วิญญาณ ตัวตนใหม่ และสิ่งที่อยากทิ้งไว้ก่อนตายของเฌอปรางและเจมส์ ธีรดนย์

Highlights

  • Homestay คือหนังใหม่ค่าย GDH จากฝีมือการกำกับของ โอ๋–ภาคภูมิ วงศ์ภูมิ โดยมี เจมส์–ธีรดนย์ ศุภพันธุ์ภิญโญ รับบทเป็นวิญญาณเร่ร่อน ที่ได้รับโอกาสให้เข้ามาสิงร่างของ ‘มิน’ เพื่อหาสาเหตุการตายภายใน 100 วัน ส่วน เฌอปราง อารีย์กุล รับบทเป็น ‘พาย’ พี่รหัสของมิน
  • ทั้งคู่ยืนยันว่า Homestay คือประสบการณ์การแสดงที่เปลี่ยนตัวตนของพวกเขา โดยเฉพาะเฌอปรางที่ได้ปลดล็อกเรื่องการแสดงออกทางอารมณ์จากการรับบทบาทในครั้งนี้
  • ความตายสำหรับพวกเขาคือโลกที่สงบ ไร้การรับรู้ และทุกอย่างหยุดนิ่ง ส่วนสิ่งที่พวกเขาอยากได้รับก่อนจากไปคือการถูกจดจำ

เราพบเจมส์และเฌอปรางในวันฝนฟ้าถล่ม เหมือนในเทรเลอร์หนังเรื่อง Homestay ไม่มีผิด

ข้อมูลน้อยนิดเกี่ยวกับหนังที่สวรรค์อนุญาตให้เรารู้ มีเพียงว่า เจมส์–ธีรดนย์ ศุภพันธุ์ภิญโญ รับบทเป็นวิญญาณเร่ร่อน ที่ได้รับโอกาสให้เข้ามาสิงร่างของ ‘มิน’ เพื่อหาสาเหตุการตายของเด็กมัธยมคนนี้ภายใน 100 วัน ข้อแม้คือห้ามให้ใครรู้ว่าเขาคือวิญญาณอื่น หากผิดไปจากนี้ ‘ผู้คุม’ จะไม่อนุญาตให้ได้ผุดได้เกิดอีกเลย ส่วน เฌอปราง อารีย์กุล รับบทเป็น ‘พาย’ พี่รหัสคนเก่งของมินที่ใกล้ชิดกันมากพอจะจับสังเกตความเปลี่ยนแปลงหลังมินฟื้นจากความตายได้

ก่อนเจอกัน เราวาดภาพว่าหนังเรื่องนี้น่าจะเป็นความท้าทายของเฌอปราง ผู้ซึ่งก้าวสู่โลกภาพยนตร์เป็นครั้งแรก และต้องรับบทเอกที่แม้แต่เจมส์ยังออกปากว่าสลับซับซ้อนและใช้พลังทางอารมณ์สูง ขัดกับภาพกัปตันวง BNK 48 ผู้นิ่ง สงบ และจัดการได้ทุกสถานการณ์

แต่กับเจมส์ เราคิดว่าเขาไม่น่าจะต้องห่วงอะไรกับการแสดงครั้งนี้ ในเมื่อเขาเคยดำดิ่งไปกับบท ‘บู’ เด็กชายผู้เป็นโรคซึมเศร้าในซีรีส์ S.O.S. สเก็ต ซึม ซ่า จนได้ไปแตะก้นบึ้งของความเศร้ามาแล้ว ทั้งยังเคยสวมคาแร็กเตอร์หลากหลาย ตั้งแต่เด็กรวยเจ้าสำราญใน ฉลาดเกมส์โกง ไปจนถึงเด็กจอมตรรกะใน เลือดข้นคนจาง เพราะอย่างนี้ เพดานการแสดงของเขาน่าจะขยายกว้างจนรับบทวิญญาณในร่างมินได้ไม่ยาก

น่าแปลกใจ ทั้งคู่ยืนยันว่าบทบาทใน Homestay ‘ไม่ง่าย’ ทั้งในฐานะนักแสดง และในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง ที่ต้องเอาตัวตนไปรับบทสุดขั้วทางอารมณ์ จนได้ปลดล็อกสิ่งที่ติดค้างในใจ

“กราฟมันสลับกัน” เจมส์เอ่ยขึ้นในช่วงหนึ่งของการสัมภาษณ์ เมื่อพูดถึงตัวตนของเขาและเฌอปรางที่เริ่มเปลี่ยงแปลงสวนทางกันอย่างช้าๆ

มันอาจเหมือนการเกิดใหม่ หลังเดินทางผ่านโลกของความตายในภาพยนตร์เรื่องนี้มาเกือบหนึ่งปี แต่ความตายจริงๆ ที่พวกเขาวาดภาพไว้เป็นอย่างไร ตัวตนของทั้งคู่ก่อนเล่นหนังกับตอนนี้ต่างกันแค่ไหน และอะไรที่เจมส์และเฌอปรางอยากทิ้งไว้ก่อนสูญสลายหายไป

มีแค่พวกเขาเท่านั้นที่รู้คำตอบ

เรารู้สึกว่าเจมส์เคยไปสุดขอบของการแสดงแล้วในซีรีส์ S.O.S สเก็ต ซึม ซ่า หนังเรื่อง Homestay ยังท้าทายเราอีกไหม

เจมส์ : ผมว่ามันสุดคนละแบบ S.O.S มันสุดในเวย์ที่ดิ่งสุดๆ แต่ว่าเรื่องนี้มันสุดในทุกด้านอารมณ์ ทั้งดีใจ เสียใจ โกรธ สุดหมดทุกทาง ในฐานะนักแสดงเราก็ได้ฝึกสกิลใหม่ๆ ได้เล่นกับกรีนสกรีน ขึ้นสลิง มันเป็นเรื่องใหม่มากสำหรับเรา

ปกติผมจะเจอผู้กำกับแนวดุด่าว่ากล่าว พูดหวดตรงๆ แต่พี่โอ๋ (ภาคภูมิ วงศ์ภูมิ ผู้กำกับ Homestay) จะเป็นแนวพยายามพูดซอฟต์ ‘พี่ว่ามันไม่ใช่อะ เดี๋ยวพี่ขอเพิ่มตรงนี้นิดหนึ่ง’ จนเราไม่รู้ว่าพี่โอ๋ชอบจริงๆ หรือเปล่าไอ้ที่เราเล่นไปเนี่ย (หัวเราะ) เราก็กลัวทำได้ไม่ดี เพราะเขาเลือกเรามาเป็นตัว hold เรื่อง ถ้าดันเล่นไม่ดีก็คือเจ๊ง เราเลยค่อนข้างกดดันมากๆ บทมันก็ไม่ใช่ง่ายๆ แต่ยิ่งยากมันก็ยิ่งสนุก

ด้านเฌอปรางเป็นนักแสดงใหม่ การรับบทในเรื่องที่เจมส์ยังบอกว่าท้าทายคืออะไร

เฌอปราง : ทุกอย่างค่ะ (หัวเราะ) เพราะว่าเฌอไม่เคยออกกองต่อเนื่องนานๆ ไม่รู้ว่าต้องทำตัวยังไง ต้องฟังใคร ต้องเรียนรู้ใหม่หมดเลย มันท้าทายมากๆ แล้วก็สนุกมากๆ ด้วย ยิ่งการแสดงคือ หื้มมมม (หัวเราะ)

หมายถึงยากเหรอ

เฌอปราง : ยากค่ะ เฌอเป็นคนไม่ค่อยสุดทางอารมณ์เท่าไหร่ คือไม่ค่อยแสดงออกทางอารมณ์ เฌอเป็นคนไม่กรี๊ด กรี๊ดไม่เป็น ขึ้นรถไฟเหาะก็จะกัดปากก่อน จะไม่ค่อย อ๊ากกกกก ออกไป แต่หลังๆ ก็ทำได้แล้ว เพราะการแสดงค่อยๆ ปลดล็อกทางอารมณ์ของเฌอออกมามากขึ้น

เจมส์ : ไหนลองกรี๊ดดู

เฌอปราง : ไม่! (หัวเราะ) ตอนแคสต์นี่บอกเลยว่ากว่าเฌอจะร้องไห้ได้ตามบทที่ต้องการมันนานมาก เป็นชั่วโมง แล้วที่จริงเฌอก็ร้องไห้ไม่ได้ในแบบที่เขาต้องการด้วย แต่เราก็พยายาม ตอนแรกเราเล่นไม่ได้เลย แข็งมาก เหมือนติดลบเลย

เราค่อยๆ ฝึกการออกเสียงใหม่ การขยับปาก การจำบท ท่าทาง การอยู่กับกล้อง เรียนรู้ใหม่หมดเลย เฌอไม่รู้ว่าเราต้องพูดตามบทเป๊ะๆ ไหม ปรับได้แค่ไหน ก็ต้องมานั่งคุยกับผู้กำกับ เวิร์กช็อปกันกับครูร่ม แอ็กติ้งโค้ช แล้วก็มาเจอเจมส์

เจมส์ : ที่จริงเราอยู่กับหนังเรื่องนี้มาปีหนึ่งแล้ว เราได้เห็นพัฒนาการที่เริ่มจากศูนย์ จากที่เฌอไม่เข้าใจเลย แต่เฌอก็สู้ จนถึงวันที่เราถ่ายแล้วออกมาดีกว่าที่คิดไว้เยอะมากๆ เพราะบทเฌอเป็นบทที่ยาก  ต่อให้นักแสดงที่เคยมีประสบการณ์ไปเล่นมันก็ยังยากอยู่ดี แต่เฌอไม่รู้ตัว

เฌอปราง : เราก็ดูเจมส์นี่แหละว่าการเวิร์กช็อปคืออะไรเพราะเราไม่มีตัวอย่างมาเยอะเท่าไหร่ ซึ่งก็ดีใจที่มันค่อยๆ ดีขึ้น อย่างเดียวที่ดีใจมากๆ เลยคือพี่โอ๋โอเค

เรื่องนี้มันเกี่ยวกับวิญญาณเร่ร่อน ทั้งสองคนเชื่อเรื่องผีไหม

เจมส์ : ไม่

กลัวไหม

เฌอปราง : กลัว (หัวเราะ)

เดี๋ยวๆ ไม่เชื่อแต่กลัวคืออะไร

เจมส์ : มันก็ไม่เชื่อแต่เสียวสันหลังนิดหนึ่ง คือให้ไปอยู่ที่มืดๆ คนเดียวก็กลัวเหมือนกันน่ะ เฌอกลัวไหม

เฌอปราง : เราเคยถูกปล่อยอยู่ที่มืดคนเดียวมาแล้วในป่า ตอนอยู่ที่โรงเรียนเราได้ไปธรรมยาตรา ต้องนอนในป่าไผ่ ไม่มีไฟฟ้า จุดแต่เทียนแล้วก็อยู่ในเต็นท์คนเดียว คือเราก็กลัวนะแต่ก็ผ่านมาได้ มันชินชาแล้ว เรารู้สึกว่าสุดท้ายมันก็ไม่มีอะไรถ้าเราความคิดเราไม่เตลิดไปเอง

เจมส์ : ผมไม่เชื่อ แต่กลัวนะ ผมก็เลยไม่เอาตัวเองไปรับรู้เลย (หัวเราะ) ถ้ารู้แล้วกลัวแน่ๆ ไม่รู้เลยดีกว่า

เชื่อว่าตายไปแล้วจะกลายเป็นวิญญาณไหม

เฌอปราง : ไม่รู้เหมือนกัน เรายังพิสูจน์ไม่ได้ เฌอรู้สึกว่าถ้าผีไม่มีจริง ทำไมถึงมีคนมาเล่ากันหลายๆ คนล่ะเพราะเฌอมีคนรอบตัวที่เห็นหรือสัมผัสเรื่องพวกนี้ได้ แล้วเขาก็ไม่น่าจะใช่คนโกหก และมันไม่ใช่แค่คนเดียว แต่เจอเป็นสิบๆ คน เพราะฉะนั้นมันก็น่าจะมีแหละ แค่เรารับรู้ไม่ได้เท่านั้นเอง เราเลยไม่กลัวเท่าไหร่เพราะถ้าเรารับรู้ไม่ได้ งั้นเราไม่ต้องกลัว แค่นั้นเอง

ในเรื่อง Homestay มีโลกหลังความตายที่ส่งวิญญาณของเจมส์กลับมาเกิดใหม่ เราเคยคิดถึงโลกหลังความตายไหมว่ามันจะมีหน้าตาเป็นยังไง

เจมส์ : มันคงได้นอนเยอะดีนะ ทดแทนสิ่งที่เราขาดหายไป (หัวเราะ)

เฌอปราง : เฌอว่ามันคงไม่มีอะไร มันก็แค่ว่างเปล่า สมองเราตายไปแล้ว ไม่เจ็บปวด ไม่รู้สึกอะไร

เจมส์ : ถ้าคนเราตายมันก็ควรจะหยุด ไม่รับรู้อะไรแล้ว ดูปลงทางโลกเหมือนกันนะเรา

ปลงแล้วเหรออายุเพิ่งเท่านี้เอง

เจมส์ : หัวเราต้องปลงบางเรื่องเพราะตอนนี้สิ่งที่อยู่ในหัวมันจะล้นแล้ว เราก็ต้องเลือกเรื่องจำ เลือกเรื่องที่เข้ามาหน่อย

หัวผมตอนนี้เหมือนเก็บแต่เรื่องงาน จะพูดว่า obsessed พูดว่าบ้าก็ได้ แต่มันเป็นช่วงชีวิตหนึ่งที่เราแฮปปี้กับงาน เราอยากทำให้มันดี เราก็เลือกจะโฟกัสกับสิ่งนี้ สิ่งอื่นที่เรารู้สึกว่ามันไม่จำเป็นหรือมันไม่ส่งผลกับเราในตอนนี้ ถ้าตัดได้เราก็ตัด

เฌอปราง : มันเหมือนพอเราผ่านการทำงาน เจอนู่น เจอนี่มาเรื่อยๆ มันก็เฮ้อ (ถอนหายใจ) แต่เราก็ยังรู้สึกสนุกกับการทำงานอยู่นะ แค่เราเหมือนเห็นวงเวียนอะไรบางอย่าง

นี่คือพูดในฐานะนักแสดงที่อยู่ในสปอตไลต์หรือเปล่า

เฌอปราง : พูดว่าในฐานะมนุษย์คนหนึ่งดีกว่า เพราะชีวิตคนเรามันมีหลายเรื่องเข้ามา ถ้าเรามองว่าเราต้องรับทุกเรื่อง มันก็จะหนักที่ตัวเรา เรื่องบางเรื่องมันไม่ใช่เรื่องของเรา มันเป็นเรื่องของคนอื่น เราก็ไม่ต้องไปรับมันมาให้ทุกข์เปล่าๆ ทั้งๆ ที่เราเลือกฟังได้ว่าเราจะฟังแต่คนที่เป็นมืออาชีพ คนใกล้ตัวเรา หรือคนที่เขาใส่ใจเราจริงๆ

เรารู้สึกว่าถ้าเกิดเรารับเยอะเกินไปมันจะยิ่งแย่ เพราะเราต้องทำงานที่เราต้องมอบความสุขให้คนอื่น เฌอก็ต้องมีความสุขจากตัวเฌอก่อน แล้วยิ่งทำงานการแสดงก็ต้องยิ่งจัดการอารมณ์ให้เป็นไม่งั้นมันจะส่งผลเหมือนกันต่อชีวิตเรา

เจมส์ : ใช่ครับ ถ้าเราตัดไม่ได้มันจะส่งผลต่อชีวิตเยอะมาก

เหมือนตอนเล่นเป็นบูใช่ไหม

เจมส์ : อันนั้นคือสุดๆ ครับ เป็นหนึ่งอย่างที่ทำให้รู้สึกว่าชีวิตต้องทิ้ง ต้องเลือกเรื่องเก็บ ต้องแยกแยะ ผมเรียนรู้จากตรงนั้นเยอะมากเพราะว่าเป็นเรื่องที่ดำดิ่งลงไปเยอะจนดึงตัวเองขึ้นมาไม่ได้

ซึ่งกับเรื่องนี้เจมส์เป็นไหม

เจมส์ : ผมไม่เป็น

เฌอปราง : แต่เฌอเป็น เฌอดิ่งจนเหมือนสร้างกำแพงโดยไม่รู้ตัวกับเมมเบอร์ในวง แต่น้องๆ มาบอกหลังจากปิดกล้องไปแล้ว และเฌอผ่อนคลายมากขึ้น

ตอนนั้นเราไม่รู้ตัวเหรอ

เฌอปราง : ไม่รู้ตัวเลย ตอนนั้นเรายังขึ้นสเตจ เฮฮา ยังมีความสุข ยังยิ้มได้ แต่เราไม่รู้ตัวว่าเราเครียดมากกับการทำงาน แล้วยิ่งบทมันเค้นมากเราก็ยิ่งเครียด มันส่งผลต่อการแสดงด้วย เราเคยถามเจมส์เหมือนกันว่าเคยรู้สึกไม่อยากเข้าฉากแล้วไหมเพราะเรารู้สึกว่ามันทรมาน มันเหนื่อย จนบางทีเราต้องบอกตัวเองว่าเราจัดการอารมณ์ได้ เราปล่อยมันได้ นี่คือการแสดง พอการแสดงจบเราต้องจบ ต้องปล่อยมันทิ้ง ถึงจะพอสามารถดึงตัวเองกลับมา

ตอนนั้นออกมาได้ยังไง

เฌอปราง : ตอนปิดกล้องแล้ว (หัวเราะ) พอเรารู้สึกว่าโอเค จบแล้ว เราค่อยมารู้ตัวทีหลังว่าตอนนั้นเราเครียดไปหรือเปล่า

เครียดเพราะบทหรือเพราะทำงานหลายอย่างไปพร้อมๆ กัน

เฌอปราง : สองอย่างผสมกันเลย แต่พอวางหนึ่งเรื่องได้ปุ๊บมันเหมือนเราค่อยๆ รู้ตัวเอง แล้วก็ค่อยๆ จัดการตัวเองได้มากขึ้น เหมือนกับที่เฌอบอกว่าเราต้องรู้จักปล่อยวางในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง เพราะว่าหลายๆ คนก็น่าจะเจอเรื่องราวแตกต่างกันในชีวิต แต่ถ้ามันเยอะเกินไป เราก็ต้องเลือกที่จะรับฟังหรือเอามาใส่ใจ เลือกที่จะทำ เลือกที่จะทิ้ง เลือกที่จะปวดหัวหรือไม่ปวดหัวกับมัน

ดูเหมือนการเล่นหนังเรื่องนี้จะให้อะไรกับทั้งสองคนเยอะเหมือนกัน

เจมส์ : ให้หลายอย่างเลย ผมรู้สึกว่าเวลาผมเล่นหนังเราจะได้ลองไปเป็นคนอื่น ได้ลองเข้าใจคนว่าระบบวิธีคิดเขาเป็นยังไง แล้วบางทีสิ่งที่เราเข้าใจในตัวเขามันอาจจะมีส่วนที่เราเก็บมาทำความเข้าใจตัวเองได้มากขึ้น ยิ่งเราแสดงมากขึ้น ยิ่งได้ประสบการณ์ ได้ไปประสบกับเรื่องราวและความรู้สึกของคนอื่น มันก็ทำให้เราเข้าใจตัวเองมากขึ้นในทุกๆ เรื่องที่เราเล่น

ที่สำคัญ หนังเรื่องนี้อัพสกิลการแสดงของผมในหลายๆ ด้าน เป็นจุดพิสูจน์การแสดงของผม ผมรู้สึกว่ามันเป็นหลักไมล์หนึ่งอันในการเป็นนักแสดงของผมเลย

เฌอปราง : อย่างแรก เฌอได้ประสบการณ์ทำงานที่ใหม่มากๆ ไม่คิดว่าตัวเองจะได้มีโอกาสมาอยู่ตรงนี้ สองคือได้ปลดล็อกตัวเอง เข้าใจตัวเองมากขึ้น ผ่อนคลายมากขึ้น แล้วก็ใช้อารมณ์เป็นมากขึ้น แสดงออกถึงอารมณ์ได้มากขึ้น เมื่อก่อนเฌอเป็นคนเก็บอารมณ์โดยไม่รู้ตัว กลายเป็นว่าเมื่อก่อนเฌอคิดว่าตัวเองเป็นคนไม่เครียดเลย จนสุดท้ายก็มารู้ว่าเราเครียดโดยไม่รู้ตัว ถ้าเราเริ่มรู้ตัวว่าเริ่มเครียดแล้วนะ มันก็ถึงเวลาที่เราต้องถอนหายใจใส่มันบ้าง

การกดอารมณ์กับการจัดการอารมณ์ต่างกันยังไง

เฌอปราง : ต่างเยอะมาก (เน้นเสียง) เมื่อก่อนบางทีเฌอสงสัยว่าทำไมคนอื่นเขาร้องไห้กับเรื่องนี้แต่เราไม่เห็นจะร้องเลย เหมือนเราไร้ความรู้สึก บางคนบอกว่าเฌอเป็นหุ่นยนต์ที่ทำแต่งาน เฌอก็มาคิดว่าเมื่อก่อนเราก็เป็นจริงๆ เพื่อนๆ ยังบอกเลยว่าแกไม่มีอารมณ์เลยเหรอวะ แกเอาแต่เหตุผลตัดสินใจทุกอย่างจนบางทีก็ดูรุนแรงเกินไป ไม่เห็นอกเห็นใจ คือเราก็เห็นใจแต่บางทีเราก็มีเหตุผลบางอย่างที่ทำให้เราตัดสินใจแบบนั้น

พอเราไม่กดอารมณ์ เราเข้าใจอารมณ์มากขึ้น มันทำให้เราค่อนข้างสบายๆ กับหลายอย่างมากขึ้น เข้าใจคนอื่นมากขึ้นว่าเวลาเขามีอารมณ์แบบนี้เขาควบคุมตัวเองไม่ได้ขนาดไหน ความรู้สึกตอนที่ร้องไห้หนักจริงๆ เขารู้สึกยังไง เพราะเฌอไม่เคยร้องไห้หนักมาก่อนขนาดนี้ในชีวิต ไม่เคยกรี๊ด ร้อง ไม่เคยโกรธ เกรี้ยวกราดอะไรขนาดนี้

เจมส์ : แรกๆ เฌอก็จะมาแบบนิ่ง หลังๆ ก็จะเห็นเฌอมีสีสันในชีวิตมากขึ้น เริ่มรับส่งมุกกับผมได้มากขึ้น เริ่มขำกับมุก แต่ก่อนเล่นไปก็จะ (ทำหน้านิ่ง) ยิ้มนิดหนึ่ง (หัวเราะ)

เฌอปราง : เราแฮปปี้ง่ายขึ้น เมื่อก่อนเราจะไม่ได้ลั้นลาขนาดนี้

เจมส์ : กราฟมันสลับกันเนอะ

แสดงว่าเจมส์คือฝั่งที่นิ่งขึ้น

เจมส์ : คือถ้าเฌอเหมือนเป็นหุ่นยนต์ที่พอผ่านการแสดงแล้วจะเพิ่มความเป็นมนุษย์ เพิ่มฟีลลิ่งเข้าไป ตอนนี้ผมรู้สึกว่าผมเป็นมนุษย์ที่มีฟีลลิ่งเยอะๆ แต่เพิ่มส่วนที่เป็นหุ่นยนต์เข้ามา แต่ผมเชื่อว่าวันนึงมันจะบาลานซ์นะ

ถ้าวันหนึ่งตายไปเป็นวิญญาณ แล้วได้โอกาสเลือกร่างสำหรับกลับมาเกิด จะเลือกร่างไหนกัน

เจมส์ : ถ้าตายตอนนี้ผมอยากเกิดมาอยู่ในร่างที่รวยแบบชีวิตไม่ต้องทำงานแล้ว ผมอยากไปเที่ยว ผมอยากนั่งเจ็ตส่วนตัว กินข้าว ไปนั่งเรือเล่น ไปเล่นโป๊กเกอร์

เฌอปราง : แต่มันจะน่าเบื่อมากเลยนะ เรารู้สึกว่ามันต้องทำอะไรสักอย่าง

เจมส์ : หรือถ้าผมตายตอนนี้ผมอยากจะกลับมาอยู่ในร่างตัวเองแล้วทำทุกอย่างให้มันเสร็จก่อนแล้วค่อยตายอีกครั้ง  (หัวเราะ) ขอเถอะ ขอให้มันเสร็จก่อน! ห้ามตาย! ผมไม่มีทางตายแน่นอนจนกว่าจะทำงานเสร็จ

เฌอปราง : เฌอเป็นประเภทเดียวกัน แต่ค่อนข้างปล่อยวางได้แล้ว แค่ยังติดตรงความคิดว่าสิ่งที่เราทำไปคนจดจำเราได้แค่ไหน เหมือนหนังสักเรื่องที่เขาบอกว่าเราจะตายก็ต่อเมื่อคนลืมเรา ซึ่งมันก็จริง เพราะสุดท้าย สิ่งที่เราทำมันก็ทำให้คนจดจำเรา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องดีหรือไม่ดี

เจมส์ : เป็นความคิดที่เรามีเหมือนกัน รู้สึกว่าก่อนตายอยากเป็นที่จดจำ เหมือนเราทิ้งอะไรที่ดีไว้สักอย่าง

เฌอปราง : มันน่าจะเป็นความต้องการสูงสุดของมนุษย์หรือเปล่านะ การอยากถูกจดจำ ถึงไม่จดจำเรา แต่ขอให้จดจำสิ่งที่เราทำไว้ อย่างน้อยสักคนสองคนก็ได้

 

AUTHOR

PHOTOGRAPHER

ชนพัฒน์ เศรษฐโสรัถ

ช่างภาพนิตยสาร a day ที่เพิ่งมีพ็อกเก็ตบุ๊กเล่มใหม่ชื่อ view • finder ออกไปเจอบอลติก ซื้อสิ ไปซื้อ เฮ่!