ถึงนาทีนี้ผู้ติดเชื้อไวรัส COVID-19 มีตัวเลขใกล้แตะถึง 400,000 คน และมีผู้เสียชีวิตกว่าหมื่นคนทั่วโลก
จากจุดเริ่มต้นที่ประเทศจีน คงปฏิเสธไม่ได้ว่าปัจจุบันวิกฤตนี้แพร่กระจายไปทั่วโลก ผลกระทบที่เกิดขึ้นในหลายประเทศทำให้ทุกภาคส่วนหยุดชะงัก จากหนึ่ง เป็นสอง เป็นสาม จนปัจจุบันความเสียหายของไวรัสเจ้าปัญหานี้เกิดขึ้นในกว่า 180 ประเทศทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย
ท่ามกลางปัญหาที่เกิดขึ้นนี้เอง แต่ละประเทศล้วนมีมาตรการวิกฤตนี้แตกต่างกันไป แม้บางประเทศมีมาตรการเหมือนกันและยังควบคุมไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ความพยายาม การตัดสินใจ และวิธีการของฝ่ายบริหาร ก็ทำให้ผลลัพธ์ตรงหน้าเปลี่ยนไป บ้างดีขึ้น บ้างทรงตัว บ้างชะลออาการ และบ้างก็แย่ลง
ที่ผ่านมาและปัจจุบัน แต่ละประเทศมีมาตรการหรือไอเดียอะไรที่น่าสนใจในการยับยั้ง ป้องกัน และลดทอนปัญหาที่เกิดขึ้นบ้าง เรารวบรวมมาให้แล้ว โดยเริ่มจาก 3 ประเทศที่มียอดผู้ติดเชื้อมากที่สุดในโลก และประเทศที่มีสัญญาณที่ดีในการควบคุมโรคได้อย่างชัดเจน เพื่อให้เห็นปัจจัย บริบททางการเมือง และวิธีคิดแก้ปัญหาของแต่ละประเทศในช่วงเวลานี้
จีน
ผู้ติดเชื้อ 80,967 คน
ผู้ป่วยที่รักษาหายแล้ว 71,150 คน
ผู้เสียชีวิต 3,248 คน
หลังการเกิดขึ้นของเชื้อและการแพร่กระจายอย่างยาวนาน เมื่อไม่กี่วันก่อนประเทศจีนเพิ่งประกาศว่านี่เป็นครั้งแรกที่พบว่าไม่มีการติดเชื้อเพิ่มขึ้นในประเทศแล้ว แต่ยังมีผู้ติดเชื้อจากต่างประเทศที่เข้ามาจีนอยู่
มาตรการทางการแพทย์อะไรที่ทำให้จีนแก้ปัญหากว่า 2 เดือนหลังการแพร่ระบาดที่เริ่มจากเมืองอู่ฮั่นได้ เว็บไซต์ Business Insider รวบรวบ 12 มาตรการสุดเข้มข้นและองค์ประกอบที่เป็นประโยชน์ที่จีนใช้เพื่อให้เกิดผลลัพธ์เชิงบวก โดยรายละเอียดแต่ละข้อมีดังต่อไปนี้
- ในช่วงที่การระบาดเพิ่มขึ้นอย่างใหญ่หลวง รัฐออกคำสั่งให้ขนส่งมวลชนหลักของประเทศอย่างรถไฟงดจอดรับผู้โดยสารที่เมืองอู่ฮั่นทันที เพราะมองว่าระบบขนส่งสาธารณะทำให้เกิดการสัมผัสกันอย่างใกล้ชิด นำมาซึ่งความเสี่ยงต่อโรคได้
- จีนรับมือกับการระบาดช่วงแรกได้ดีเพราะวิกฤตโรคซาร์สที่เกิดขึ้นเมื่อ 17 ปีก่อน ทำให้พวกเขามีอุปกรณ์และคลินิกตรวจอาการเกี่ยวกับทางเดินหายใจมากกว่าหลายประเทศ การตรวจเชื้อไวรัส COVID-19 จึงเกิดขึ้นและมีการยืนยันผลอย่างรวดเร็ว
- แม้สุดท้ายหลังจากนั้นไม่นานการระบาดจะเริ่มควบคุมไม่ได้ แต่รัฐบาลจีนและเกาหลีใต้ก็รวมกันพัฒนาชุดตรวจไวรัส COVID-19 ให้ประชาชนโดยไม่มีค่าใช้จ่าย ชุดตรวจนี้ช่วยประหยัดเวลาของคนที่เริ่มมีอาการป่วยจนมาโรงพยาบาลจากโดยเฉลี่ย 15 วัน เหลือแค่ 2 วัน
- เมื่อการระบาดเกิดขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง รัฐบาลจีนได้สร้างโรงพยาบาลขนาด 1,300 เตียง เสร็จภายใน 15 วัน เพื่อรองรับผู้ป่วย ที่สำคัญคือสิ่งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นครั้งแรก เพราะเมื่อเกิดวิกฤตโรคซาร์สในอดีตพวกเขาก็เคยทำแบบนี้มาแล้ว โดยอาศัยคนงานในการก่อสร้างกว่า 4,000 คนทำงานทั้งวันทั้งคืน
- นอกจากการสร้างโรงพยาบาลใหม่ หลายสิ่งที่คนไม่รู้คือมาตรการสำหรับโรงพยาบาลที่มีอยู่ก่อนแล้ว สาธารณสุขจีนให้ก่อสร้างส่วนกักกันสำหรับผู้ป่วยอย่างรวดเร็ว มีการแบ่งส่วนชัดเจนเพื่อรักษาผู้ป่วยให้ได้มากที่สุด
- นอกจากสถานที่แล้ว อีกอย่างหนึ่งที่วิกฤตโรคซาร์สได้ฝากไว้ให้จีนคือระบบติดตามผู้ป่วย พวกเขาสามารถสืบค้นว่าคนที่ตรวจพบเชื้อไปสัมผัสกับใครมาก่อนหน้าได้อย่างรวดเร็ว ต่างกับอีกหลายประเทศที่จากคำกล่าวอ้างของ WHO บอกว่าไม่ตั้งใจและไม่ใส่ใจขั้นตอนนี้ ทั้งๆ ที่เป็นขั้นตอนขั้นต้นที่สำคัญมาก
- เนื่องจากการมีแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียของตัวเอง อย่าง Weibo, WeChat และ Tencent หรือระบบการจ่ายเงินของตัวเองอย่าง Alipay รัฐบาลจีนจึงสามารถควบคุมการสื่อสารและการแพร่กระจายของข่าวสารได้ง่าย พวกเขาใช้ประโยชน์จากจุดนี้ทั้งในแง่การติดตามผู้ป่วยและการควบคุมสถานการณ์ไม่ให้ลุกลามจนเกินไป
- สำหรับโรคอื่นๆ ที่ต้องรักษา จีนเลือกที่จะไม่ทิ้งตรงนี้เช่นกัน สาธารณสุขพยายามแก้ปัญหาเท่าที่ทำได้ คือการให้แพทย์ในแผนกโรคอื่นๆ ทำงานออนไลน์ ทั้งในแง่ของการปรึกษาและการรายงานอาการของโรค พวกเขาพยายามลดทรัพยากรทางการแพทย์ด้านอื่นให้มากที่สุดเพื่อมาทุ่มกับการแก้ปัญหาใหญ่ที่อยู่ตรงหน้า
- นอกเหนือจากการจัดการทางสาธารณสุขแล้ว สิ่งที่ประชาชนชาวจีนต้องเจอคือการกักตัวอยู่ในบ้านเป็นระยะเวลานาน ในเวลาเหล่านั้นพวกเขาตัดสินใจแก้ปัญหาความต้องการพื้นฐานอย่างอาหารด้วยการสั่งออนไลน์แทน รัฐมีหน้าที่เพียงแค่ทำให้ขั้นตอนเหล่านี้ปลอดภัย จนสุดท้ายมีรายงานว่าในช่วงเวลากักตัวนั้นประชาชนชาวจีนสั่งอาหารกว่า 15 ล้านคนทั่วประเทศในเวลาเดียวกัน
- ในวิกฤตที่เกิดขึ้น อีกสิ่งนอกจากรัฐที่ทำให้จีนค่อยๆ แก้ปัญหาที่เกิดขึ้นตรงหน้าคืออาสาสมัครที่เป็นประชาชนธรรมดาทั่วไป แม้เราจะเห็นข่าวประชาชนบางคนที่อาจสร้างปัญหาในการทำงานอยู่บ้าง แต่ในอีกด้านหนึ่งจีนก็มีอาสาสมัครทำงานเพื่อช่วยเหลือผู้คนมากมายเช่นกัน
- เรื่องการกักตัว จีนถือเป็นหนึ่งในประเทศที่ทำหน้าที่นี้ได้อย่างเข้มข้น ประชาชนทุกคนปฏิบัติตามมาตรการนี้เป็นอย่างดีจนเกิดเป็น social distancing ที่มีประสิทธิภาพ แต่ถ้าว่ากันตามจริงส่วนนี้อาจเกิดขึ้นได้เพราะการคุมเข้มอย่างจริงจังและการควบคุมสื่อของรัฐบาลด้วย
- สำหรับทุกข้อที่ผ่านมา อีกหนึ่งปัจจัยหลักที่ทำให้สื่อหลายประเทศลงความเห็นว่ามาตรการทั้งหมดนี้อาจมีเพียงจีนเท่านั้นที่ทำได้คือความเด็ดขาดของรัฐ เจ้าหน้าที่รัฐและระบบยุติธรรมของจีนพร้อมลงโทษคนที่ไม่ปฏิบัติตามมาตรการด้วยบทลงโทษที่เด็ดขาด โดยไม่มีการปรานีใดๆ ทั้งสิ้น
แม้ในแง่หนึ่ง นี่อาจเป็นเพียงข้อเท็จจริงผสมความเห็นจากเว็บไซต์ Business Insider แต่สื่อต่างประเทศหลายเจ้า เช่น เว็บไซต์ Science Magazine ก็พูดถึงปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นกับจีนในทิศทางเดียวกัน ปัจจัยสำคัญที่ทำให้จีนเคลื่อนได้เร็วและแรงคือความเด็ดขาดทางการเมืองที่ไม่ใช่ทุกประเทศจะทำตามได้ แต่พวกเขาก็แนะนำเช่นกันว่าภายใต้มาตรการเหล่านี้ยังมีบางอย่างที่หลายประเทศอาจนำไปปรับใช้ได้เช่นกัน
อิตาลี
ผู้ติดเชื้อ 63,927 คน
ผู้ป่วยที่รักษาหายแล้ว 7,432 คน
ผู้เสียชีวิต 6,077 คน
นับว่าอิตาลีเป็นประเทศที่มียอดผู้ติดเชื้อพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วในระยะเวลาไม่กี่อาทิตย์ จนหลายคนยกให้สถานการณ์เทียบเท่าจีนแต่เป็นสาขายุโรป เพราะตอนนี้มียอดผู้เสียชีวิต 800 กว่าคนต่อวัน แซงจีนไปเป็นที่เรียบร้อย
เกิดอะไรขึ้นในอิตาลีตั้งแต่แรกและรัฐบาลมีมาตรการอะไรในการจัดการกับวิกฤตโรคระบาดครั้งนี้ เราลองไปสำรวจกัน
- ก่อนวันตรวจพบเชื้อจากประชากรในประเทศ อิตาลีเป็นประเทศแรกในยุโรปที่ประกาศยกเลิกไฟลต์บินขาเข้าและขาออกของจีน แต่ถึงอย่างนั้นผู้เชี่ยวชาญก็มองว่าไวรัสน่าจะระบาดมาก่อนหน้านี้แล้ว
- วันที่ 20 กุมภาพันธ์คือวันที่ชายวัย 38 ปี ผู้พักอาศัยในแคว้นลอมบาร์ดี ทางตอนเหนือของอิตาลี ตรวจพบเชื้อคนแรกของประเทศ ผ่านไปไม่ถึงอาทิตย์ตัวเลขผู้ติดเชื้อเริ่มสูงขึ้น และมีรายงานว่ามีผู้เสียชีวิตแล้วทั้งหมด 12 คน
- ในช่วงแรกของการแพร่ระบาดรัฐบาลอิตาลีสั่งปิด 12 เมืองที่พบผู้ติดเชื้อมากที่สุด ทุกภาคส่วนได้รับผลกระทบ ไม่ว่าจะเป็นงาน Venice Carnival ที่ถูกยกเลิก ผู้คนจำนวนกว่า 50,000 คนถูกสั่งกักตัว งานแฟชั่นโชว์ของ Giorgio Armani ใน Milan Fashion Week ไม่มีคนเข้าร่วมงาน
- แม้ปิดเมืองไปบางส่วนแล้ว แต่ตัวเลขผู้ติดเชื้อทะยานถึง 9,000 คน และผู้เสียชีวิต 460 ราย รัฐบาลอิตาลีจึงประกาศให้กักตัวทั่วประเทศ ห้ามออกจากบ้านหลัง 6 โมงเย็น กิจกรรมต่างๆ ทั้งในโรงเรียน สถานที่สาธารณะ โรงละคร โรงภาพยนตร์ ยิม ถูกสั่งปิดทั้งหมด ใครฝ่าฝืนกฎหมายกักตัวจะถูกลงโทษจำคุก 3 เดือนขึ้นไป หรือปรับ 7,000 กว่าบาท
- เขตที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักคือลอมบาร์ดี จำนวนผู้ติดเชื้อสูงขึ้นจนถึงขั้นที่แพทย์ต้องเลือกว่าผู้ป่วยคนไหนจะได้รักษาต่อ (ซึ่งส่วนใหญ่ต้องยอมยกเลิกการรักษาผู้สูงวัย) ทั้งยังไม่มีพื้นที่เพียงพอสำหรับรองรับผู้ป่วย แม้กระทรวงสาธารณสุขจะพยายามเพิ่มจำนวนอุปกรณ์การแพทย์และเตียงให้โรงพยาบาลแล้ว
- Attilio Fontana ผู้ว่าการแคว้นลอมบาร์ดี ขอร้องทางมหาวิทยาลัยให้นักศึกษาที่เรียนจบแพทย์และพยาบาลสำเร็จการศึกษาก่อนกำหนด เพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์
- จากเหตุการณ์นี้เองทำให้บริการสาธารณสุขอิตาลีได้รับการท้าทายและตั้งคำถามจากหลายภาคส่วน เพราะมีรายงานว่าแม้ประชาชนจะได้รับบริการดูแลสุขภาพฟรี แต่อิตาลีลงทุนด้านสุขภาพของประชาชนประมาณ 6.8 เปอร์เซ็นต์ของ GDP ประเทศ ซึ่งอยู่ในอัตราที่น้อยกว่าชาติอื่นๆ ในภูมิภาคเดียวกัน
- รัฐบาลอิตาลีระงับการเก็บภาษีและจัดทุนสนับสนุนประมาณ 8.5 พันล้านดอลลาร์ฯ สำหรับครอบครัวและธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดครั้งนี้ (แต่ในระยะยาวผู้เชี่ยวชาญก็เป็นห่วงเพราะก่อนหน้านี้อิตาลีมีหนี้สาธารณะ 134 เปอร์เซ็นต์ของ GDP)
แต่ด้วยจำนวนที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องและมีแนวโน้มว่าจะสูงต่อไปเรื่อยๆ หลายสื่อวิเคราะห์ว่านี่อาจเป็นเพราะอิตาลีเป็นสังคมผู้สูงอายุอันดับ 2 ของโลก ทำให้ 58 เปอร์เซ็นต์ของผู้เสียชีวิตมีอายุมากกว่า 80 ปีขึ้นไป
หลายสื่อมองว่าการให้ข้อมูลของรัฐบาลอิตาลีไม่ชัดเจนทำให้คนไม่รู้สึกว่าเป็นโรคร้ายแรงเท่าไหร่นัก แถมยังมี Nicola Zingaretti หัวหน้าพรรคการเมือง ออกมาสื่อสารผ่านโซเชียลมีเดียในช่วงที่ตัวเลขพุ่งทะยานมากๆ ว่า “จะไม่ปรับพฤติกรรม เศรษฐกิจสำคัญกว่าความกลัว ออกไปข้างนอก ไปจิบกาแฟ กินพิซซ่ากัน” ท้ายสุดเขาพบว่าตัวเองติดเชื้อไวรัส
อีกทั้งก่อนประกาศกักตัวทั่วประเทศอย่างเป็นทางการ ข้อมูลนี้กลับรั่วไหลไปถึงสื่ออิตาลีก่อน ทำให้ผู้ที่อยู่ทางตอนเหนือซึ่งเป็นเขตควบคุมการระบาดอพยพไปอยู่ทางตอนใต้ การแพร่กระจายของเชื้อก็ดูจะลุกลามต่อไปเรื่อยๆ ตอนนี้หลายฝ่ายเฝ้าติดตามว่าอิตาลีจะสามารถควบคุมการระบาดไปในทิศทางใดบ้าง
สหรัฐอเมริกา
ผู้ติดเชื้อ 41,569 คน
ผู้ป่วยที่รักษาหายแล้ว 187 คน
ผู้เสียชีวิต 504 คน
นับตั้งแต่การตรวจพบผู้ติดเชื้อรายแรกที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ในวันที่ 21 มกราคม ตอนนี้ยอดผู้ติดเชื้อพุ่งสูงขึ้นจนทำให้สหรัฐอเมริกากลายเป็นประเทศที่ติดเชื้ออันดับ 3 ของโลก ตอนนี้ผู้ติดเชื้อกระจายไปยังนิวยอร์ก แคลิฟอร์เนีย และรัฐอื่นๆ ทั่วประเทศ เจ้าหน้าที่ WHO ยังเตือนว่าสหรัฐอเมริกาจะกลายเป็นศูนย์กลางของการระบาดแทน
มาตรการอะไรบ้างที่สหรัฐอเมริกากำลังทำเพื่อยับยั้งการแพร่ระบาดนี้ เราลองรวบรวมมาจากหลากหลายสำนักข่าวตามรายละเอียดนี้
- ต้นเดือนมีนาคม รัฐบาลประกาศระงับการเดินทางจากยุโรปเป็นเวลา 1 เดือน ยกเว้นพลเมืองอเมริกันและผู้ที่เดินทางมาจากอังกฤษ
- Donald Trump ประกาศภาวะฉุกเฉินรับมือวิกฤตการระบาด พร้อมจัดสรรงบประมาณ 50,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพื่อสนับสนุนงานด้านสาธารณสุข
- มีการสั่งปิดโรงเรียน ห้ามการชุมนุม โดยในวันที่ 16 มีนาคมทรัมป์ประกาศแนวทางกระตุ้นให้ประชาชนหลีกเลี่ยงการเดินทางและการพบปะสังสรรค์เกินกว่า 10 คน
- ส.ส.พรรคเดโมแครตเรียกร้องในสภาให้ประชาชนตรวจเชื้อไวรัสได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย
- หลายแล็บในสหรัฐอเมริกาพยายามคิดค้นและผลิตวัคซีนต้านไวรัส
- ล่าสุดทรัมป์ออกมาทวีตให้กำลังใจประชาชนชาวอเมริกันว่า “ผู้คนอยากกลับไปทำงานตามเดิม พวกเขากำลังฝึกที่จะทำ social distancing และอื่นๆ ส่วนผู้สูงวัยจะได้รับการดูแลอย่างดีด้วยความรัก การรักษาไม่ได้เลวร้ายไปกว่านี้ สภาคองเกรสต้องทำอะไรสักอย่าง แล้วเราจะกลับมาแข็งแกร่งอีกครั้ง!”
เกาหลีใต้
ผู้ติดเชื้อ 8,961 คน
ผู้ป่วยที่รักษาหายแล้ว 3,166 คน
ผู้เสียชีวิต 111 คน
ในขณะที่เรากำลังรวบรวมข้อมูลรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเกาหลีใต้ได้ออกมาบอกว่า ประเทศได้พ้นช่วงการแพร่ระบาดของเชื้อ COVID-19 แล้ว จำนวนผู้ติดเชื้อลดลงอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่ภาวะวิกฤตช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาซึ่งทำให้เกาหลีใต้ทะยานขึ้นไปเป็นประเทศที่มีผู้ติดเชื้อมากที่สุดอันดับ 2 รองจากจีน
จุดเริ่มต้นของการแพร่ระบาดครั้งใหญ่ในเกาหลีใต้เกิดจากการพบผู้ติดเชื้อเคสที่ 31 (ก่อนหน้านี้พบผู้ติดเชื้อบ้างแล้ว) เมื่อสอบถามประวัติการเดินทางพบว่า ผู้ป่วยรายนี้ได้เข้าร่วมพิธีทางศาสนาของกลุ่มชินชอนจีในเมืองแทกู ซึ่งมีผู้เข้าร่วมงานมากกว่า 500 คน ตั้งแต่นั้นมาเกาหลีใต้เริ่มมีจำนวนผู้ติดเชื้อก้าวกระโดดอย่างเห็นได้ชัด ภายใน 12 วันทางการประกาศว่าตรวจพบผู้ติดเชื้อมากกว่า 2,900 เคส
แล้วมาตรการอะไรที่ทำให้เกาหลีใต้เริ่มควบคุมการแพร่ระบาดได้ทั้งที่ไม่ได้ปิดทั้งประเทศ สั่งหยุดโรงเรียน มหาวิทยาลัย หรือร้านค้าต่างๆ (แต่ปิดเมืองแทกูที่เป็นต้นกำเนิดของการแพร่กระจาย)
- การนำคนในกลุ่มเสี่ยงมาตรวจเชื้อไวรัสให้เร็วที่สุด โดยก่อนหน้านี้เกาหลีใต้ได้พัฒนาชุดตรวจเชื้อแบบง่ายๆ ไว้ตั้งแต่จีนประกาศพบผู้ติดเชื้อช่วงเดือนมกราคมแล้ว นี่จึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเจ้าหน้าที่สามารถตรวจกลุ่มเสี่ยงได้ถึงวันละ 10,000 คน Business Insider รายงานว่า เฉพาะวันที่ 16 มีนาคมที่ผ่านมา กระทรวงสาธารณสุขเกาหลีใต้ตรวจกลุ่มเสี่ยงไปแล้ว 274,504 คน ทำให้รู้ว่าใครอยู่ในกลุ่มที่จะต้องกักตัว
- ที่สำคัญคือเมื่อพบผู้ติดเชื้อแล้วทางการจะจัดทำระบบติดตามรอยเท้าเดิมของผู้ป่วยว่าเคยทำกิจกรรมอะไรมาบ้าง, ติดตามจีพีเอสในโทรศัพท์ หากผู้ที่ต้องกักตัวออกข้างนอกก็จะมีระบบแจ้งเตือน, ดูบันทึกบัตรเครดิต และดูกล้องวงจรปิดจากสถานที่ที่ผู้ป่วยไปมาก่อนหน้านี้
- ข้อมูลทั้งหมดรัฐบาลจะส่งต่อไปยังประชาชนคนอื่นๆ ผ่านเอสเอ็มเอส โทรศัพท์ หรือเว็บไซต์ทางการ (โดยไม่ระบุชื่อผู้ป่วย) เพื่อให้ประชาชนติดตามข้อมูลว่าตัวเองเคยไปที่เดียวกันกับผู้ป่วยหรือไม่ ถ้าใครเคยก็เข้าไปตรวจได้ และให้ประชาชนไม่ต้องเสี่ยงไปในที่ที่ผู้ป่วยเคยไปมาด้วย
- ผู้ป่วยที่มีอาการหนักจะได้รับการรักษาในโรงพยาบาล ในขณะที่ผู้ป่วยที่มีไข้ปานกลางจะมีการจัดพื้นที่กักตัวซึ่งมีบริการทางการแพทย์ดูแลและสังเกตการณ์อย่างใกล้ชิด ใครที่มีไข้อ่อนกว่านั้นและดูแลตัวเองได้ ทางการจะให้กักตัวในบ้านและห่างจากญาติประมาณ 2 อาทิตย์พร้อมกันนั้นรัฐบาลจะจัดส่งกล่องยังชีพให้ด้วย และหากใครไม่กักตัวจะเสียค่าปรับประมาณ 78,000 บาท
- นอกจากนี้เกาหลีใต้ยังใช้หุ่นยนต์เป็นผู้ช่วยแพทย์ในการทำงาน โดยมีหุ่นยนต์ 3 แบบด้วยกันคือ หนึ่ง ช่วยตรวจสอบอุณหภูมิของผู้เข้ารับการรักษา สอง ใช้ฆ่าเชื้อห้องแรงดันลบ และสาม ขนส่งเสื้อผ้าและของใช้ใช้แล้วของแพทย์และผู้ป่วยไปยังสถานที่กำจัด เทคโนโลยีเหล่านี้พัฒนาโดย Korea Institute For Robot Industry Advancement และบริษัทเอกชนที่เข้ามาสนับสนุนด้านเทคโนโลยี
นี่เป็นวิธีการที่นักวิชาการหลายคนเห็นด้วยว่าจะควบคุมการระบาดได้ หลายประเทศทั่วโลกยกย่องมาตรการการดูแลของเกาหลีใต้ ตอนนี้พวกเขากำลังพัฒนาวัคซีนและชุดเครื่องตรวจที่สามารถตรวจได้ที่บ้าน และต้องยอมรับว่าเกาหลีใต้มีนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ก้าวไกล ทำให้ค้นหาผู้ป่วยได้อย่างรวดเร็ว จากยอดติดเชื้ออันดับ 2 กลายเป็นอันดับ 8 ของโลก
ไต้หวัน
ผู้ติดเชื้อ 195 คน
ผู้ป่วยที่รักษาหายแล้ว 28 คน
ผู้เสียชีวิต 2 คน
แม้จะมีอาณาเขตใกล้กับจีน รวมถึงในช่วงเดือนมกราคมซึ่งเริ่มมีข่าวคราวการกระจายของเชื้อ ยังคงมีเที่ยวบินอู่ฮั่น-ไต้หวันวันละ 12 เที่ยวอยู่ แถม WHO ก็ไม่ได้รับไต้หวันเป็นสมาชิกเพราะสถานะทางการเมือง แต่ไต้หวันก็พิสูจน์ให้เห็นว่าสามารถควบคุมอัตราการติดเชื้อได้อย่างน่าสนใจ
ส่วนประกอบสำคัญที่ทำให้ไต้หวันมีตัวเลขแทบจะคงที่ได้ในระยะเวลาที่หลายประเทศต้องเผชิญกับการแพร่ระบาดคือ การเตรียมตัวและการวางแผนเป็นอย่างดี ผสมผสานกับเทคโนโลยีและความโปร่งใสในการให้ข้อมูลของรัฐบาล
- แน่นอนว่าการจัดการครั้งนี้ได้บทเรียนจากการควบคุมโรคซาร์สในปี 2003 ทำให้ไต้หวันสร้าง The National Health Command Center (NHCC) เพื่อประสานงานกับรัฐบาลและจัดการวิกฤตการณ์โรคระบาดในอนาคต
- ดังนั้นช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมา ก่อนการเผยแพร่ข้อมูลว่าไวรัสสามารถติดต่อจากคนสู่คนได้ ทางการไต้หวันได้ส่งผู้เชี่ยวชาญไปจีนเพื่อตรวจสอบเรื่องนี้โดยเฉพาะ แต่เมื่อพบว่ามีข้อมูลหลายอย่างที่จีนไม่ต้องการให้รู้ เจ้าหน้าที่ไต้หวันจึงเริ่มเข้าสั่งการ NHCC โดยวางมาตรการควบคุมการระบาดหลายอย่าง เช่น การตรวจคนเข้าเมืองอย่างเข้มข้น การสั่งการให้คนที่เคยเดินทางไปฮ่องกง มาเก๊า จีน จะต้องกักตัว และต่อมาก็เป็นประเทศแรกที่ประกาศยกเลิกเที่ยวบินจากอู่ฮั่น
- มีมาตรการแบ่งสันปันส่วนหน้ากากอนามัยให้เพียงพอ เพื่อไม่ให้เกิดการขาดแคลน การกักตุนสินค้า และการซื้อ-ขายเกินราคา ปลายเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาไทเปผลิตหน้ากากได้ 6.5 ล้านชิ้น เจลล้างมือ 84,000 ลิตร และเครื่องวัดอุณหภูมิร่างกาย 25,000 ชิ้น
- การนำข้อมูลและเทคโนโลยีมาใช้เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยของไต้หวัน ทำให้รัฐบาลส่งต่อข้อมูลได้อย่างเชื่อมั่นและโปร่งใส พวกเขาใช้เทคโนโลยีเชื่อมต่อข้อมูลของหน่วยงานต่างๆ ทั้ง National Health Insurance Administration, National Immigration Agency และกรมศุลกากร เพื่อระบุพิกัดของผู้ติดเชื้อ ส่งต่อข้อมูลการเดินทางและประวัติทางการแพทย์ของผู้ติดเชื้อผ่านทางโทรศัพท์ให้ประชาชน นอกจากนี้ยังมีการใช้ฮอตไลน์เพื่อให้คำปรึกษาสำหรับผู้ที่กังวลว่าจะติดเชื้อไวรัส ในส่วนของนักท่องเที่ยวต่างชาติจะมีคิวอาร์โค้ดให้สแกนเพื่อรายงานประวัติการเดินทางตลอด 14 วันที่ผ่านมาและอาการป่วยด้วย
- บริการด้านสาธารณสุขของไต้หวันยังทำให้ประชาชนสบายใจที่จะเข้ารับการตรวจเชื้อโดยไม่มีค่าใช้จ่าย หากมีความเสี่ยงและต้องกักตัวเป็นเวลา 14 วัน รัฐจะจัดสวัสดิการอาหารและยาให้
- สื่อต่างประเทศและผู้เชี่ยวชาญหลายคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ไต้หวันพิสูจน์ให้เห็นว่าการเตรียมแผนอย่างรวดเร็วและการกระจายการป้องกันถึงประชาชนทุกคนช่วยลดการแพร่ระบาดของเชื้อได้
ฮ่องกง
ผู้ติดเชื้อ 356 คน
ผู้ป่วยที่รักษาหายแล้ว 100 คน
ผู้เสียชีวิต 4 คน
ฮ่องกงเป็นอีกหนึ่งพื้นที่ในเขตปกครองของจีน ในรอบปีที่ผ่านมาประชาชนต่างลุกฮือประท้วงเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยอย่างแพร่หลาย เมื่อเกิดโรคระบาดขึ้นจึงมีความกังวลจากหลายฝ่ายว่าฮ่องกงจะพบเชื้ออย่างกว้างขวางเพราะมีพื้นที่ไม่ห่างจากจีนเท่าไหร่ด้วย
แต่การคาดการณ์เหล่านี้ผิดถนัด เพราะตัวเลขผู้ติดเชื้อของฮ่องกงอยู่ในจำนวนที่น้อยเมื่อเทียบกับประเทศใกล้เคียงอย่างญี่ปุ่นหรือเกาหลีใต้
เราลองไปดูมาตรการควบคุมการแพร่เชื้อของฮ่องกงซึ่งมีวิธีการคล้ายๆ ไต้หวัน อย่างการทำแผนที่แสดงให้เห็นว่าผู้ติดเชื้อเดินทางไปไหนมาบ้าง, มาตรการ social distancing, การรณรงค์ให้ประชาชนล้างมืออย่างถูกต้อง, การใส่แมสก์ทุกครั้งที่ออกจากบ้าน
แต่สิ่งสำคัญคือทั้งรัฐและประชาชนชาวฮ่องกงตื่นตัวต่อการแพร่ระบาดของไวรัสตั้งแต่มีข่าวที่จีน เพราะพวกเขาเริ่มมองหาแมสก์มาสวมใส่ มีการสั่งปิดโรงเรียนและสวนสาธารณะ และก่อนที่หลายประเทศจะเริ่มมาตรการ social distancing และ work from home ฮ่องกงก็ได้นำมาตรการเหล่านี้มาใช้เกือบ 2 อาทิตย์ก่อนเข้าสู่เดือนมีนาคมแล้ว
หลังจากนั้นมา แม้จะมีเคสเพิ่มขึ้นแต่ทั้งหมดมาจากชาวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาในฮ่องกงและชาวฮ่องกงที่เดินทางมาจากต่างประเทศ
รัฐจึงออกมาตรการสำหรับผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศ โดยจะได้รับสายรัดข้อมือในการติดตามการกักตัว 14 วัน หากใครฝ่าฝืนจะดำเนินคดีอาญา ซึ่งตำรวจได้จับคนที่ตัดสายรัดข้อมือไปแล้ว 5 คน
ตอนนี้ Carrie Lam ผู้บริหารสูงสุดของฮ่องกง จึงออกมาตรการใหม่โดยประกาศว่าจะไม่ให้ชาวต่างชาติเข้ามาในฮ่องกงแล้ว ซึ่งจะเริ่มมาตรการนี้ในวันพุธที่ 25 มีนาคม
หมายเหตุ : ข้อมูลสถิติเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2563
จาก
Aljazeera.com
Aljazeera.com
Brookings.edu
BusinessInsider.com
BusinessInsider.com
cnn.com
cnn.com
Koreaherald.com
NYtimes.com
npr.org
prachachat.net
Sciencemag.org
Time.com
Time.com
theguardian.com
worldmeters.info