เมื่อ ‘ครอบครัว’ ทำให้ความรักของลูกพังทลาย ปล่อยมือจากพ่อแม่ไม่ได้ แม้อยากใช้ชีวิตของตัวเอง

ห้ามมีแฟนก่อนเรียนจบ
ห้ามอยู่ก่อนแต่ง
ห้ามคบเพศเดียวกัน
ห้ามขัดใจพ่อแม่

อีกสารพัดข้อห้ามด้านความรัก ที่พ่อแม่อ้างว่ามาจากความหวังดี แต่กลับไม่คำนึงถึงความต้องการส่วนตัวของลูกเลยแม้แต่น้อย ทั้งที่บางคนอาจบรรลุนิติภาวะแล้ว หรือเข้าสู่ช่วงวัยที่มีวุฒิภาวะมากพอในการตัดสินใจเรื่องต่างๆ ด้วยตนเอง แต่พ่อแม่ยังคงควบคุมและบงการทุกเรื่องอย่างเข้มงวดโดยไร้เหตุผล ขณะที่บางประเด็นไม่ใช่ปัญหาหรือเรื่องร้ายแรง ตราบใดที่ลูกยังมีความรับผิดชอบในหน้าที่ของตนเอง รู้จักวิธีป้องกัน และไม่สร้างความเดือดร้อนให้ผู้อื่น

การเข้มงวดเกินกว่าเหตุของพ่อแม่ ส่งผลให้ลูกต้องใช้ชีวิตอยู่ในกรอบ และปฏิบัติตามความคาดหวังของพ่อแม่อย่างเคร่งครัด จนไม่สามารถเริ่มต้นความสัมพันธ์กับใคร และมีชีวิตเป็นของตัวเองได้จริงๆ โดยสามารถสังเกตได้ทั้งจากผู้คนใกล้ตัว และเหล่าคนดังในวงการบันเทิง ซึ่งประสบปัญหาความสัมพันธ์ เพราะครอบครัวเป็นสาเหตุสำคัญ

เจ้าของชีวิตตลอดกาล

“เราคบกับแฟนคนนี้ได้จะ 1 ปีแล้วค่ะ เขาเป็นแฟนผู้หญิงคนแรก เราไม่เคยคุยกับผู้หญิงมาก่อน ที่บ้านทราบแค่ว่าคุยๆ กันค่ะ แฟนเราอยากไปทะเลด้วยกันมาก ตัวเราอายุ 27 ปีแล้วค่ะ แฟนอายุ 24 ปี แต่ที่บ้านไม่ปล่อยให้ไปค่ะ แฟนก็นอยจนอยากเลิก แล้วเราเป็นเด็กที่ไม่เคยขัดใจพ่อแม่เลย”

ข้อความข้างต้นเป็นเพียง 1 กรณีจากชุมชน the pillow talks ซึ่งเปิดพื้นที่ให้ผู้ใช้งานแพลตฟอร์ม X แลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องเพศและความสัมพันธ์ แต่ยังมีอีกหลายคนที่ประสบปัญหาความรักเพราะพ่อแม่เช่นเดียวกัน แสดงให้เห็นว่า ครอบครัวไทยจำนวนไม่น้อยที่เข้าข่าย Authoritarian parenting style หรือรูปแบบการอบรมเลี้ยงดูแบบควบคุมหรืออำนาจนิยม 

โดย Diana Baumrind นักจิตวิทยาชาวอเมริกัน อธิบายการเลี้ยงดูรูปแบบนี้ไว้ว่า Authoritarian parenting style คือการอบรมเลี้ยงดูที่พ่อแม่มีความเข้มงวดและเรียกร้องสูง แต่ไม่ตอบสนองความต้องการของลูกโดยสิ้นเชิง ผ่านการตีกรอบตั้งกฎเกณฑ์ หรือใช้อำนาจบังคับให้ลูกปฏิบัติตามอย่างเข้มงวด แต่แทบจะไม่อธิบายเหตุผลหรือที่มาของกฎเหล่านั้น ส่งผลให้ลูกจำเป็นต้องยอมรับว่า คำพูดของพ่อแม่นั้นถูกต้องเสมอ เพราะหากไม่เชื่อฟังคำสั่งของพ่อแม่ ลูกจะโดนลงโทษด้วยวิธีการต่างๆ เช่น ห่างเหิน นิ่งเงียบ ด่าทอ ไปจนถึงการใช้ความรุนแรงทางกายอย่างการทุบตี

หนึ่งในสาเหตุสำคัญที่ทำให้ครอบครัวไทยมีแนวคิดเช่นนี้ เนื่องจากพวกเขามองว่า พ่อแม่เป็นเจ้าของชีวิตลูก หรือลูกคือสมบัติที่พ่อแม่สามารถทำอะไรก็ได้ โดยมักอ้างสิทธิ์ผู้ให้กำเนิด หรือผู้เลี้ยงดู ทำให้ลูกไม่มีทางเลือกอื่น นอกเหนือจากการเชื่อฟังและทำตามที่พ่อแม่ต้องการ จนอาจไม่มีอิสระในการดำเนินชีวิต 

ยิ่งไปกว่านั้น คนที่เติบโตในสภาพแวดล้อมการเลี้ยงดูแบบควบคุมหรืออำนาจนิยม อาจรู้สึกว่าตัวเองเป็นเด็กที่ไร้อำนาจตัดสินใจสำหรับครอบครัว ไม่กล้าต่อรองหรือขัดใจพ่อแม่ รวมถึงยอมให้พ่อแม่บงการชีวิตอยู่เรื่อยไป ไม่ว่าจะโตขึ้นแค่ไหน หรืออายุเท่าไหร่ก็ตาม เพราะพวกเขาถูกกล่อมเกลาเช่นนี้ตั้งแต่เด็ก

มือที่ 3 ในรูปแบบครอบครัว

“ถ้ามีแฟนก็ไม่ต้องมีแม่”
“ถ้าจะไปไหนกับแฟน ต้องพาแม่ไปด้วย”
“แม่เคยทำมากกว่านี้อีก”

หากพ่อแม่ยื่นคำขาดให้ลูกเลือกระหว่าง ‘แฟน’ กับ ‘พ่อแม่’ โดยไม่มีเหตุผลที่สมเหตุสมผล หรือพยายามแทรกกลางความสัมพันธ์ พูดจาเกทับ แสดงตัวว่าเหนือกว่าแฟนของลูก เพียงเพราะพวกเขารู้สึกโดนแย่งความรักไปจากตัวเอง สิ่งเหล่านี้ล้วนไม่ใช่เรื่องปกติอย่างแน่นอน เพราะความสัมพันธ์รูปแบบคู่รัก กับความสัมพันธ์รูปแบบพ่อแม่-ลูกนั้นแตกต่างกัน และไม่อาจนำมาเปรียบเทียบกันได้

อ้างอิงจากคำนิยามของนักจิตวิทยา Kenneth M. Adams พฤติกรรมดังกล่าวถือเป็น การร่วมประเวณีทางอารมณ์แบบแอบแฝง (Emotional Incest) เนื่องจากพ่อแม่ใช้ลูกเป็นเครื่องมือสนองความต้องการทางอารมณ์ที่ควรได้รับจากคู่รัก และละเมิดขอบเขตความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่-ลูก โดยมักเป็นพฤติกรรมที่ไม่ปรากฏชัดเจนต่อภายนอก

Emotional Incest สร้างบาดแผลทางจิตใจให้กับลูกตั้งแต่วัยเด็ก และส่งผลต่อเนื่องจนถึงวัยผู้ใหญ่ เนื่องจากลูกต้องเป็นที่พึ่งพิงทางอารมณ์ให้แก่บุพการี จนอาจพลาดช่วงเวลาสำคัญของวัยตัวเอง เช่น ไม่มีโอกาสไปเที่ยวกับเพื่อนหลังเลิกเรียน เพราะต้องกลับบ้านไปกินข้าวกับพ่อทุกวัน ถ้าไม่ทำเช่นนั้น พ่ออาจจะแสดงออกว่าเศร้าหรือผิดหวัง รวมถึงจำต้องละทิ้งความรักที่มีค่าและเลิกรากับแฟนของตน เพราะพ่อแม่กีดกัน ดังนั้น บาดแผลในวัยเด็กอาจพัฒนาเป็นปมปัญหาที่ยากจะคลี่คลายในวัยผู้ใหญ่

การที่พ่อแม่ยึดติดกับลูกมากจนเกินไป และแสดงอาการ ‘หึงหวง’ ไม่ใช่ ‘ห่วงใย’ นั้นสร้างรอยร้าวและสั่นคลอนความรักลูกไม่มากก็น้อย เพราะนอกจากลูกจะตกที่นั่งลำบาก และอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกแล้ว แฟนของลูกซึ่งเป็นบุคคลภายนอกครอบครัวยังต้องเผชิญกับความอึดอัดใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพราะทุกคนต้องการโลกส่วนตัวสำหรับความรัก เพื่อใช้เวลาด้วยกันตามลำพัง พร้อมทั้งอยากได้รับการยอมรับจากครอบครัวของคนรัก 

หากไม่ว่าจะคบใครก็ต้องเลิกราเพราะพ่อแม่ไม่เข้าใจ ท้ายที่สุด ลูกอาจต้องอยู่คนเดียวโดยไม่มีใครเคียงข้าง นี่หรือคือความรักของพ่อแม่?

ภาระพันผูกจากความกตัญญู

ปฏิเสธไม่ได้ว่า หลายคนต้องกลายเป็น ‘เดอะแบก’ ในครอบครัว ทั้งรับผิดชอบเรื่องค่าใช้จ่าย ดูแลปัญหาสุขภาพของพ่อแม่ พร้อมทั้งรองรับอารมณ์ความรู้สึกของสมาชิกในครอบครัว เหตุผลที่ลูกหลานต้องแบกรับภาระมากมายแบบนี้ เพียงเพราะคำว่า ‘กตัญญู’ ซึ่งฉุดรั้งพวกเขาไม่ให้ก้าวเดินไปข้างหน้าเพื่อใช้ชีวิตของตัวเอง

‘การทดแทนบุญคุณพ่อแม่’ ไม่ใช่เรื่องไม่ดี แต่ถ้าลูกบางคนยังไม่มีความพร้อมด้านกำลังทรัพย์ สภาพจิตใจ และความสามารถในการแก้ไขปัญหาต่างๆ ขณะที่ต้องสร้างครอบครัวของตนเองไปด้วย อาจก่อให้เกิดปัญหาระหว่างคู่สมรสกับพ่อแม่ เช่น ทัศนคติไม่ตรงกัน การรุกล้ำพื้นที่ส่วนตัว การก้าวก่ายบทบาทหน้าที่ พื้นฐานการใช้ชีวิตต่างกัน และค่าใช้จ่ายที่สูงเกินรับไหว ซึ่งส่งผลกระทบเชิงลบต่อความสัมพันธ์คู่รัก และครอบครัวของลูกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

เมื่อครอบครัวมีขนาดใหญ่ขึ้น ปัญหาภายในก็แปรผันตาม ชีวิตคู่จึงไม่ใช่เพียงเรื่องของคนสองคน แต่กลายเป็นเรื่องของ 2 ครอบครัว ดังนั้น ถ้าไม่มีการแก้ไขปัญหาอย่างเหมาะสม หรือข้อสรุปที่ทุกฝ่ายพึงพอใจ อาจนำไปสู่การต้องเลือกว่า จะรักษาชีวิตคู่ไว้ หรือตอบแทนบุญคุณพ่อแม่ ซึ่งเป็นความจริงอันโหดร้ายที่หลายคนเคยพบเจอ

เนื่องจากสังคมไทยปลูกฝังวาทกรรม ‘กตัญญู’ มาเป็นระยะเวลานาน สังเกตได้จากการมีอยู่ของเพลง ‘หน้าที่ของเด็ก’ หรือที่หลายคนจดจำกันในชื่อ ‘เด็กเอ๋ยเด็กดี’ โดยเนื้อเพลงนี้ระบุว่า การยึดมั่นกตัญญูเป็นหนึ่งในสิ่งที่เยาวชนพึงประพฤติจากทั้งหมด 10 ประการ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการหล่อหลอมแนวคิดกตัญญูผ่านสื่อบันเทิงอย่างบทเพลง อีกทั้งยังมีการขัดเกลาผ่านมิติทางสังคมอื่นๆ อีกด้วย เช่น การสั่งสอนจากสถาบันครอบครัว การบรรจุหน้าที่ของบุตรที่ดีในหนังสือเรียนวิชาสุขศึกษา และการนำเสนอของละครไทยที่มุ่งให้ข้อคิดเรื่องนี้ เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม สาเหตุที่ทำให้ ‘ความกตัญญู’ กลายเป็นค่านิยมสำคัญ เพราะสังคมไทยไม่มีสวัสดิการแห่งรัฐสำหรับผู้สูงอายุที่เหมาะสม เช่น เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุกำหนดเพดานสูงสุดเพียง 1,000 บาท/เดือน ซึ่งไม่เพียงพอต่อการดำเนินชีวิตช่วงบั้นปลายอย่างมีคุณภาพ นอกจากนี้ ในระหว่างที่พ่อแม่ยังเป็นหนุ่มสาว พวกเขาก็ต้องเผชิญกับวิกฤติเศษฐกิจไม่ต่างจากในปัจจุบัน ทำให้ไม่มีเงินเก็บมากพอสำหรับใช้ในยามเกษียณ ผลกระทบเหล่านี้จึงกลายเป็นมรดกตกทอดสู่รุ่นลูกรุ่นหลานอย่างที่ไม่มีใครต้องการ 

ปล่อยมือจากพ่อแม่ เพื่อใช้ชีวิตของตัวเอง

ยอม 1 ครั้ง ไม่จำเป็นต้องยอมตลอดไป

ต่อให้เราจะเคย ‘ยอม’ อยู่ในกรอบที่พ่อแม่วางไว้มาโดยตลอด แต่ถ้าคำสั่งของพ่อแม่นั้นไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องเหมาะสม หรือสร้างความทุกข์ใจให้แก่เรามากเกินไปอย่างไม่จำเป็น รวมถึงครอบงำชีวิตและตัวตนของเราจนไม่มีอิสระ ทั้งที่เราพยายามทำหน้าที่ลูกที่ดีเท่าที่คนคนหนึ่งจะทำได้แล้ว มันไม่ผิดเลยที่วันนี้เราจะ ‘เลือกตัวเอง’ ก่อนคนอื่นบ้าง เพราะนี่คือชีวิตของเรา

อย่างไรก็ตาม การพูดนั้นง่ายกว่าการลงมือทำจริงเสมอ เพราะเงื่อนไขชีวิตของแต่ละคนนั้นแตกต่างกัน จึงไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถแก้ไขปัญหาเหล่านี้ และกล้าที่จะปล่อยมือจากพ่อแม่ เพื่อใช้ชีวิตของตัวเองตามที่ใจต้องการ ไม่ว่าวันนี้จะเลือกทางไหน โปรดชื่นชมและขอบคุณตัวเองว่า เราทำดีที่สุดแล้วภายใต้เงื่อนไขที่ยุ่งเหยิงเช่นนี้

อ้างอิง
https://x.com/qcbqcbqcb/status/1853683563344146515?s=53&t=gFVzplObf-6pCwjCIxTMrA

https://digital.car.chula.ac.th/cgi/viewcontent.cgi?article=4556&context=chulaetd

https://psychcentral.com/sex/emotional-incest-when-is-close-too-close#what-is-it

https://www.medicalnewstoday.com/articles/covert-incest?