วันที่ความเจ็บปวดเดินเข้ามาหาผม

ผมกำลังเดินทางกลับบ้านในช่วงปิดเทอมฤดูร้อนพร้อมกับวางแผนว่าจะกลับไปนอนชิลล์ๆ
เล่นเกมมันๆ อ่านหนังสือเบาๆ เที่ยวเล่นอีกนิดหน่อยตลอดวันหยุดยาว 2 เดือน
ตามประสาวัยรุ่นโลกส่วนตัวค่อนข้างสูงคนหนึ่ง

แต่แล้วสิ่งที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยในชีวิตผมก็ได้บังเกิดขึ้น
แผนของผมล้มไม่เป็นท่า แถมกลายเป็นช่วงเวลาที่เปลี่ยนความคิดและร่างกายผมไปจากเดิม…ตลอดกาล

เช้าวันที่
19 เมษายน 2556 ผมลืมตาตื่นขึ้นมาพร้อมกับอาการปวดหลังเล็กน้อย
แต่ไม่ได้สนใจมันสักเท่าไรนักเพราะเดี๋ยวก็คงหายไปเอง แต่ผมคิดผิด ผ่านไป 3
วัน ผมกลายเป็นคนอัมพาตครึ่งตัวบน ไม่สามารถขยับตั้งแต่คอลงมาจนถึงเอวได้ ยกเว้นช่วงศอกจนถึงนิ้วมือเท่านั้น

‘เฮ้ย! กูเป็นอะไรวะเนี่ย’ คำถามดังขึ้นในหัว ผมพยายามจะขยับตัวจากท่านอนหงายลุกขึ้นมานั่ง แต่ในเสี้ยววินาทีที่กำลังขยับตัวขึ้นมาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ความเจ็บปวดรวดร้าวจากทั่วทั้งหลังและหน้าท้องก็แห่กันรุมเข้าเล่นงานจนผมสะดุ้งและทำหน้าหยี ตาปิดสนิทแบบไม่ทันตั้งตัว มันเจ็บเป็นบ้า
เกิดอะไรขึ้นเนี่ย!? ทำไมเราลุกขึ้นจากเตียงไม่ได้ เมื่อคืนยังปกติอยู่เลย

สงสัยร่างกายคงอยากจะบอกอะไรผมสักอย่างผ่านความเจ็บปวดนี้แน่ๆ
และคงมีแต่ผู้เชี่ยวชาญด้านร่างกายที่จะให้คำตอบผมได้
ไม่รอช้า พ่อกับแม่ได้พาผมไปโรงพยาบาลทันที

ผมได้พบกับผู้เชี่ยวชาญด้านร่างกายและผ่านกระบวนการพูดคุย ตรวจเลือด เอ็กซเรย์ ทำ MRI ฉีดสีแบบพิเศษเข้าหลอดเลือดและ
MRI อีกครั้ง
ผมทำตามทุกๆ อย่างด้วยความหวังจะได้รู้คำตอบว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของผมกันแน่

“ผมยังบอกไม่ได้นะครับว่าคุณเป็นอะไร
ผมก็เพิ่งเคยเจอเคสแบบนี้ครั้งแรกเหมือนกัน” ผู้เชี่ยวชาญพูด

‘ฉิบหาย แล้วกูจะรอดมั้ยเนี่ย’ ผมไม่ได้พูด

หลังจากนั้น ผมได้แอดมิทที่โรงพยาบาลและอยู่ห้องผู้ป่วยชายรวมเป็นเวลาเกือบ
1 เดือนเต็ม แน่นอนผมยังคงมีร่างกายที่เหมือนเป็นอัมพาตครึ่งตัวบนอยู่ ขยับเมื่อไหร่เหมือนโดนเข็มแทงทั่วทั้งร่างเมื่อนั้น
ผมได้แต่นอนอยู่เฉยๆ กระดิกนิ้วมือนิ้วเท้าวนไปวนมา วันแล้ววันเล่า คืนแล้วคืนเล่า
ก็ไม่มีอะไรดีขึ้นจนเริ่มจะสิ้นหวังเล็กๆ รู้สึกเหมือนเป็นคนที่กำลังนอนรอวันตายยังไงยังงั้น

ทุกๆ วันที่นอนอยู่โรงพยาบาล ผมได้คุยกับตัวเองบ่อยๆ เพราะไม่รู้จะทำอะไร
คำถามค่อยๆ ผุดขึ้นมาในหัวว่า ‘เราเกิดมาทำไม
ทำไมต้องเป็นเรา ถ้าตายแล้วเราจะไปไหน ที่ผ่านมาเราทำอะไรมาบ้าง
เรายังไม่ได้ทำอะไรให้พ่อแม่ได้ภูมิใจสักเรื่องเลย เราจะมาตายไปแบบนี้จริงๆ เหรอเนี่ย’ ผมอยากจะหาคำตอบมันซะทุกคำถาม
แต่ก็ทำไม่ได้ เพราะร่างกายที่เปลี่ยนไปและความเจ็บปวดที่ถาโถมเข้ามา

ห้องผู้ป่วยรวมกลายเป็นห้องนอนของผม
มันเป็นโลกที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน โลกที่เต็มไปด้วยคนที่เป็นโรค มันคงจะหดหู่
มีความเศร้าลอยอยู่ในบรรยากาศ มีคนโอดครวญด้วยความเจ็บปวด และผู้ดูแลอารมณ์ร้อนแน่นอน
ผมคิดอย่างนั้นจริงๆ

และเป็นอีกครั้งที่ผมคิดผิด มันกลับกลายเป็นเรื่องน่ายินดีมากๆ ที่ผมได้อยู่ที่นั่นในเวลานั้น ในเวลาที่ผมกำลังสิ้นหวังไม่รู้ว่าจะเป็นยังไงต่อไป
ในเวลาที่ไม่รู้ว่าทำไมผมถึงกลายเป็นแบบนี้ ในเวลาที่แสนจะเจ็บปวดทรมาน ผมได้มองไปรอบๆ
ได้เห็น ได้ฟังคนที่มีอาการแย่กว่าผมหลายๆ คน พวกเขากำลังพยายามจะมีชีวิตอยู่
พยายามเอาชนะโรคร้าย และดูช่างมีความหวังเหลือเกิน

ผมเริ่มรู้สึกมีความหวังขึ้นมาอีกครั้ง
เพราะว่า ‘คนที่แย่กว่าเราเขายังพยายามเลย
แล้วทำไมเราไม่ลองพยายามดูบ้างล่ะ’

หลังจากวันนั้นผมบอกกับตัวเองว่า ‘เราต้องไม่ตาย
จะตายไปแบบนี้ไม่ได้ ยังมีอีกหลายอย่างที่อยากทำ อยากทำให้พ่อแม่ภูมิใจ อยากทำให้ตัวเองไม่เสียดายอะไรก่อนที่จะตายจากโลกใบนี้ไป’ แล้วอาการของผมก็ค่อยๆ ดีขึ้นเรื่อยๆ
แต่แน่นอน มันไม่ได้ดีขึ้นแบบทันทีหรอกนะ ต้องผ่านการสู้รบกับความเจ็บปวดและสู้กับใจตัวเองอย่างโชกโชนเลยทีเดียว

วันนี้ ความเจ็บปวดนั้นได้เดินจากไปแล้ว
ผมกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติแล้ว ผมอยากขอบคุณความเจ็บปวดในวันนั้นมากเหลือเกินที่ทำให้ผมได้คุยกับตัวเองมากขึ้นและเปลี่ยนแปลงความคิดผมให้กลายเป็นคนที่เปิดรับทุกโอกาสที่ผ่านเข้ามา
เราไม่รู้หรอกว่าพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้น ถ้ามีโอกาสทำอะไรได้ก็เลือกที่จะทำดีกว่า
ก่อนที่จะไม่มีโอกาสได้ทำอีกต่อไป

ขอบคุณความเจ็บปวดที่เดินเข้ามา
แล้วเดินจากไปด้วยความยินดี และทิ้งสิ่งดีๆ ไว้ในความทรงจำ

ใครอยากเล่าเรื่องวันเปลี่ยนชีวิตของตัวเองบ้าง คลิกที่นี่เลย

AUTHOR