กว่าจะเป็นพื้นที่ของความหลากหลาย กว่าจะเป็นหน้าปก a day 226

Highlights

  • บอล–นรภัทร ศักดิ์อาธรทรัพย์ คือศิลปินที่นำดอกไม้มาถ่ายทอดเป็นงานศิลปะ เพื่อบอกเล่าเรื่องราวบาดแผลในอดีตของตน
  • ทั้งนี้เขาคือผู้อยู่เบื้องหลังไอเดียและการทำหน้าปก a day ฉบับที่ 226 ด้วยเช่นเดียวกัน
  • กว่าจะเป็นหน้าปกเล่มนี้เขามีกระบวนการคิดอย่างไร ประสบพบเจออะไรมาบ้างกว่าจะสมบูรณ์ เราอยากชวนคุณรับรู้เรื่องราวเบื้องหลังที่ว่า ควบคู่ไปพร้อมๆ กับการอ่านเนื้อในของนิตยสารฉบับนี้

เรานัดเจอ บอล–นรภัทร ศักดิ์อาธรทรัพย์ อีกครั้ง ในวันที่นิตยสาร a day ฉบับ Gender เดินทางออกจากโรงพิมพ์มาถึงออฟฟิศของเราแบบหมาดๆ

หากจำกันได้ เขาคือศิลปินผู้นำเรื่องราว บาดแผล และความเจ็บปวดในอดีตมาถ่ายทอด จัดแสดงเป็นงานศิลปะ โดยมีดอกไม้เป็นสื่อกลางบอกเล่าให้เรื่องราวเหล่านั้นมีความหมายชัดเจนมากขึ้น

แน่นอนว่าภาพคนเปลือยกาย ต่างสรีระ ต่างเพศสภาพ ที่กำลังนอนขดล้อมรอบพุ่มดอกไม้ขนาดใหญ่หลากสีสันที่อยู่บนหน้าปกนิตยสาร a day ฉบับที่ 226 คืองานหนึ่งซึ่งสะท้อนและบ่งบอกเอกลักษณ์ของเขาได้อย่างดีเยี่ยม

และนั่นเองคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้เรานัดพบเขาในวันนี้ นัดเจอเพื่อพูดคุย นั่งฟังแต่ละความคิดที่อยู่เบื้องหลังการทำงาน พูดคุยกันถึงความเป็นมา ว่าเขามีกระบวนการคิดอย่างไร ประสบพบเจออะไรมาบ้างกว่างานชิ้นนี้จะสมบูรณ์

กว่าจะกลายมาเป็นหน้าปก นิตยสาร a day ฉบับล่าสุดในมือคุณ

1

“ตอนที่ a day ติดต่อมา บอกว่าอยากให้เราทำปกเล่ม Gender ให้ วันนั้นเราบอกตัวเองเลยว่าจะไม่คาดหวังอะไร คือจริงๆ เราดีใจมากนะ พอได้ยินก็คิดเลยว่าจะทำปกเล่มนี้ออกมายังไงดี แต่ก็ต้องบอกตัวเองว่าไม่ให้คาดหวังมากไปด้วย เพราะเราไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วไอเดียของเราจะได้ใช้ถ่ายจริงๆ หรือเปล่า หรือสุดท้ายแล้วมันจะออกมาในรูปแบบไหน” บอลสารภาพให้เราฟังถึงความรู้สึกแรกๆ หลังได้รับเชิญให้ทำหน้าปกเล่มนี้

เพราะความกังวลที่ยังติดค้างในอดีต จากการเคยถูกปฏิเสธงานเพียงเพราะงานศิลปะของเขามีภาพนู้ดมาเป็นส่วนประกอบ ทำให้เขาไม่แน่ใจว่าตัวเองสามารถทำอะไรได้แค่ไหนในนิตยสารเล่มนี้ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ตัดสินใจสเกตช์ภาพให้ a day มาเป็นตัวเลือกมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ มากขนาดที่ศิลปินอย่างเขายังเอ่ยปากเองเลยว่า นี่น่าจะเป็นการสเกตช์งานที่เยอะที่สุดตั้งแต่เขาทำงานมา

ไม่พูดเปล่า เขาเปิดสมุดสเกตช์ของตัวเองให้เราดู แต่ละหน้าเต็มไปด้วยภาพร่างของหน้าปก และสีสันของดอกไม้ที่เขาคิดจะใช้ในงาน

“ตอนส่งสเกตช์ให้ทีมดูครั้งแรกก็คิดว่าเขาจะโอเคกับสิ่งที่เราวาดออกไปไหม มันลุ้นมาก เราเลยพยายามสเกตช์เพิ่ม เพื่อที่เราจะได้บอกเขาได้ว่าเรากำลังทำอะไร เราพยายามจะบอกเล่าเรื่องอะไรอยู่ ด้วยความที่เราเป็นซับเจกต์หนึ่งในเล่มด้วย วันที่มาถ่ายรูปเพื่อใช้ประกอบบทความก็เลยได้คุยกับทีมงานแบบเจอหน้ากันครั้งแรก พอได้เห็นมู้ดบอร์ด ได้เห็นว่าทาง a day ต้องการอะไร ก็เลยเข้าใจมากขึ้น และกลับไปปรับสเกตช์เพิ่มเติมได้ตรงจุด สุดท้ายเลยออกมาเป็นหน้าปกที่มีธีมว่า ‘a day without classification (วันที่ไร้ซึ่งการจำแนก)’”

2

“กว่าจะได้หน้าปกออกมาแบบนี้ มันถูกพัฒนาต่อมาเยอะมาก เริ่มจากการนำภาพสเกตช์ที่อาร์ตไดเรกเตอร์ชอบ คือภาพที่มีคนจับมือ สัมผัสร่างกายกันและมีดอกไม้แทรกอยู่ใกล้กัน มาพูดคุยและพัฒนากันต่อ มันทำให้เราพบว่าถ้านำสเกตช์อันนั้นมาใช้เลยจริงๆ ดอกไม้พวกนั้นมันคงสะเปะสะปะ เละเทะมากแน่ๆ และเราก็คงไม่สามารถตอบได้ว่าดอกไม้มาจากไหน ทำไมถึงมาขึ้นอยู่ตรงนี้ เราจึงลองสเกตช์อีกครั้ง กลายเป็นภาพปกที่พื้นที่ตรงกลางเป็นดอกไม้ทั้งหมด

“เพราะเราอยากบอกเล่าเรื่องราวของความหลากหลายผ่านสายพันธุ์ของดอกไม้ แล้วเชื่อมไปถึงความแตกต่างทางด้านสรีระ และเรื่องเพศของผู้คน เราอยากให้พื้นที่ข้างในนั้นเป็นพื้นที่ที่ดอกไม้ทุกชนิดจะสามารถเบ่งบานได้ โดยไม่ต้องคำนึงว่า ฉันคือพืชอวบน้ำ พืชกินแมลง ไม้ดอก ไม้ยืนต้น มาจากต่างประเทศ หรือเติบโตที่ไทย ไม่ต้องกังวลว่าต่างชนิดกันแล้วจะเบ่งบานในพื้นที่เดียวกันไม่ได้ เราอยากทำลายกฎเกณฑ์นั้นออกไป”

“ไอเดียมันจึงมาจากที่เราคิดถึงการแบ่งแยกชนิดของพืชตามหลักวิทยาศาสตร์” บอลสรุปไอเดียของตนให้ฟังก่อนอธิบายต่อ

“ปกติแล้วพืชมีดอก จะถูกเรียกว่าเป็นพืชชั้นสูงเพราะมีอวัยวะที่ครบถ้วนสมบูรณ์ ในขณะที่พืชไร้ดอกกลับถูกเรียกว่าเป็นพืชชั้นต่ำ เพียงเพราะไม่มีอวัยวะที่ครบถ้วนสมบูรณ์เหมือนพืชดอก หรือกระทั่งเห็ดก็กลับกลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่ถูกจำแนกออกมาว่าไม่ใช่ทั้งพืชและสัตว์ เรามองเห็นและรับรู้ว่าการแบ่งแยกเหล่านี้ทำไปเพื่อจุดประสงค์ด้านการศึกษา แต่ในอีกแง่มุมหนึ่งเราก็เห็นการแบ่งแยกในลักษณะเดียวกันจากมนุษย์ด้วยกันเอง ทั้งแบ่งจากสรีระร่างกาย สีผิว เส้นผม ร่องรอยบนผิวหนัง หรือแม้แต่เพศสภาพ โดยไม่ได้มีเป้าหมายเพื่อการศึกษาเลยด้วยซ้ำ อีกทั้งการกระทำเหล่านี้มันยังสร้างปมในใจใครหลายๆ คนด้วย เพราะเขาถูกคนภายนอกมองว่าเขาแตกต่าง เราเลยรู้สึกว่าสุดท้ายแล้วในโลกใบนี้ กลายเป็นว่ามนุษย์ด้วยกันเองนี่แหละที่เป็นสิ่งมีชีวิตที่เหยียดกันเองมากที่สุด ทั้งๆ ที่กูก็คน มึงก็คน แล้วทำไมเราถึงต้องมาแบ่งแยกกัน”

3

“การทำปก a day ในครั้งนี้ เราจึงอยากสร้างพื้นที่ให้กับกลุ่มคนที่มีความหลากหลาย โดยที่ไม่ใช่เรื่องของเพศสภาพอย่างเดียว แต่ความหลากหลายมันต้องครอบคลุมทุกอย่าง ทั้งเพศ สรีระ สีผิว ชาติพันธุ์ หรือเรื่องอะไรก็แล้วแต่ที่คนชอบล้อกันตอนเด็ก อย่างการถามว่า ‘เฮ้ย ทำไมดูอ้วนขึ้น ทำไมดูผอมลง’ หรือคำถามที่เราโดนกับตัวเองเลยคือ ‘เป็นหรือเปล่า’ ก็เช่นกัน เราอยากให้คำถามเหล่านี้หมดไป อยากให้ทุกคนมองว่ามันเป็นเรื่องปกติที่จะมีความแตกต่าง และมองว่าความแตกต่างเหล่านั้นเป็นความสวยงามอย่างหนึ่ง

“หน้าปกจึงออกมาเป็นแบบนั้น เป็นภาพคนที่ละทิ้งเสื้อผ้าซึ่งเป็นวัตถุภายนอก เหลือเพียงร่างกายอันเปลือยเปล่าที่ติดตัวมาแต่กำเนิดอย่างแท้จริง มีพื้นที่ตรงกลางซึ่งเปรียบคล้ายกับว่าเป็นพื้นที่ที่กลุ่มคนเหล่านี้ได้ร่วมกันสร้างและล้อมเอาไว้เป็นวงแคบๆ เพื่อเป็นการทำลายกฎเกณฑ์การแบ่งแยกชนชั้นของพืชออกไปจนหมด เหลือแต่พื้นที่ที่ยินยอมให้พืชหลากหลายชนิด ที่มีทั้งพืชดอก พืชไร้ดอก พืชที่มีดอกสมบูรณ์เพศ และพืชที่มีดอกไม่สมบูรณ์เพศ หรือแม้แต่เห็ดที่ไม่ใช่ทั้งพืชและสัตว์ ได้มีโอกาสเบ่งบานมีชีวิตร่วมกันแม้จะมีความแตกต่างที่อยู่เหนือกฎเกณฑ์ทางธรรมชาติ แม้ว่าในตอนนี้พื้นที่ตรงกลางที่บุคคลเหล่านี้สร้างเอาไว้ จะยังคงเป็นพื้นที่ที่แคบอยู่ แต่วันหนึ่งเมื่อคนอื่นๆ ยอมละทิ้งกฎเกณฑ์ทางธรรมชาติที่ใช้แบ่งแยกสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ออกไป เหลือเพียงโอกาสและสิทธิเสรีภาพที่จะยินยอมให้สิ่งมีชีวิตอื่นๆ ได้เบ่งบานร่วมกันตามความต้องการของตนเองได้อย่างไร้ซึ่งกฎเกณฑ์ใดๆ วงล้อมตรงนี้ก็จะกว้างมากขึ้น และทำให้พืชพรรณหรือสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆ ที่มีความหลากหลายได้เบ่งบานและเติบโตออกไปอย่างไร้ที่สิ้นสุด”

4

‘แปลว่าดอกไม้แต่ละดอกที่ปรากฏอยู่ในหน้าปก คุณก็คิดมาแล้วตั้งแต่ต้นอย่างนั้นสิว่าจะใช้ชนิดไหน อย่างไร’ เราโยนคำถามถึงสิ่งที่สงสัยตั้งแต่ได้เห็นภาพสเกตช์ที่มีดอกไม้เรียงสีกันสวยงาม และที่สำคัญคือองค์ประกอบหลายๆ อย่างของมันตรงตามภาพที่อยู่บนปกแทบจะร้อยเปอร์เซ็นต์

“ใช่ เพราะส่วนตัวเราเป็นคนที่ถ้าสเกตช์อะไรออกมาแล้วก็อยากให้ภาพที่ออกมานั้นเหมือนสเกตช์ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เราจะปรับจนพอใจที่สุดก่อนออกไปถ่ายจริง เพราะเรากลัวว่าถ้าไปปรับหน้างาน มันจะเป็นการไหลไปตามสถานการณ์ มากกว่าจะเอาเรื่องราวที่เราอยากพูดออกมาทำจริงๆ

“ทุกครั้งที่เราจัดดอกไม้เราจะคำนึงถึงว่า สีสันของมันพออยู่ร่วมกันแล้วไปด้วยกันได้หรือเปล่า เรากลัวมากว่าถ้าวางสีไม่ถูกต้องจะทำให้มันเละ เพราะดอกไม้สดมีแค่โอกาสเดียวที่จะตัดมาและปักมันลงไป คือถ้าใช้ตรงนั้นหมดไปแล้ว เราก็วิ่งไปเอาที่ไหนไม่ได้อีก เราจึงต้องสเกตช์ออกมาเป็นลายเส้นแล้วกรุ๊ปสีดูว่าเราควรจะเรียงสีเป็นยังไง และบอกกับตัวเองว่านี่คือสีที่เราพอใจแล้ว วันที่จัดจริงก็จัดตามนี้เลย ไปถึงสตูดิโอก็คือกางสมุด แล้วปักตามเลย”

“ฉะนั้นการเตรียมการจึงค่อนข้างเหนื่อยมาก ดอกไม้หลายชนิดเป็นดอกไม้ที่ไม่ได้ปลูกมาเพื่อตัดดอกขาย แต่เราอยากใช้เพราะมันคือดอกไม้ในความทรงจำของเรา นี่เป็นตัวตนของเราที่ใส่เข้าไปในงาน ดังนั้น เราจึงต้องแบ่งเวลาเตรียมดอกไม้ออกเป็นสองวัน คือ วันหนึ่งต้องไปที่สวน เพื่อซื้อพืชอวบน้ำอย่างกุหลาบหิน ซื้อพืชกินแมลงอย่างหม้อข้าวหม้อแกงลิง หยาดน้ำค้าง ซื้อไม้อากาศอย่างสับปะรดสี อีกวันเราต้องไปที่ปากคลอง เพื่อซื้อดอกไม้อย่างดอกลิลี่ ดอกหน้าวัว ดอกไม้บางส่วนที่เอากลับมาบ้านก่อนก็ต้องดูแลเพื่อที่จะให้มันอยู่รอดถึงวันนั้น”

5

แต่ถึงอย่างนั้นสำหรับการทำงานชิ้นนี้ ก็ใช่ว่ามีเพียงแค่ดอกไม้แล้วจะจบ

เพราะการจัดดอกไม้ให้เหมาะสมกับมุมกล้อง การถ่ายทำที่ต้องแข่งกับเวลา การดูแลดอกไม้ไม่ให้เหี่ยวเฉาก่อนจบวัน หรือกระทั่งปัญหาสำคัญอย่างนางแบบและนายแบบไม่พอ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่บอลและทีมต้องเผชิญ

“เพราะเราไม่เห็นสตูดิโอในตอนแรก เราจึงวางแผนไว้ว่าจะวางโอเอซิสไว้เอียงๆ แล้วให้คนยืนล้อมรอบแทน แต่ก็ประสบปัญหาที่ว่าเวลาจัดดอกไม้แล้วมันจะหนักมาก เสี่ยงต่อการล้ม และถ้าเราลดน้ำหนักของโอเอซิสลง ก็แปลว่าดอกไม้เหล่านั้นจะเหี่ยวเร็วขึ้นเพราะไม่ได้น้ำไปหล่อเลี้ยง เลยปรึกษากับอาร์ตไดเรกเตอร์และช่างภาพว่าสามารถถ่ายภาพมุมสูงได้หรือเปล่า ตอนนั้นพอเห็นที่แขวนกล้อง เห็นช่างภาพ เห็นอาร์ตไดเรกเตอร์ช่วยกัน เลยอุทานในใจเลยว่ากูรอดแล้ว” บอลหัวเราะให้เรื่องราวในวันนั้น ก่อนที่สุดท้ายแล้วความสดใสจะเปลี่ยนแปลงเป็นหยดน้ำตา

“วันที่รูปหน้าปกเสร็จ และพี่ในทีมส่งรูปมาบอกว่าทุกคนแฮปปี้กับปกเรา มันปลดล็อกมาก เราเป็นคนที่มีเรื่องเครียดอะไรก็จะเก็บไปฝันตลอด รู้ไหมที่ผ่านมาเราฝันมาหมดแล้ว ตั้งแต่เรื่องว่าวางขายแล้วจะมีปัญหาอะไรเกิดขึ้นบ้าง คนชอบอะไร เนื้อในจะเป็นยังไง คือเก็บไปฝันหมด จนกลายเป็นว่าช่วงนี้นอนไม่พอเลย พอวันนี้หนังสือมันเสร็จออกมาสมบูรณ์ ได้วางขายแล้วก็ดีใจที่จะได้นอนหลับตาสนิทสักที

“เพราะหนังสือเล่มนี้มันไม่ใช่ของเราคนเดียว แต่มันคือของเราทุกคน และเราคงทำมันไม่ได้แน่ๆ ถ้าไม่มีทีม a day มีบางช่วงขณะที่ถ่ายปก แล้วเราหันไปมองรอบๆ มันรู้สึกเหมือนว่าจะร้องไห้ได้เลย เรารู้สึกว่าเราเป็นใครวะ ทำไมทุกคนถึงมาช่วยเหลือเราขนาดนี้ อย่างตอนที่หานางแบบนายแบบไม่ได้ แล้วเราขอช่วยทีมหาอีกแรงเพราะเรารู้สึกว่า ถ้าหากมีคนที่เรารัก มีเพื่อนเราจริงๆ เข้ามาอยู่ในปกด้วยมันก็คงจะพิเศษมาก กลายเป็นว่าหลายๆ คนที่เราทักไป เขาตอบตกลงกลับมาแทบจะทันทีเลย เราดีใจที่มันเป็นแบบนี้

“เราคิดว่านี่คือปกที่เราทำงานร่วมกันกับพวกเขามากกว่า มันไม่ใช่ของเราคนเดียว เราจะไม่พูดว่า ‘เฮ้ย มึง กูทำปกให้กับ a day’ แต่เราจะพูดว่า ‘เฮ้ย มึง กูได้ทำปกร่วมกันกับ a  day’ ความทรงจำดีๆ ครั้งนี้มันช่วยต่อเติมชีวิตเราให้ตื่นมาสู้กับปัญหาต่างๆ ได้โดยที่เราไม่รู้สึกย่อท้อเลย”

“ถึงแม้ว่าสุดท้ายแล้วปกของเราอาจจะไม่สามารถสื่อสารออกมาให้คนเข้าใจได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่เราโชคดีที่เรามีตรงนี้ ที่นี่ มีทีม a day ที่เขาคิด และวางแผนเกี่ยวกับเล่มนี้มาเยอะมาก มันจึงทำให้เรารู้สึกว่าถึงแม้สิ่งที่เราทำมันจะไม่ได้ทำให้คนทั้งโลกเข้าใจของเรามากขึ้น แต่เราเชื่อว่าการที่มีคนเชื่อขึ้นมาแม้จะแค่คนเดียว มันก็คงเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีมากๆ แล้ว และเรามั่นใจว่ามันจะไม่ใช่คนเดียวที่เชื่อและยอมรับเรื่องนี้แน่ เรามั่นใจว่าต้องมีคนอีกหลายคนที่มีหนังสือเล่มนี้อยู่ในมือ และเมื่อได้อ่านแล้ว เขาจะเชื่อแล้วก็ยอมรับพวกเราได้มากขึ้นกว่าเดิมด้วย”

“หัวใจในการทำปกของเรา ไม่มีอะไรมากเลย เราแค่อยากทำให้ตอนที่เวลามันถูกวางบนร้านหนังสือแล้วคุณต้องหยุดดู คุณต้องสงสัยว่ามันคืออะไร แต่สิ่งที่ทำให้หนังสือเล่มนี้สมบูรณ์ได้ เป็นเพราะมันมีเรื่องราวข้างในด้วย เพราะทีมที่เต็มที่กับเรื่องราวพวกนี้ ฉะนั้นเราอยากให้คนกล้าที่จะหยิบมันไปจ่ายเงินโดยที่ไม่รู้สึกอาย ไม่เขิน เราอยากให้คนคิดว่ารูปที่คุณเห็นมันไม่ใช่รูปที่โป๊เปลือย แต่มันคือความหลากหลายทางสรีระร่างกายมากกว่า อยากให้คุณกล้าที่จะหยิบซื้อ เปิดอ่านในที่สาธารณะ โดยที่คุณรู้สึกว่าฉันไม่ได้ทำผิดอะไร ฉันกำลังถืออะไรบางอย่างที่บอกเล่าเรื่องราวความหลากหลายจริงๆ

“อยากให้ทุกคนยอมรับว่านี่คือสิ่งที่มนุษย์ทุกคนมี เป็น และความแตกต่างที่เกิดขึ้นมานั่นแหละคือความงามที่มันสามารถอยู่ร่วมกันได้ โดยที่ไม่ต้องมานึกว่าฉันไม่เหมือนเธอ เธอไม่เหมือนฉัน แต่ทุกคนมีความสวยงามในรูปแบบของตัวเองอยู่แล้ว และพอมาอยู่รวมกันมันทำให้ความสวยงามนั้นสวยงามขึ้นไปอีก โดยที่ไม่ต้องคำนึงถึงเรื่องของความแตกต่างเลย”

AUTHOR

PHOTOGRAPHER

พิชย์ สุนทโรสถ์

ช่างภาพหน้าหมี ผู้ชอบเพลงแจ๊สเป็นชีวิตจิตใจ