กรุงเทพฯ คือต่างจังหวัดสำหรับฉัน

หลังจากเดินทางกลับไปพักผ่อนที่จังหวัดบ้านเกิดในช่วงสิ้นปีได้ไม่กี่วัน ก็ถึงเวลาที่หลายคนต้องกลับสู่โลกความเป็นจริงอันโหดร้ายในดินแดนเมืองกรุงอีกครั้ง แม้กรุงเทพฯ จะเป็นมหานครที่ไม่เคยหลับใหล แต่ก็อาจไร้ซึ่งความหมายทางจิตใจสำหรับบางคน เพราะหากความเจริญกระจายสู่ภูมิภาคและท้องถิ่นอย่างเท่าเทียม คนต่างจังหวัดอาจไม่ย้ายมาอาศัยอยู่ ณ ที่แห่งนี้ตั้งแต่ต้น

ท่ามกลางเมืองที่แสนวุ่นวาย คนต่างจังหวัดกลับรู้สึกโดดเดี่ยว เพราะต้องทิ้งครอบครัวของตนเองไว้ข้างหลัง และลาจากบ้านเกิดที่เคยผูกพัน แม้ ‘กรุงเทพฯ’ จะเป็นเมืองหลวง แต่เปรียบเสมือน ‘ต่างจังหวัด’ สำหรับใครหลายคน…

ถึงแม้ว่าสำนักงานราชบัณฑิตยสภา ไม่ได้นิยามความหมายของคำว่า ‘ต่างจังหวัด’ ไว้อย่างเป็นทางการในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน โดยหากพิจารณาจากบริบทการสื่อสารของคนไทยทั่วไป ต่างจังหวัดคือ เขตพื้นที่ปกครองของประเทศที่ไม่ใช่เมืองหลวง อย่างไรก็ตาม ในแง่ความรู้สึกของผู้คน ‘ต่างจังหวัด’ อาจหมายถึงจังหวัดอื่นๆ ที่ไม่ใช่จังหวัดบ้านเกิดของเรา

กรุงเทพฯ ไม่ใช่ ‘บ้านของหัวใจ’ แต่เปรียบเสมือนแหล่งหางานหาเงินเพื่อความอยู่รอดสำหรับคนต่างจังหวัด เนื่องด้วยความเจริญทุกมิติกระจุกตัวอยู่ที่เมืองหลวงเพียงแห่งเดียว เช่น บริการขนส่งสาธารณะที่ทั่วถึง สาธารณูปโภคที่มีมาตรฐาน การศึกษาที่มีประสิทธิภาพ ตลาดงานที่หลากหลาย รวมถึงแหล่งผลงานศิลปะและความบันเทิงที่สามารถเข้าถึงได้ง่าย ขณะที่บางจังหวัดไม่มีแม้แต่น้ำสะอาดให้ใช้ ไม่มีรถสาธารณะให้นั่ง ไม่มีสถานศึกษาที่มีคุณภาพให้เรียน ไม่มีโรงภาพยนตร์ให้เสพความบันเทิง และอีกสารพัด ‘ความลำบาก’ ที่ไม่เคยได้รับการแก้ไขจากภาครัฐ

ความเป็น ‘เอกนคร’ หรือ ‘เมืองโตเดี่ยว’ ของเมืองหลวงไทย สะท้อนถึงความเหลื่อมล้ำในสังคมไว้อย่างชัดเจน แต่ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา คุณภาพชีวิตของผู้คนอีก 76 จังหวัด ยังคงถูกมองข้ามอย่างไม่ใยดี ส่วนกรุงเทพฯ กลับพัฒนาสู่ความเจริญมากขึ้นเรื่อยๆ โดยบีบบังคับให้ผู้คนจากทั่วสารทิศจำต้องหลั่งไหลเข้าสู่เมืองหลวงอย่างต่อเนื่อง เพราะคนไทยไม่มีทางเลือกที่เหมาะสมในชีวิต จึงจำเป็นต้องย้ายมาเรียนหรือทำงานที่นี่ ซึ่งถือเป็นการผลักภาระให้แก่ประชาชนในต่างจังหวัดอย่างไม่เป็นธรรม

ถ้าอยากมีชีวิตที่ดีกว่า ‘กรุงเทพฯ’ คือทางรอดเดียวสำหรับคนไทย

มาฟังเสียงคนต่างจังหวัดที่ยอมละทิ้งชีวิตเก่าในบ้านเกิด เพื่อโอกาสความก้าวหน้าในอนาคต ว่าถิ่นที่อยู่อาศัยปัจจุบันอย่าง ‘กรุงเทพฯ’ มีความหมายต่อพวกเขาอย่างไร และคุณภาพชีวิตในต่างจังหวัดนั้นแตกต่างจากเมืองหลวงมากแค่ไหน?

กรุงเทพฯ คือ House ที่จำเป็นต้องอยู่ ไม่ใช่ Home ที่อยากอยู่

“เด็กต่างจังหวัดต้องถีบตัวเองอย่างถึงที่สุด เพื่อหนีจากบ้านของตนเอง เพราะความเจริญทุกอย่างกระจุกตัวอยู่ที่กรุงเทพฯ”

‘สิรวิชญ์ บุญประสิทธิการ’ พิธีกรรายการ 20 ยังจอย วัย 25 ปี ซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ที่จังหวัดท่องเที่ยวอย่างภูเก็ต แต่ย้ายมาเรียนและทำงานที่กรุงเทพฯ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2561 เนื่องจากมหาวิทยาลัยที่เปิดสอนคณะนิเทศศาสตร์นั้นมีจำนวนไม่มากในประเทศไทย และคิดว่า มหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ น่าจะมีหลักสูตรที่มีคุณภาพกว่าจังหวัดอื่นๆ 

จากสภาพปัญหาในระบบการศึกษา และตลาดแรงงานไทย ส่งผลให้การเรียนคณะนิเทศศาสตร์นั้นมีความเสี่ยงอยู่แล้ว ซึ่งเขามองว่า วิธีลดความเสี่ยงที่ดีที่สุดคือ การเลือกเรียนในคณะนิเทศศาตร์ที่มีชื่อเสียงที่สุดอย่าง นิเทศ จุฬาฯ เพราะน่าจะนําไปสู่อนาคตการทำงานที่มีโอกาสมากกว่า

ข้อดีของการอาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ สำหรับคนต่างจังหวัดคือ การได้ฝึกใช้ชีวิต และพึ่งพาตนเอง ส่วนข้อเสียคือ ‘ค่าใช้จ่าย’ เพิ่มมากขึ้น เช่น ค่าที่อยู่อาศัย ค่าเดินทาง และค่าครองชีพที่สูงกว่า อีกทั้งยังทำให้ความใกล้ชิดภายในครอบครัวลดน้อยลง หรือเกิดระยะห่างในความสัมพันธ์ ซึ่งอาจนำไปสู่ความไม่เข้าใจกัน หรือในกรณีที่ร้ายแรง เช่น สมมติถ้าลูกย้ายมาเรียนที่กรุงเทพฯ แต่แม่เพิ่งป่วยกะทันหัน คำถามคือลูกต้องทำอย่างไรต่อไป หรือจะมีคนดูแลแม่ที่ป่วยไหม?

หลายครั้งที่เขาอยากหลีกหนีความวุ่นวายในเมืองหลวง หรือหยุดพักจากการทำงาน ความรู้สึกคิดถึงจังหวัดภูเก็ตจึงก่อตัวขึ้น เพราะเขาเกิดและเติบโตที่นั่น ทำให้รู้สึกผูกพัน และเชื่อมโยงกับความทรงจำในวัยเด็ก จังหวัดบ้านเกิดจึงเปรียบเสมือนสถานที่ที่ทำให้เขาได้กลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง 

กรุงเทพฯ เป็นบ้านที่เราไม่ได้เต็มใจจะอยู่อย่าง 100% เพราะเหตุผลแรกเริ่มของการย้ายมาอยู่ที่นี่ ไม่ใช่ ‘อยากอยู่’ แต่คือ ‘ต้องอยู่’ ในเมื่อสภาพสังคมบีบบังคับให้เราต้องมาอยู่ที่นี่ เราจึงเรียกกรุงเทพฯ ว่าบ้านที่ดีได้ไม่เต็มปาก”

เขากล่าวว่า คนไทยจำนวนมากไม่ได้เรียกกรุงเทพฯ ว่าต่างจังหวัด อาจเป็นเพราะการปลูกฝังผ่านสังคมที่แบ่งแยกเพียง ‘กรุงเทพฯ’ กับ ‘ต่างจังหวัด’ อย่างไรก็ตาม ตัวเขาเองให้นิยามคำว่า ‘ต่างจังหวัด’ หมายถึงจังหวัดอื่นๆ ที่ไม่ใช่จังหวัดบ้านเกิด 

“ไม่ว่าจะอยากอยู่กรุงเทพฯ หรือไม่ก็ตาม แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า ที่นี่คือที่อยู่อาศัย ณ ปัจจุบันของเรา การอยู่กรุงเทพฯ นานเกือบ 6 ปี ทำให้เรามองกรุงเทพฯ เป็นบ้านมากขึ้น แต่ถ้าต้องเทียบระหว่างกรุงเทพฯ กับภูเก็ต เมืองหลวงแห่งนี้ยังคงเป็นต่างจังหวัดสำหรับเราอยู่ดี

เขาไม่ได้เศร้าเสียใจ เมื่อต้องลาจากบ้านเกิด เพื่อมาเรียนหรือทำงานต่อในกรุงเทพฯ แต่กลับรู้สึกถึงความวุ่นวายที่มากเกินไปในกรุงเทพฯ ทั้งการจราจรที่ติดขัด และผู้คนแปลกหน้ามากมายที่เร่งรีบเดินทางไปคนละจุดหมาย โดยที่ไม่มีปฏิสัมพันธ์หรือรู้จักกันเลย ซึ่งเป็นภาพที่แตกต่างจากวิถีชีวิตของจังหวัดภูเก็ต 

เมื่อถามว่า “คนไทยมีทางเลือกชีวิตที่เหมาะสมไหม?” เขาชั่งใจไปพักหนึ่ง ก่อนจะตอบว่า ในความเป็นจริง ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนของโลก เราก็อาจจะเลือกบ้านของตัวเองไม่ได้มากนัก แต่ถ้าเปรียบเทียบระหว่างประเทศไทยกับประเทศในทวีปยุโรปหรืออเมริกา คนไทยมีทางเลือกในชีวิตน้อยกว่าจริงๆ เพราะความเจริญทุกด้านกระจุกตัวอยู่ที่กรุงเทพฯ เช่น ในบางสายงานแทบไม่มีทางทําที่จังหวัดอื่นได้เลย หรือต่อให้ทำได้ ฐานเงินเดือนก็แตกต่างกันอย่างชัดเจน

สถานการณ์ในไทยคือ ถ้าอยากทำงานสายนี้ คุณต้องอยู่ที่กรุงเทพฯ เท่านั้น ถ้าอยู่จังหวัดบ้านเกิด ก็ต้องยอมทำงานอื่น มันเป็นเรื่องจริงที่น่าเศร้าที่เด็กคนหนึ่งต้องตัดสินใจเรื่องยิ่งใหญ่ตั้งแต่ตอนอายุ 18 ปี ว่าชีวิตหลังจากนี้ เขาจะทํางานอะไร หรือต้องอยู่ที่ไหน ขณะเดียวกัน บางคนอยู่จังหวัดใกล้เคียงกรุงเทพฯ แต่ยอมไม่อยู่บ้านตัวเอง เพื่อให้ใกล้กับสถานที่ทำงานมากขึ้น จะได้เดินทางสะดวก เพราะระบบขนส่งสาธารณะไปไม่ถึงจังหวัดของเขา นำมาซึ่งการเสียเวลา ค่าใช้จ่าย และต้นทุนอีกหลายอย่างในชีวิต

ในทางกลับกัน ประเทศที่เจริญแล้ว บ้านของหลายคนก็อาจจะไม่ได้ใกล้กับสถานที่ทำงานเช่นกัน แต่ด้วยความที่ประเทศนั้นมี ‘ระบบขนส่งสาธารณะ’ ที่มีคุณภาพ และสามารถพาเขาไปที่ทํางานได้อย่างสะดวกสบาย ประชาชนในต่างประเทศจึงไม่จำเป็นต้องเลือกระหว่าง ‘บ้าน’ หรือ ‘งาน’ แบบคนไทย แต่สามารถทำงานที่รักและอาศัยอยู่ในบ้านของตัวเองไปพร้อมกัน

ถ้าความเจริญไม่ได้กระจุกตัวอยู่ที่กรุงเทพฯ จะเลือกย้ายมาอยู่กรุงเทพฯ ไหม? 

“เราตอบคำถามนี้ไม่ได้จริงๆ เพราะมันเหมือนเป็นคำถามที่ไม่มีวันเกิดขึ้นจริง ต่อให้ภูเก็ตจะเป็น 1 ใน 10 จังหวัดที่เจริญที่สุดในประเทศไทย แต่ตั้งแต่เกิดมายังจินตนาการภาพที่ภูเก็ตมีความเจริญทัดเทียมกรุงเทพฯ ไม่ออกอยู่ดี หรือถ้าจินตนาการได้ เราก็จะยิ่งเจ็บปวดมากขึ้นไปอีก เพราะมันคงจะเป็นได้แค่จินตนาการตลอดไป”

เขาเล่าว่า ภูเก็ตถือว่ามีสิ่งอํานวยความสะดวกมากกว่าหลายจังหวัด แต่ปัจจุบันก็ยังไม่มีบริการขนส่งสาธารณะ ซึ่งเป็นคุณภาพชีวิตพื้นฐานของประชาชน เขาจำได้ว่า ช่วงหนึ่งมีคลิปไวรัลที่คนต่างชาติถามคนไทยว่า คุณยอมได้ยังไงที่ให้มีรถไฟฟ้าแค่ในเมืองหลวง? อีกทั้ง คุณภาพด้านการศึกษายังสู้โรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยที่กรุงเทพฯ ไม่ได้ และจังหวัดภูเก็ตมีมหาวิทยาลัย (ที่ไม่ใช่สายอาชีวะหรือราชภัฏ) มีเพียงหนึ่งแห่งคือ มอ. ซึ่งเน้นเฉพาะสาขาท่องเที่ยว อีกทั้งยังไม่มีแหล่งนิทรรศการศิลปะเฉกเช่นกรุงเทพฯ

“มันไม่แปลกที่เมืองหลวงจะเจริญกว่าจังหวัดอื่นๆ แต่สิ่งที่ไม่ปกติในประเทศไทยคือ ช่องว่างความเจริญหรือความเหลื่อมล้ําที่สูงมากเกินไป ขณะที่ในประเทศอื่นอาจจะมีการกระจายอํานาจที่มีประสิทธิภาพกว่านี้”

สาเหตุของความเหลื่อมล้ำในประเทศไทยคือ ปัญหาด้านการเมืองในเชิงโครงสร้าง เช่น การปกครองที่ไม่ค่อยต่อเนื่อง เพราะมีการรัฐประหารเกิดขึ้นบ่อยครั้ง รวมถึงผู้ว่าราชการจังหวัด ซึ่งมาจากการแต่งตั้งจากส่วนกลางอย่างกระทรวงมหาดไทย ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งในท้องถิ่น ผู้ว่าราชการจังหวัดจึงมักไม่ใช่คนในพื้นที่นั้น ส่งผลให้ไม่ได้เข้าใจปัญหาในจังหวัดอย่างแท้จริง หรือใช้เวลานานในการสำรวจปัญหา

นอกจากนี้ การปกครองท้องถิ่นในส่วนอื่น ซึ่งมาจากการเลือกตั้งของคนในพื้นที่ เช่น นายกและสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด ยังมีความไม่ลงรอยระหว่างพรรคเก่ากับพรรคใหม่ เพราะเมื่อมีการเลือกตั้งใหม่หลังครบวาระ พรรคใหม่จะไม่อยากสานต่อผลงานเดิมของพรรคเก่า ซึ่งเป็นคู่แข่งทางการเมือง สุดท้าย สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงเกมการเมืองที่ส่งผลกระทบต่อประชาชน และไม่ได้สร้างประโยชน์ต่อจังหวัดอย่างแท้จริง

เขากล่าวอย่างหนักแน่นว่า อยากให้ความเหลื่อมล้ำในไทยลดน้อยลง แต่เขาก็ไม่รู้ว่าจะต้องแก้ไขปัญหานี้อย่างไร เพราะปัญหาของประเด็นนี้แทรกซึมอยู่ในหลายจุด ทั้งสถานที่ การวางผังเมือง กฎหมาย รัฐธรรมนูญ รวมถึง ‘คนที่มีอำนาจ’ ในการแก้ไขสิ่งเหล่านี้ ซึ่งเป็นปัญหาที่สะสมมาเป็นระยะเวลานาน

“House คือบ้านที่ตัวเราอยู่ ส่วน Home คือบ้านที่ใจเราอยู่ ประเทศที่ดีคือประเทศที่ House และ Home ของทุกคนคือที่เดียวกัน แต่สิ่งนี้กลับยากที่จะเกิดขึ้นในประเทศไทย สำหรับคนต่างจังหวัดแล้ว House ของพวกเราอาจเป็นกรุงเทพฯ แต่ Home ที่แท้จริงคือบ้านเกิดที่ต่างจังหวัด”

กรุงเทพฯ ไม่ใช่บ้าน แต่เป็นเพียงแหล่งหาเงิน

“ณ ปัจจุบัน มองว่า กรุงเทพฯ ไม่ใช่บ้านของเรา เพราะนอกจากจะเช่าที่อยู่อาศัยของคนอื่นแล้ว กรุงเทพฯ ยังเปรียบเสมือนแหล่งหาเงินมากกว่า เราไม่ได้รู้สึกผูกพันกับกรุงเทพฯ ในมุมสถานที่ แต่ผูกพันกับผู้คนกลุ่มเพื่อนที่กรุงเทพฯ ดังนั้น ถ้าวันหนึ่งเรารวยขึ้นมากๆ เราก็อยากกลับไปอยู่ที่จังหวัดบ้านเกิด”

‘ณัฐธิดา คะสีทอง’ นิสิตชั้นปีที่ 4 คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งย้ายจากบ้านเกิดที่จังหวัดขอนแก่น อำเภอเมือง ตำบลสำราญ มาเรียนระดับชั้นอุดมศึกษาที่กรุงเทพฯ เป็นเวลากว่า 3 ปี ซึ่งเพื่อนหลายคนในคณะก็ย้ายมาจากจังหวัดอื่นๆ ด้วยเช่นกัน โดยเธอให้เหตุผลในการย้ายมาครั้งนี้ว่า กรุงเทพฯ มีความเจริญก้าวหน้ามากกว่า หากเรียนที่กรุงเทพฯ น่าจะได้รับโอกาสมากกว่าในต่างจังหวัด

“การกลับไปพบเจอความว่างเปล่า หรือการไม่มีคนที่รักรอคอยอยู่ที่ห้องพัก ทำให้เรารู้สึกเหงา และคิดถึงบ้านที่ต่างจังหวัด เมื่อมีปัญหาในชีวิตเกิดขึ้น เราต้องพยายามแก้ไขและจัดการปัญหาด้วยตนเองทุกอย่าง แต่ถ้าอยู่บ้าน เราจะมีสถานะเป็นลูกของพ่อแม่ ไม่ว่าจะยากลำบากแค่ไหน เพียงแค่กลับบ้านก็รู้สึกหายเหนื่อย เพราะได้อยู่ในพื้นที่ปลอดภัย (Safe Zone)”

ข้อเสียของการอาศัยอยู่ที่กรุงเทพฯ สำหรับคนต่างจังหวัดคือ การห่างไกลครอบครัว ทั้งในแง่ความรู้สึกและพื้นที่ เพราะตอนอยู่บ้านที่ขอนแก่น พื้นที่ถูกแบ่งสัดส่วนชัดเจน เช่น ห้องนอนส่วนตัว ห้องนั่งเล่น ห้องครัว เป็นต้น ขณะที่การอาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ ทำให้ทุกกิจวัตรประจำวันถูกมัดรวมอยู่ในห้องพักขนาดเล็กห้องหนึ่งเท่านั้น รวมถึงต้องอยู่ร่วมกับคนอื่น ส่งผลให้ไม่มีพื้นที่ส่วนตัวหรือเวลาสำหรับตัวเองเลย อย่างไรก็ตาม เธอไม่อาจย้ายออกจากหอพักนิสิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (หอในจุฬาฯ) เนื่องด้วยข้อจำกัดด้านค่าใช้จ่าย

“การอยู่ห่างไกลครอบครัว ทำให้พวกเราไม่ได้พูดคุยกันบ่อยเหมือนเมื่อก่อน บางครั้งเหนื่อยจนไม่มีแม้แต่แรงจะตอบไลน์พ่อแม่ หรือไม่กล้าบอกว่าเรากำลังเผชิญปัญหาอะไร เพราะกลัวพ่อแม่จะเป็นห่วง แต่ถ้าได้อยู่ด้วยกัน พ่อแม่คงรับรู้ว่าชีวิตของเราเป็นอย่างไรได้ง่ายกว่านี้”

เธอมีโอกาสได้กลับบ้านเพียง 2 – 3 ครั้งต่อปี และแต่ละครั้งมีเวลาอยู่กับครอบครัวประมาณ 1 สัปดาห์เท่านั้น เนื่องจากภาระหน้าที่ด้านการเรียน กิจกรรม และการฝึกงาน โดยเมื่ออยู่กรุงเทพฯ เธอต้องพยายามเติบโตเป็นผู้ใหญ่ตลอดเวลา ในทางกลับกัน ตอนเรียนออนไลน์ที่บ้านในช่วงโควิด-19 ระบาดหนัก แม่จะคอยจัดเตรียมอาหารการกินให้เธอเสมอ ฉะนั้น สิ่งที่ขาดหายไปจากการเรียนไกลบ้านคือ การดูแลเอาใจใส่จากครอบครัวที่พร้อมจะสนับสนุนกันและกัน

เรากลั้นน้ำตาไม่ให้ร้องไห้ต่อหน้าพ่อแม่ทุกครั้งที่ต้องลาจากกัน ไม่เคยชินกับความรู้สึกหน่วงในใจสักที แม้จะต้องออกจากพื้นที่ Safe Zone ของตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า”

หากพิจารณาบริบทการใช้คำว่า ‘ต่างจังหวัด’ ของสังคมและสื่อมวลชนส่วนใหญ่จะสื่อถึงความทุรกันดาร ความไม่เจริญ หรือพื้นที่ที่อยู่ห่างไกลเมืองหลวง เพราะจังหวัดที่อยู่ใกล้กรุงเทพฯ จะถูกเรียกว่าปริมณฑล

กรุงเทพฯ คือต่างจังหวัดสำหรับเรา เพราะจังหวัดบ้านเกิดของเราคือขอนแก่น ครั้งหนึ่งเพื่อนเคยถามว่า เราจะเดินทางไปไหน ซึ่งเราไปกรุงเทพฯ แต่ตอบว่าไปต่างจังหวัด เนื่องจากเรานับว่า ทุกจังหวัดที่ไม่ใช่บ้านเกิดคือต่างจังหวัดทั้งหมด”

คนไทยมีทางเลือกในชีวิตที่เหมาะสมไหม?

เธอตอบคำถามนี้ว่า แม้เธอจะเป็นคนตัดสินใจมาอยู่กรุงเทพฯ ด้วยตนเอง แต่ถ้ามองลึกไปถึงเหตุผลตั้งต้นที่แท้จริง เธอย้ายมาเรียนที่กรุงเทพฯ เนื่องจากต้องการโอกาสในอนาคตที่มากกว่า และหวังว่าจะมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ดังนั้น จึงไม่ควรพิจารณาอย่างผิวเผินว่า คนไทยมีสิทธิเลือกได้ว่าจะอยู่ที่ไหน เพราะที่จริงแล้ว ความเหลื่อมล้ำในสังคมไทย ยังคงบีบบังคับให้ผู้คนที่อยากมีชีวิตที่ดีต้องเข้าสู่วงจรทุนนิยมในเมืองหลวง ดังนั้น ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา คนไทยจึงมิได้มีทางเลือกในชีวิตที่เหมาะสม

“สภาพปัญหาในสังคมไทยปัจจุบัน ทำให้เราไม่มีทางเลือกอื่น ถ้าปักหลักอยู่ที่จังหวัดขอนแก่น เราจะทำงานหรือฝึกงานสายงานไหนได้บ้างนอกเหนือจากข้าราชการ เรานึกถึงบริษัทแขนงอื่นไม่ออกเลย แต่ถ้าความเจริญกระจายตัวไปที่ต่างจังหวัดมากกว่านี้ เราคงจะตัดสินใจเรียนและทำงานที่บ้านเกิดตั้งแต่ต้น เพราะค่าใช้จ่ายจะไม่สูงมาก และมีครอบครัวเป็นพื้นที่สบายใจให้แก่เรา”

ในฐานะคนที่เคยอยู่ทั้งในกทม. และต่างจังหวัด คุณภาพชีวิตในทั้งสองจังหวัดนี้แตกต่างกันมาก เช่น บริการคมนาคมสาธารณะในกรุงเทพฯ ทำให้เดินทางไปไหนมาไหนได้อย่างสะดวกสบาย แตกต่างจากจังหวัดขอนแก่น ซึ่งเธอต้องเดินทางด้วยรถส่วนตัวของพ่อแม่ เพราะรถสองแถวไม่มีเวลารับส่งผู้โดยสารที่แน่นอน จึงไม่อาจคาดคะเนระยะเวลาในการเดินทางได้เฉกเช่นรถไฟฟ้าในกรุงเทพฯ

“ในต่างจังหวัด หากไม่มีรถส่วนตัวจะใช้ชีวิตลำบากมาก เพราะไม่มีระบบคมนาคมสาธารณะที่มีคุณภาพ ทำให้หลายคนต้องยอมซื้อรถส่วนตัว ต่างจากในกรุงเทพฯ ที่ต่อให้ไม่มีรถส่วนบุคคล เราก็สามารถเดินทางด้วยตนเองได้อย่างง่ายดาย”

ยิ่งไปกว่านั้น คุณภาพชีวิตพื้นฐานอย่างสาธารณูปโภค เช่น การประปา และการไฟฟ้า ในต่างจังหวัดยังไม่ค่อยมีคุณภาพ บางครั้งก็ไฟดับโดยไม่ทราบล่วงหน้า หรือน้ำประปากลายเป็นสีขุ่น จนครอบครัวของเธอตัดสินใจแก้ปัญหานี้ด้วยตนเอง โดยซื้อเครื่องกรองน้ำมาใช้เอง เพื่อให้คุณภาพชีวิตของครอบครัวดีขึ้น ในทางตรงกันข้าม นับตั้งแต่ย้ายมาอยู่ที่กรุงเทพฯ หอพักของเธอไม่เคยไฟดับ หรือน้ำประปาไม่สะอาดเลยสักครั้ง ทั้งที่หอพักไม่ได้มีเครื่องกรองน้ำด้วยซ้ำ

“ไม่ว่าฝนจะตกหนักแค่ไหน แต่ตอนอยู่กรุงเทพฯ เราไม่เคยต้องกังวลเลยว่าไฟฟ้าจะดับ ซึ่งเป็นความเหลื่อมล้ำที่แตกต่างอย่างชัดเจน เพราะในต่างจังหวัด ไฟฟ้าอาจดับเมื่อไรก็ได้ แม้วันนั้นฝนจะไม่ได้ตกก็ตาม”

สาเหตุของความเหลื่อมล้ำอาจเกิดขึ้นเพราะ กรุงเทพฯ เป็นเมืองหลวง ซึ่งต้องเป็นหน้าเป็นตาให้กับประเทศ จึงมีโอกาสพัฒนาได้มากกว่า นอกจากนี้ ระบบการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครจากเสียงของประชาชน ยังส่งเสริมให้นักการเมืองผู้รับตำแหน่งพยายามแก้ไขปัญหา สร้างผลงานที่ตอบสนองความต้องการของประชาชนในพื้นที่อย่างแท้จริง มากกว่าผู้ว่าราชการจังหวัดที่มาจากการแต่งตั้ง

“เราเองก็คาดหวังว่า พื้นที่ท้องถิ่นของเราจะได้รับการพัฒนามากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ หากการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นมีประสิทธิภาพ คุณภาพชีวิตของคนต่างจังหวัดคงจะดีกว่านี้”

ความเจ็บปวดของคนต่างจังหวัด ไม่ใช่การย้ายถิ่นฐานจากบ้านเกิด หรือการห่างไกลครอบครัว แต่คือการต้องจำยอมก้มหน้าก้มตาดิ้นรนทำงาน เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีกว่า ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่า ตนเองกำลังเผชิญกับความอยุติธรรมในสังคม 

ไม่ว่าคนตัวเล็กตัวน้อยจะพยายามผลักดันปัญหาความเหลื่อมล้ำเพียงใด แต่ก็ไม่อาจเรียกร้องความรับผิดชอบจากภาครัฐในระบอบประชาธิปไตยที่ไม่โปร่งใสนี้ได้เสียที แต่ท้ายที่สุดแล้ว เรายังคงต้องขับเคลื่อนประเด็นนี้ต่อไป เพื่อให้อำนาจอธิปไตยคืนสู่ประชาชนอย่างแท้จริง