วันที่ฉันกลับมารักพ่ออีกครั้ง

ช่วงชีวิตมหาวิทยาลัยของใครหลายคน อาจเป็นช่วงเวลาที่มีความสุข สนุกสนานที่สุด เพราะได้เจอหลายสิ่งหลายอย่างที่ทำให้เราเติบโต ทำให้ชีวิตมีสีสันทั้งเสียงหัวเราะเเละความเศร้าเเทบจะพร้อมๆ กัน ฉันเป็นเด็กคนหนึ่งที่รู้สึกว่าชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยช่างเเสนอิสระ เพราะได้ออกมาใช้ชีวิตด้วยตัวเอง ได้อยู่กับเพื่อนๆ จนในบางครั้งเเทบจะลืมไปว่าควรกลับบ้านบ้าง

ที่ฉันไม่ค่อยอยากกลับบ้านเท่าไหร่ เพราะไม่อยากเจอพ่อที่ชอบดื่มเหล้าจนเมาเสมอๆ เพราะหลังจากที่พ่อกลับมาจากสงขลา ถ้าวันไหนไม่ออกไปขายของก็จะเมาทั้งวันเป็นกิจวัตร บางวันดื่มหนักก็จะเพ้อถึงเเม่ ซึ่งสาเหตุนี้ที่ทำให้พ่อยังเสียใจอยู่ทุกวัน พ่อกับเเม่เเยกทางกันเเบบที่ฉันเเละน้องก็ยังงงว่าอะไรคือสาเหตุที่แท้จริง ใครเหรอที่ไม่ดี หรือเขาทั้งสองแค่อยู่กันไม่ได้ ทำให้พ่อฝังใจกลายเป็นคนที่ติดเหล้าหนักขึ้นทุกวัน และจากวันที่เเม่ไป พ่อทำใจไม่ได้ เลยจากบ้านไปอยู่ที่สงขลานานถึง 3 ปี มีติดต่อมาบ้างเป็นบางช่วง ส่งเงินมาให้ใช้บ้าง ฉันในตอนนั้นก็เป็นห่วงพ่อ เพราะทุกครั้งที่ท่านติดต่อมาถ้าไม่เป็นเรื่องที่จะส่งเงินมาให้ ก็จะเป็นเรื่องที่ให้ฉันส่งยาที่เคยกินประจำๆ ไปให้ ซึ่งเป็นยารักษาโรคทั่วไป ฉันไม่ค่อยได้ถามว่าทำไมพ่อถึงไม่ซื้อยากินเอง เพราะในใจนึกว่าคงยุ่งหรือไม่ก็คงเมาจนไม่มีเวลาเท่านั้น

จนตอนฉันขึ้นปี 4 พ่อตัดสินใจกลับมาอยู่บ้าน ฉันดีใจนะครั้งเเรกที่เห็นพ่อ หลังจากไม่ได้เจอกันเกือบ 3 ปีเต็ม พ่อดูเเก่ขึ้นมาก ผมขาวโพลน ผิวหน้าผิวตัวดำคล้ำ ร่างกายผอมโทรม ฉันอยากจะร้องไห้ตรงนั้นเลย เเต่ก็ไม่อยากให้พ่อเห็นน้ำตา พ่อลำบากแน่นอนที่ไปอยู่ที่นั่น ฉันจึงได้เเต่ร้องไห้อยู่ในใจ เลยบอกกับพ่อว่า พ่อต้องหยุดดื่มเหล้าบ้างนะ เดี๋ยวไม่สบาย พ่อก็ยิ้มเเละรับฟังเเต่ก็ไม่ได้ปฏิบัติหรอก พ่อบอกเสมอว่าไม่เป็นไร ตายยาก ถ้าจะตายก็คงตายไปนานเเล้ว ฉันก็ได้เเต่ทำใจกับคำพูดนั้น

ก็คงไม่มีใครคิดหรอกว่าสิ่งนั้นจะมาอย่างรวดเร็ว มันไม่ถึงกับตายเเต่ก็เหมือนตายทั้งเป็นสำหรับพ่อ ในคืนที่ฉันเข้าค่ายลูกเสือกับทางคณะ ช่วงเวลาเกือบตี 2 ซึ่งพ่อไม่น่าจะโทรมาหา ฉันมองดูโทรศัพท์ด้วยความแปลกใจเเต่ก็รับสาย คนที่อยู่ในสายไม่ใช่พ่อแต่เป็นป้าข้างบ้านที่รีบบอกว่าตอนนี้พ่ออยู่โรงพยาบาลด้วยอาการเส้นเลือดในสมองตีบทำให้เป็นอัมพฤกษ์ทันที ฉันตกใจมากในตอนนั้น ร้องไห้ออกมาเพราะทำอะไรไม่ถูก เพื่อนช่วยกันพาฉันไปเรียกครูฝึกให้พาออกจากค่ายเเล้วไปโรงพยาบาลซึ่งอยู่ไม่ไกลจากค่ายนัก เพื่อนฉันที่มาด้วยก็คอยปลอบว่าใจเย็นๆ อย่าร้องไห้ อาจไม่เป็นอะไรมากก็ได้

พอถึงโรงพยาบาล สภาพของพ่อในตอนนั้นเเย่มากจริงๆ พ่อกำลังจะกลายเป็นคนพิการ พ่อกำลังจะเดินไม่ได้ กำลังจะพูดไม่ได้ ฉันได้เเต่ร้องไห้ฟูมฟาย เเม้เเต่พ่ออยากจะพูดกับฉัน พ่อยังพูดไม่ได้เลย ได้แต่ขยับปากแต่ไม่มีเสียง ฉันรอหมออยู่นานเพราะเป็นโรงพยาบาลของรัฐ อะไรๆ ก็ช้าเพราะคนไข้เยอะ คืนนั้นฉันไม่ได้นอนเลยจนเกือบเที่ยงวัน จึงมีญาติๆ มาเปลี่ยนเฝ้าไข้

ฉันกลับมานอนพักและคิดทบทวนเรื่องพ่อ วินาทีนั้นสับสนไปหมด ต่อจากนี้จะทำอย่างไร ฉันซึ่งขณะนั้นกำลังจะขึ้นปี 5 กำลังจะฝึกสอนในโรงเรียนที่ใหญ่มากที่ไม่รู้ว่าต้องเจอกับอะไรบ้าง ฉันซึ่งไม่รู้ว่าจะดูแลคนป่วยอย่างไรเพราะไม่เคยมีคนเจ็บป่วยอยู่ในบ้าน ฉันรู้อย่างชัดเจนเเล้วว่าชีวิตที่เคยอิสระเหมือนนกที่โบยบินมันกำลังจะหายไปอย่างรวดเร็วแค่พริบตาเดียว

เมื่อพ่อกลับมาพักฟื้นที่บ้าน บ้านที่เคยเป็นบ้านก็กลายเป็นเหมือนห้องเฝ้าไข้คนป่วย มีเตียงคนไข้เก่าๆ ที่ขอมาจากโรงพยาบาล ถุงยาขนาดใหญ่มียาสารพัดในนั้น ที่หัดเดินสำหรับทำกายภาพซึ่งฉันคิดว่าอีกนานทีเดียวกว่าพ่อจะได้ใช้ ผ้าอ้อมผู้ใหญ่ คอมฟอร์ท 100 และอะไรอีกหลายอย่างที่เกี่ยวกับคนป่วย ดูกี่รอบๆ ก็ไม่ชินตาเลยสักนิด ฉันนั่งอยู่ท่ามกลางความกดดัน หันมองทางพ่อ ใจก็นึกโกรธว่าเป็นเพราะตัวพ่อเองที่กินเหล้าหนักจนตัวเองต้องมาเป็นเเบบนี้ เเล้วทำให้ใครต่อใครหลายคนเดือดร้อน

ระยะเวลาสามเดือนเเรกเป็นอะไรที่เเสนทรมานสำหรับฉันเเละพ่อ เพราะต้องปรับตัว ฉันต้องตื่นเช้ามากประมาณตี 4 ต้องเตรียมข้าวเตรียมยาทั้ง 3 มื้อไว้ให้พ่อ ทิ้งฉี่ เตรียมน้ำไว้ให้แปรงฟันล้างหน้า เสร็จแล้วก็รีบอาบน้ำแต่งตัวไปขึ้นรถไฟเพื่อไปฝึกสอนในตัวเมือง ในช่วงเวลานั้นจะเป็นแบบนี้ทุกวัน ส่วนพ่อเองก็รับสภาพตัวเองไม่ได้เลย เพราะจากคนที่เคยแข็งแรงแล้วมาเป็นแบบนี้กะทันหันมันก็ยากที่จะทำใจ แรกๆ ก็มีโวยวาย เเละมีอาการลงเเดงเนื่องจากไม่ได้ดื่มเหล้า ฉันเองก็มักมีอาการป่วยทางอารมณ์ เพราะบางวันก็เหนื่อยจากโรงเรียนแล้วต้องมาเหนื่อยกับพ่ออีก ฉันรับสภาพไม่ได้และมักจะมีปากเสียงกับพ่อเสมอ หลายครั้งพูดจาไม่ดีใส่ หลายครั้งไม่คุย หลายครั้งทำอะไรให้พ่อแบบส่งๆ ไป และครั้งที่ทำให้ฉันรู้สึกว่า ฉันเป็นคนที่เเย่ที่สุดเลยเเละฝังใจจำ คือวันที่หงุดหงิดกับคำพูดอะไรไม่รู้ของพ่อสักอย่างเเล้วต้องอุ้มพ่อลงจากเตียง เพราะว่าโมโหมากจึงอุ้มลงมาเเล้ววางลงพื้นอย่างเเรง จนพ่อพูดว่า “นี่พ่อนะ เจ็บนะ” เเล้วพ่อก็ร้องไห้ออกมา นาทีนั้นฉันรู้สึกทันทีว่าตัวฉันนี่โคตรเเย่เลยที่ทำกับพ่อแบบนั้น

หลังจากวันนั้น ฉันคิดเสมอว่าไม่ควรทำแบบนั้นอีก เพราะพ่อก็คือพ่อเรา แต่ก่อนเขาจะเป็นอย่างไร มันก็คือเรื่องที่ผ่านเลยไปแล้ว ในตอนนี้เขาเป็นคนป่วยทั้งทางใจและทางกาย ถ้าเป็นเราล่ะ ลองนึกดูสิ ถ้าต้องมาเป็นเเบบนี้อย่างกะทันหันเราก็อาจรับสภาพตัวเองไม่ได้เหมือนกัน วันเวลาผ่านไปในเเต่ละวัน พ่อก็ดีขึ้นตามลำดับทั้งสภาพจิตใจเเละสภาพร่างกาย เริ่มยิ้มได้ หัวเราะได้เสียงดังขึ้น ช่วยเหลือตัวเองได้มากขึ้น

ตัวฉันเองก็ได้เรียนรู้แล้วว่า หน้าที่ที่ใครๆ บอกกันว่าต้องตั้งใจเรียน พอเรียนจบแล้วทำงาน หาเงินได้แล้วค่อยเลี้ยงดูพ่อแม่ สำหรับฉันมันคงไม่เป็นแบบนั้น เพราะฉันคิดว่าถ้าเราทำอะไรได้ เราก็ต้องทำก่อน เราจะรอให้ถึงเวลาที่เราคิดว่าสมควรบางครั้งมันก็อาจจะสายเกินไป การที่เราดูแลคนที่เรารักให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ แม้จะยากลำบากแต่เราก็สมควรที่จะทำมัน จริงที่ว่าเราไม่รู้หรอกว่าต้องทำอะไรจนกว่าเราจะประสบพบเจอมัน เราไม่มีทางรู้หรอกว่าวันนี้จะดีหรือพรุ่งนี้จะร้าย เเค่เราต้องใช้ชีวิตไป ดำเนินไป เจอปัญหาก็หาทางเเก้ไข ทุกสิ่งมีทางออกเสมอ เรารู้สึกเจ็บปวดได้ เหงาได้ ร้องไห้ได้ เคว้งคว้างได้ เเต่อย่าท้อถอย โลกเเห่งความเศร้ามันไม่น่าอยู่หรอก เราอยากเศร้าตายอย่างนั้นเหรอ ถ้าเราไม่อยากย้ายโลกไปอยู่โลกแห่งความเศร้าที่รอให้เราก้าวเข้าไปตลอดเวลา เราจึงควรสดใสเเละมีความหวัง มีพลังอยู่เสมอ

อยากขอบคุณคนดีๆ ทุกคนที่คอยช่วยเหลือฉันในยามที่ยากลำบาก

ขอบคุณอาจารย์คนสวยคนหนึ่งที่รักและห่วงใยฉันเสมอแม้ท่านจะไม่เคยเอ่ยปากว่ารัก

ขอบคุณเพื่อนรักทุกคนที่ไม่เคยทิ้งกันไปไหน

ขอบคุณเเม่ที่ยังไม่เคยลืมลูกๆ ทุกคน

เเละขอขอบคุณช่วงเวลาที่ผ่านมาที่ทำให้ฉันกลับมารักพ่อได้อีกครั้ง มันช่วยให้ฉันเติบโตขึ้นมากจริงๆ หากย้อนเวลากลับไปนึกถึงสมัยที่ฉันกำลังหัดเดิน เวลาที่ฉันหกล้มเเล้วร้องไห้ พ่อก็คงเข้ามาอุ้มแล้วปลอบโยน ถึงตอนนี้พ่อที่กำลังหัดเดินใหม่อีกครั้ง ถ้าท่านจะล้มลง ฉันก็พร้อมจะเข้าไปอุ้มและปลอบท่านเหมือนกัน

สุดท้ายฉันอยากบอกว่า ในห้วงเวลาที่เลวร้ายที่สุด ขอให้หัวใจของเราจงเข้มเเข็ง แล้วทุกสิ่งจะผ่านไปได้ด้วยดี เชื่อสิ…

AUTHOR