ยืนมองเช็งเม้งไม่เป็นเช่นเคย

สำหรับลูกหลานชาวจีน
สิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่าแดดร้อนระอุช่วงต้นซัมเมอร์ คือการไปเช็งเม้ง

จะไม่หลอนได้อย่างไร
ก็กิจกรรมไหว้บรรพบุรุษที่สุสาน (หรือฮวงซุ้ย) ของครอบครัวจีนนั้นเต็มไปด้วยองค์ประกอบที่ดุเดือด
อาทิ ฝูงญาติที่รวมตัวกันคุยจ้อด้วยภาษาไทยปนจีน เป็ดไก่หมูเรียงหน้ามาเป็นตับ
ควันโขมงจากธูปเทียนกระดาษเงินกระดาษทอง เสียงประทัดเปรี้ยงปร้างยาวเหยียด ฯลฯ แถมความชุลมุนเหล่านี้ดันเป็นกิจกรรมที่ยกไปเกิดขึ้น
ณ สุสานกลางแจ้ง ดีกรีความดุเดือดจึงพุ่งสูงปรี๊ดจนหนุ่มสาวยุคเจนวายรังเกียจการไปเช็งเม้งเข้าไส้

แต่พออยู่กันไปนานปีเข้า
จากความอี๋เริ่มกลายเป็นความอ๋อ จากที่ทำตามไปอย่างงั้นก็เริ่มทำความเข้าใจ
ฉันเริ่มปรับตัวและกลายร่างเป็นคนจีนรุ่นใหม่ใส่ใจบรรพบุรุษ ค้นพบวิธีอยู่กับกิจกรรมเช็งเม้งอย่างสุขกายสบายใจจนอยากแนะนำให้ลองทำตาม
แล้วคุณอาจพบความสุขแบบที่ไม่เคยมาก่อน

1. จัดเต็มในชุดเสื้อผ้าคอลเลกชันซัมเมอร์
แดดร้อนเป็นอุปสรรคอันดับแรกที่ทำให้เราอิดออดกับการไปเช็งเม้ง
เคยคิดสงสัยว่าทำไมต้องมาเช็งเม้งกันเอาตอนที่ร้อนที่สุดของปี
ทำไมไม่ไหว้ตอนปลายปีที่อากาศเย็นๆ (กว่านี้หน่อยนึง) ล่ะ ถามหม่าม้าจึงได้ความว่าช่วงเดือน
3 ตามปฏิทินจีน ซึ่งเป็นช่วงฤดูใบไม้ผลิ
ต้นไม้ใบหญ้าที่จีนเขียวชอุ่มเหมาะแก่การชมทิวทัศน์
จึงเกิดเป็นธรรมเนียมการไปไหว้บรรพบุรุษที่สุสานแทนการไหว้อยู่บ้าน (คำว่า
เช็งเม้ง ก็แปลว่าช่วงเวลาแห่งความแจ่มใส)
แต่พอไทยรับธรรมเนียมจีนมาใช้ดันตรงกับช่วงกลางเดือนมีนาคมถึงวันที่ 5 เมษายน ซึ่งเป็นช่วงแดดร้อนระอุ เกินความแจ่มใสไปมากโข

ไหนๆ
ก็เลี่ยงธรรมเนียมไม่ได้ คนไทยเชื้อสายจีนส่วนใหญ่ที่ไหวตัวทันจึงรีบไปเช็งเม้งตั้งแต่กลางเดือนมีนาคมซึ่งแดดยังไม่ร้อนมาก และรีบไหว้ให้เสร็จก่อนเที่ยงวัน แต่สำหรับคนที่ไหวตัวเลี่ยงแดดไม่ทันเพราะติดภารกิจในชีวิต
อย่ากลัวไปค่ะ ขอแนะนำให้คุณสนุกกับการแต่งตัวในคอลเลกชันซัมเมอร์ให้เต็มที่
ไม่ว่าจะเป็นการบรรจงเลือกหมวกปีกกว้างและแว่นกันแดดที่ปกป้องดวงตาตี่ๆ ของคุณ
เลือกชุดที่มีเนื้อผ้าโปร่งสบาย พลิ้วไหวตามแรงลมและควันธูป
ซับเหงื่อได้ดีไม่เหม็นหรืออับชื้น
แต่ทั้งหมดทั้งมวลนั้นไม่ควรเปิดเผยเนื้อหนังมากด้วยเหตุผลของกาลเทศะ
แถมเสื้อผ้ามิดชิดนั้นยังช่วยกันผิวของคุณไม่ให้สุกด้วยนะ อ้อ! อย่าลืมว่าการไปเช็งเม้งตามสุสานนั้นจะทำให้คุณพบเจอหนุ่มสาวลูกหลานชาวจีนมากหน้าหลายแซ่ในวัยไล่เลี่ยกันมากมาย
อาจมีเนื้อคู่ของคุณอยู่ที่นั่นก็ได้ ใครจะรู้ เพราะฉะนั้นแต่งตัวดีๆ มีชัยนะหนู

2. เตรียมท้องสำหรับบุฟเฟต์อาหารกลางวัน
ของไหว้ในงานเช้งเม้งเป็นอะไรที่เยอะแยะมากมายที่สุดในบรรดาการไหว้ของคนจีน
ด้วยเหตุที่คนจีนเชื่อว่าคนตายยังมีชีวิตอยู่ในอีกโลกหนึ่ง
การเดินทางมาไหว้อากงอาม่าที่เสียไปแล้วที่สุสานเพียงปีละครั้งจึงเป็นวาระสำคัญมากๆ
ที่จะได้ทำอาหารชุดใหญ่มาให้พวกแกได้กิน จึงจัดมาทั้งของคาวแบบเป็นตัวๆ อย่างเป็ด
ไก่ ปลา ข้าวและกับข้าวที่อากงอาม่าชอบ ขนมและของหวานอย่างซาลาเปาและจูชังเปี้ย
(ขนมเปี๊ยะสำหรับเช็งเม้งโดยเฉพาะ) แถมยิ่งมีการรวมตัวกันของพี่น้องในตระกูล
ต่างครอบครัวต่างก็เอาอาหารมาสมทบกันทำให้จำนวนและปริมาณนั้นยิ่งทวีคูณเข้าไปอีก

สุดท้ายก็เป็นหน้าที่ของลูกหลานอย่างเราๆ
นี่แหละที่ต้องรับผิดชอบด้วยการโซ้ยอาหารเหล่านั้นเมื่อไหว้เสร็จ
บางครอบครัวถึงกับจัดโต๊ะที่ส่วนกลางของสุสานแล้วกินกันตรงนั้นเลยก็มี
ดังนั้นควรเคลียร์กระเพาะให้ว่างพร้อมรับอาหารมากมายที่มีเยอะจนสามารถเลือกตักกินสิ่งที่ชอบได้ตามใจเลยแหละ
กินบุฟเฟต์ที่ไหนก็ไม่คุ้มเท่ากินอาหารเช็งเม้งแน่นอน

3. สร้างงานศิลปะที่ทำจากกระดาษ
เวลาไปที่สุสาน
ถ้าเห็นกระดาษสายรุ้งหลากสีโปรยบนหลุมศพไหน จะเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงว่าลูกหลานของบรรพบุรุษในหลุมศพนั้นได้มาเยี่ยมเยียนและแสดงความกตัญญูแล้ว
สำหรับคนตาย การประดับกระดาษสีนั้นก็เหมือนกับเสื้อผ้าใหม่ แต่สำหรับคนเป็น
การโปรยสายรุ้งอาจนับว่าเป็นการสร้างงานศิลปะได้อยู่ ตั้งแต่การเลือกสีของกระดาษ
หากคุณเป็นคนที่ชอบความละมุนละไม ลองเลือกใช้กระดาษสีพาสเทลแทนแม่สีสดใสก็เปลี่ยนมู้ดแอนด์โทนของหลุมให้ดูซอฟต์ลงไปได้
หรืออาจออกแบบวิธีการโปรยและจัดวางกระดาษสีให้ดูเป็นกราฟิกมากขึ้น เช่น เรียงเป็นตาราง
อาจจะเท่ไปอีกแบบ ถือเป็นการสร้างศิลปะที่แปลกใหม่โดยไม่นับว่าผิดหรือลบหลู่ธรรมเนียมของคนจีนแต่อย่างใด

นอกจากกระดาษโปรยบนหลุมศพ
ยังมีกระดาษเงินกระดาษทองและสิ่งของที่จำลองขึ้นด้วยกระดาษซึ่งเป็นไฮไลต์อีกอย่างของเช็งเม้ง
ลูกหลานชาวจีนหลายคนต้องเคยช่วยพ่อแม่พับโอริกามิสไตล์จีนมาแล้ว
ซึ่งนับเป็นการฝึกทักษะศิลปะในการพับกระดาษที่เจ๋งยิ่งกว่าไปเข้าคลาสเวิร์กช็อปที่ไหน
แถมไม่เสียเงินค่าเรียนเลยสักบาท ขอให้ลองพับ เชื่อพี่

4. เดินดูทำเลของตัวเองในอนาคตแบบชิลๆ
เสร็จจากกิจกรรมเยี่ยมหลุมศพของบรรพบุรุษตัวเอง
อยากให้ลองกางร่มเดินสังเกตการณ์ที่หลุมเพื่อนบ้านโดยรอบ จะสังเกตเห็นว่าตัวอักษรชื่อจีนบนป้ายหินหน้าหลุมศพจะมีสีที่แตกต่างกัน
หากเป็นตัวอักษรสีแดง หมายถึงหลุมนั้นเป็นของคนที่เสียชีวิตแล้ว แต่หากเป็นสีเขียวหมายถึงหลุมศพนั้นเป็นของคนเป็นที่มาจับจองที่นอนของตัวเองไว้ล่วงหน้าก่อนตาย
(บางคนซื้อไว้เพราะวางแผนล่วงหน้าจริงๆ แต่บางคนก็ซื้อไว้เพราะถือเคล็ดว่าจะอายุยืน!)
ส่วนใหญ่หนึ่งหลุมจะฝังด้วยกันเป็นคู่สามีภรรยา (บางหลุมก็มีที่ให้ภรรยาคนที่ 2 หรือ 3 ด้วย)
แน่นอนว่าราคาของฮวงซุ้ยนั้นถูกแพงตามขนาดและทำเลที่ตั้ง
ไม่ต่างอะไรกับซื้อคอนโดเลย แถมบางที่ยังราคาเป็นหลักแสนหรือมากกว่านั้นอีกด้วย

เรื่องตายเป็นเรื่องธรรมชาติ
หากมีทุนทรัพย์แนะนำให้เดินเลือกทำเลแล้วจับจองไว้ล่วงหน้าไปเลย หรือถ้าดูราคาแล้วสู้ไม่ไหว
แนะนำให้ทำตามแบบคนจีนยุคใหม่ที่ไม่นิยมฝังศพกันแล้ว
แต่เลือกเผาตามแบบคนไทยแล้วนำอัฐิไปเก็บไว้ที่วัดแทน แต่ถ้าไม่อยากคิดล่วงหน้ากับชีวิตขนาดนั้น
การเดินชมฮวงซุ้ยอาจจะให้ประโยชน์ในแง่ที่ทำให้เราหันมาตระหนักถึงชีวิตในแต่ละวัน
แล้วใช้ให้คุ้มค่ามากขึ้นก็เป็นได้ โอ คมคาย

5. วางแผนเที่ยวต่อ
จะได้ไม่เสียเที่ยว
ไหนๆ
สุสานชื่อดังที่มีขนาดใหญ่มักอยู่ตามต่างจังหวัดซึ่งไม่ไกลกรุงเทพฯ มาก
อย่างชลบุรีและสระบุรี และไหนๆ
เช็งเม้งก็เป็นกิจกรรมที่รวมญาติได้เป็นกลุ่มเป็นก้อนมหาศาล บางคนอาจได้พบหน้ากันปีละครั้งเดียวที่งานนี้
แนะนำอย่างยิ่งยวดว่าให้วางแผนท่องเที่ยวกระชับความสัมพันธ์ในหมู่เครือญาติไปเลย
ขับรถจากสระบุรีไปเล็กน้อยก็เที่ยวเขาใหญ่ได้
หรือขับจากชลบุรีไปนิดเดียวก็เที่ยวทะเลพัทยาได้แล้ว กระนั้นเลย ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว จงเติมเต็มวันหยุดฤดูร้อนของคุณให้ครบเครื่องและสมบูรณ์แบบด้วยการไปเที่ยวไหนต่อไหนในทริปเดียวกันให้เรียบร้อยโรงเรียนจีนไปเลยสิจ๊ะ
เชื่อว่าอากงอาม่าบนสวรรค์จะต้องดีอกดีใจที่ลูกหลานรู้เท่าทันกุศโลบายเช็งเม้งรวมญาติของแกอย่างแน่นอน
: )

ภาพ หม่าม้าและเฮีย

AUTHOR