วันที่เสาหลักของบ้านล้มลง

ทุกครอบครัวล้วนมีบุคคลที่เปรียบเสมือนเสาหลักของบ้านที่คอยค้ำจุนให้คนในครอบครัวนั้นอยู่ดีกินดี
ยอมลำบากเพื่อให้ครอบครัวมีความสุข
ยอมเป็นทุกข์ในบางครั้งเพื่อให้ครอบครัวได้เจอสิ่งที่ดีกว่า
เสาหลักต้นนั้นจะพยายามรับน้ำหนักที่ค่อยๆ มากขึ้นไปตามกาลเวลา ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองก็ตาม

เช่นกัน
เสาหลักที่ใหญ่ที่สุดของบ้านฉัน เป็นบุคคลที่ทำงานทุกอย่างเพื่อให้คนอื่นๆ
ในครอบครัวได้อยู่สุขสบาย เสาหลักต้นนี้ทำทั้งหารายได้เข้ามาในบ้าน ทำทั้งงานบ้าน
และแน่นอน เสาหลักต้นนี้ยังคอยค้ำจุนน้ำหนักอีกมากโขเพื่อให้เสาน้อยๆ อีก 2 ต้นได้เติบโตขึ้นอย่างมีความสุข ดูแลจนกระทั่งเสาน้อยๆ ต้นหนึ่งเริ่มที่จะแบกรับน้ำหนักได้บ้าง
แม้จะไม่มากนัก
แต่ความสำเร็จก้าวแรกของเสาต้นนี้ก็เป็นกำลังใจให้กับเสาต้นหลักต้นนั้นได้เป็นอย่างดี
เสาต้นนี้คือฉันที่เพิ่งเรียนจบปริญญาตรีมาหมาดๆ และเริ่มทำงานประจำได้ไม่นาน
ส่วนเสาหลักต้นนั้นก็คือแม่ของฉันเอง

แต่เมื่อไม่นานมานี้
เสาต้นเดิมที่เข้มแข็งคอยเป็นทุกสิ่งให้กับครอบครัวกลับล้มครื้นลงไป
โดยไม่มีสัญญาณใดๆ แจ้งเตือนล่วงหน้า ประโยคแรกที่คุณหมอบอกทำให้ฉันแทบทรุดตัวลง
หากไม่ติดว่าฉันต้องคอยประคองเสาโทรมๆ เสาหนึ่งที่ยังคงอยู่ข้างๆ ฉัน…พ่อของฉัน
เข่าของฉันคงลงไปติดพื้นเป็นแน่

“เนื่องจากเลือดที่คั่งอยู่ในสมองของคนไข้นั้นมีมาก หากตัดสินใจผ่าตัด…โอกาสรอดชีวิตของคนไข้คือ 1 เปอร์เซ็นต์ และถ้าหากว่ารอดชีวิต…คนไข้จะต้องเป็นเจ้าหญิงนิทราอย่างแน่นอน”

เสาต้นเดิมต้นนี้
เคยเป็นเสาที่แบกรับน้ำหนักเอาไว้มากมายมาเป็นเวลานานหลายปี บัดนี้…เสาต้นนี้กำลังแตกร้าวลงจนเกือบจะพังทลาย

ไม่มีความหวังเหลืออยู่เลยที่โรงพยาบาลแห่งนี้
ทุกอย่างมันเต็มไปด้วยความมืดมิด สำหรับตัวฉันแล้ว แม่คือทุกอย่าง ตั้งแต่จำความได้
ฉันพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้แม่สบายใจ เรียนให้จบ มีงานมีการทำ
รับผิดชอบตัวเองให้ได้ เพื่อให้น้ำหนักที่อยู่บนเสาต้นหลักนั้นลดลงให้ได้มากที่สุด
เท่าที่เสาต้นใหม่ต้นนี้จะแบกให้ได้ และหากบุคคลที่ฉันทุ่มเทให้
กลับจำต้องล้มลงไปก่อน แสงสว่างที่คอยส่องนำทางฉันมาโดยตลอดกลับต้องดับลงไปก่อนเวลาอันควร
ฉันไม่รู้เลยว่าต้องทำอย่างไรต่อไป

ก่อนที่ฉันและพ่อจะได้ตัดสินใจอะไร
จู่ๆ แสงแห่งความหวังก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง เมื่อญาติสนิทของฉันเสนอให้ไปโรงพยาบาลดีที่สุดที่เขารู้จัก
แต่ด้วยราคาที่แพงจนฉันแบกรับเอาไว้ไม่ไหว มันทำให้ฉันเกือบล้มลงอีกครั้ง

น่าแปลกที่แสงนั้นไม่ได้ดับวูบลงอย่างที่ฉันรู้สึก หนำซ้ำยังคงส่องนำทางลงมาให้ฉันเดินต่อไปอีกด้วย
เนื่องจากญาติของฉันรับรองให้ว่า เงินทุกบาททุกสตางค์ในการรักษาครั้งนี้เขาจะเป็นคนช่วยออกให้ทั้งหมดก่อน จากนั้นต่อไปในอนาคต หากฉันเริ่มมีเงินพอชดใช้ค่าใช้จ่ายในครั้งนี้ได้ค่อยให้เริ่มผ่อนจ่ายเขาทีละเล็ก ทีละน้อย โดยไม่คิดดอกเบี้ยแม้แต่บาทเดียว

คืนนั้นทุกอย่างผ่านไปด้วยดี
แม่ของฉันฟื้นคืนสติได้ดีหลังจากการผ่าตัด แต่ร่องรอยของเหตุการณ์ในครั้งนั้นยังคงมีผลกระทบกับแม่อยู่
แม่ฟื้นตัวมาด้วยความจำเมื่อ 3 – 4 ปีก่อน จำอะไรในช่วงนี้ไม่ได้ จดจำอะไรไม่ได้นาน
ร่างกายด้านซ้ายอ่อนแรงจนขยับเองไม่ได้ แต่คุณหมอก็บอกได้เพียงให้รอเวลาพักฟื้น
เพราะฟื้นขึ้นมาได้ขนาดนี้ในเวลาเพียงไม่กี่วันนับว่าเป็นปาฏิหารย์ครั้งใหญ่เลยทีเดียว

จนมาวันนี้
เวลานั้นล่วงเลยผ่านมาได้เกือบ 2 เดือนแล้ว
คุณแม่ของฉันอาการดีขึ้นเป็นลำดับ เริ่มรับประทานอาหารได้
เริ่มเดินได้โดยใช้เครื่องพยุง และที่สำคัญ ความจำของท่านบางส่วนเริ่มกลับมาบ้าง
แม้ว่าในบางครั้งสติยังคงหลุดลอยอยู่จากโรคทางสมองก็ตามที

แต่ถึงแม้ว่าจะหายดี
ฉันคงไม่อยากให้แม่ของฉันกลับไปทำงานหนักแบบเดิมอีกต่อไป

เหตุการณ์ในครั้งนี้ทำให้ฉันรู้จักคำว่า
‘ครอบครัว’ มากขึ้นกว่าครั้งไหนๆ มันทำให้ฉันได้รู้ความจริงที่ว่า
เวลาที่ฉันลำบาก ใครกันที่ไม่ทอดทิ้งฉันไปไหนไกล ฉันได้สัมผัสสิ่งที่เรียกว่ามิตรแท้หลังจากที่เคยได้ยินเพียงชื่อเสียงมาเป็นเวลานาน
และที่สำคัญ เหตุการณ์ในครั้งนี้ มันกำลังจะทำให้ฉันกลายเป็นเสาหลักต้นใหม่ของครอบครัวในไม่ช้า

ใครอยากเล่าเรื่องวันเปลี่ยนชีวิตของตัวเองบ้าง คลิกที่นี่เลย

AUTHOR