว่างที่ลูกเรียนพ่อแม่ก็เรียนด้วยได้นี่ เราเลยขยายขนาดของแคมป์จากเด็กไปสู่ผู้ปกครอง เพราะพวกเขาคือคนที่ใกล้ตัวเด็กมากที่สุด ซึ่งควรจะเข้าใจเด็กมากที่สุด
เนื้อหาแบบไหนที่จะช่วยให้พ่อแม่เข้าใจลูกยุคนี้ได้มากขึ้น
เวิร์กช็อปมี 4 หัวข้อคือ
1. เข้าใจความแตกต่าง สร้างครอบครัวมีสุข พ่อแม่ต้องเข้าใจว่า ทุกคนมีความแตกต่าง ลูกแต่ละคนก็มีนิสัยที่ต่างกัน บางคนเหมือนพ่อ บางคนเหมือนแม่ บางคนไม่เหมือนใครเลย ถ้าพ่อแม่เข้าใจความแตกต่างก็จะช่วยลดความขัดแย้งและอยู่ด้วยกันได้อย่างมีความสุข
2. สมองวัยรุ่นวุ่นรัก ช่วงวัยของน้องๆ ที่มาซีพี-เมจิ เทนไซ คือช่วงที่กำลังเข้าสู่วัยรุ่น มีความเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย ซึ่งส่งผลต่อหลายๆ เรื่อง และเป็นช่วงที่อาจมีเรื่องเพศตรงข้ามเข้ามา เราจึงต้องทำให้พ่อแม่เข้าใจว่า ลูกคุณกำลังเปลี่ยนช่วงนะ เพราะบางคนอาจลืมช่วงวัยรุ่นไปแล้ว หรือบางทีตัวเองก็เคยเป็นเคยเจอ แต่พอมาเป็นพ่อแม่เองกลับรับมือไม่ถูก หรือการที่เราไม่ชอบพ่อแม่แบบไหน แต่เราอาจเป็นพ่อแม่แบบนั้นซะเอง
3. โค้ชลูก พ่อแม่บางคนอยากสอนลูก แต่อาจจะสอนไม่เป็น การสอนเลยกลายเป็นการสั่ง ซึ่งเป็นการสื่อสารที่แตกต่างกับการสอนโดยสิ้นเชิง เราเลยอยากสอนพวกเขาว่าควรสื่อสารกับลูกยังไง เข้าหาลูกยังไง ให้ลูกสบายใจ
4. อาชีพแห่งอนาคต ทุกวันนี้มีอาชีพที่ไม่เคยมีในสมัยก่อนเยอะมาก เช่น ยูทูบเบอร์ บล็อกเกอร์ หรือบางอาชีพก็อาจจะหายไปแล้ว และอย่างที่บอกว่านี่เป็นยุคดิจิทัล ยุคที่ทุกอย่างเข้ามาเร็วขึ้น พ่อแม่เองก็ต้องปรับตัว ถ้าพ่อแม่เริ่มวางแผนเร็วก็จะสามารถช่วยลูกไปถึงเป้าหมายได้
คุณคิดว่าเด็กยุคนี้แตกต่างจากเด็กยุคก่อนยังไงบ้าง
ในแง่หลักสูตรที่เด็กได้เรียนก็คงไม่เปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนมากนัก แต่ที่เปลี่ยนแปลงจริงๆ คือเรามีระบบการเรียนการสอนหลากหลายมากขึ้น เช่น นานาชาติ สองภาษา โรงเรียนทางเลือก เป็นต้น แต่ในเรื่องของการเรียนรู้อย่างอื่น เรามองว่าการเข้ามาของโซเชียลมีเดียทำให้เด็กเข้าถึงข้อมูลได้มากขึ้น มีทางเลือกมากขึ้นและเร็วขึ้น เมื่อก่อนเด็ก ป.1 อาจจะไม่รู้อะไรเลย แต่เด็ก ป.1 ทุกวันนี้ เขาอาจรู้เรื่องได้เท่าเด็ก ป.6 สมัยก่อนได้เลย
คุณคิดว่ามันถูกต้องไหมที่เด็กต้องเริ่มเรียนรู้เร็วขนาดนี้
เป็นเรื่องที่บอกว่าถูกหรือผิดได้ยาก เพราะสำหรับเด็กบางคนมันก็ดี แต่สำหรับเด็กอีกคนมันอาจไม่ดีก็ได้ แต่เรามองว่าการเริ่มเร็วคือการเพิ่มโอกาส เด็กบางคนอาจมีความสามารถ รับเนื้อหาในวิชาเรียนได้เร็ว และเขาสนุกที่จะเรียนรู้เพิ่มเติม ในบางทีที่เขาได้ความรู้จากการศึกษาภาคปกติได้ 70% และถ้าสามารถเติมเต็มอีก 30% ผ่านการเรียนเสริมได้ เราคิดว่ามันเป็นประโยชน์นะ
การเรียนพิเศษก็เหมือนกัน โดยหลักการแล้วเราคิดว่าเด็กควรได้รับความรู้ผ่านโรงเรียนอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุดก่อน หากจะเรียนพิเศษข้างนอก ควรจะเป็นการเสริมความรู้ด้านอื่นๆ มากกว่าการเรียนพิเศษในเรื่องที่ก็เรียนในหลักสูตรอยู่แล้ว
แคมป์นี้ก็เป็นการเสริมเหมือนกันใช่ไหม
ใช่ค่ะ เราเสริมให้สมบูรณ์และทันยุคสมัยมากขึ้น แนวคิดหลักยังคงเป็นการเสริมเนื้อหาวิชาการ แต่เราไม่จบแค่นั้น ในยุคสมัยนี้ที่โลกเปลี่ยนแปลงไป การเรียนรู้นอกห้องเรียนมันมีความสำคัญ เพราะสุดท้ายชีวิตเด็กคนหนึ่งก็มีเรื่องอื่นๆ อีกมากมาย
เราเข้าใจว่าแคมป์นี้เป็น CSR แต่ทำไมแทบไม่มีการ tie-in ผลิตภัณฑ์ของซีพี-เมจิ เลย
อันที่จริงเราไม่ได้มองว่าเราทำ CSR เลย มันคือการสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายเพื่อให้เขามีชีวิตที่ดีขึ้นมากกว่า อย่างแคมป์ซีพี-เมจิ เทนไซ คือการสื่อสารกับกลุ่มเด็กนักเรียน และเรายังมีการสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ เช่นเกษตรกรที่ส่งนมให้เรา หรือกลุ่มลูกค้าที่ใช้นมของเราในธุรกิจ ซึ่งทั้งหมดล้วนมีเป้าหมายเดียวกัน คือการสร้างชีวิตที่ดีให้กับพวกเขา
ถ้าไม่ใช่ CSR ทำไมถึงยังถึงทำแคมป์นี้มาต่อเนื่องถึง 6 ปี
พวกเราไม่อยากเป็นแบรนด์ที่ขายของอย่างเดียว เราอยากเห็นลูกค้าของเรามีชีวิตที่ดีขึ้นอย่างใจจริง ซึ่งของแบบนี้เป็นสิ่งที่ไม่สามารถบอกตรงๆ ได้ พวกเราจึงต้องทำอย่างต่อเนื่องให้ลูกค้าเห็นถึงความตั้งใจจริงของพวกเรา
ความยาก-ง่ายของการทำแคมป์สำหรับเด็กยุคนี้คืออะไร
คงเป็นเรื่องของการจัดในขนาดที่ใหญ่ แคมป์ของเราจัดขึ้นสำหรับเด็ก 1,000 คน จึงมีเรื่องให้คิดตั้งแต่สถานที่ การอำนวยความสะดวกต่างๆ การจัดตารางเนื้อหาวิชา การคัดเลือกติวเตอร์ที่ไม่ใช่แค่มีชื่อเสียง แต่ว่าต้องสอนดี สอนเข้าใจง่าย และสอนสนุกด้วย ทั้งหมดเพื่อสร้างบรรยากาศให้มันสนุกขึ้น ไม่ใช่แค่ว่าปล่อยให้เด็กเรียนอย่างเดียวให้จบไป เพราะถึงแม้แคมป์นี้จะมีหน้าที่เปิดโลกให้เด็กในอนาคต แต่ระหว่างแคมป์มันก็ต้องน่าสนใจ เอื้อให้เด็กพร้อมจะเรียนรู้ด้วยเช่นกัน
คุณคาดหวังว่าเด็กจากแคมป์ซีพี-เมจิ เทนไซจะเติบโตขึ้นเป็นคนแบบไหนในอนาคต
แคมป์นี้มีเวลาแค่ 2 วัน ซึ่งไม่ได้เยอะจนขนาดที่จะรู้ว่าเด็กจะเติบโตเป็นแบบไหน แต่เราอยากช่วยจุดประกายอะไรบางอย่างในตัวเขามากกว่า ถ้าเขาได้รับประสบการณ์ดีๆ จากการเรียน บางทีมันอาจพลิกชีวิตเขาเลยก็ได้
เด็กจะเลือกทางไหนคงเป็นเรื่องของตัวเขา หน้าที่เราคือต้องพยายามเพิ่มทางเลือกให้เขาตัดสินใจได้อย่างมั่นใจ เพื่อให้เขาเติบโตขึ้นอย่างมีคุณภาพ