วันที่ฉันไม่มีตัวตน

ฉันเป็นนักเขียน

ฉันเคยเป็นนักออกแบบ

ฉันสร้างบ้านดินของตัวเอง

ฉันเคยลงนิตยสาร

ฉันเคยออกทีวี

ฉันเคยเป็นวิทยากร

ฉันเป็นลูกคนโต

ฉันมีครอบครัวและหมาแมวที่น่ารัก

แล้ววันหนึ่งฉันก็ตัดสินใจมาอยู่ออสเตรเลีย
1 ปี ด้วยวีซ่า Work and Holiday ฉันเข้าใจว่าฉันพึ่งพาตัวเองได้
ฉันเชื่อเสมอว่าฉันแข็งแรงพอทั้งร่างกายและจิตใจที่จะผ่านเหตุการณ์ต่างๆ ได้ ฉันพูดบอกคนอื่นและตัวเองเสมอว่าเราไม่ควรเสียเวลาทำในสิ่งที่เราไม่มีความสุข
‘ชีวิตมันสั้น ใช้มันให้มีความสุขสิ
เงินไม่ใช่ทุกอย่างของชีวิต’ ฉันเชื่อแบบนั้น
และชีวิตที่ออสเตรเลีย 1 ปี ฉันจะทำในสิ่งที่ฉันรัก
ฉันรักในการวาดรูป การบันทึก ฉันจะทำมัน ฉันจะมีความสุขในทุกวัน
และต่อยอดสิ่งที่ทำไว้แล้วที่กรุงเทพฯ ให้ดีขึ้นไปอีกในชีวิต 1 ปีที่นี่

หนึ่งเดือนแรก ฉันเป็นนักท่องเที่ยว

เดือนที่สอง
ฉันต้องเริ่มเป็นผู้อาศัย เงินที่เตรียมมาและใช้ไปในช่วงเดือนแรกเริ่มหมดไป เหลือน้อยลงทุกที
การนั่งอยู่บ้านวาดรูปเริ่มไม่ใช่คำตอบของความสุข สิ่งที่ควรทำคือทำ Resume เพื่อไปยื่นสมัครงาน
ทั้งที่ยังคิดภาพไม่ออกว่างานประเภทไหนที่เราอยากทำมันจริงๆ จูงหมาเดิน? วาดภาพประกอบนิตยสาร? ขายของที่ Art market? ทุกอย่างที่คิดได้กับความเป็นไปได้ยังไม่เชื่อมโยงกันเท่าไหร่
สิ่งที่พอจะเป็นไปได้ที่สุดแล้วก็คือ ’ทำงานในคาเฟ่’

ฉันยื่นใบสมัครไปทุกร้านเท่าที่จะทำได้
เป็นความรู้สึกที่ยื่นไปเพราะอยากได้งาน แต่ถ้าถามว่าเป็นงานที่อยากทำมั้ย ก็ตอบแบบไม่ต้องคิดเลยว่า
’ไม่’ มีร้านหนึ่งเรียกไปลองงาน ฉันดีใจที่ได้รับโอกาสแรก
คืนนั้นพยายามบิลด์ให้มันเป็นเรื่องน่าตื่นเต้น น่าลองทำ และเตรียมตัวให้พร้อมที่สุด
นอนแต่หัวค่ำ เพื่อจะทำให้ทุกอย่างออกมาดีที่สุด ร้านนี้เป็นร้านกาแฟเล็กๆ ในเมือง
เมื่อไปถึง มีพนักงานในร้านอีกสองคนที่เป็นคนญี่ปุ่น เราก็อุ่นใจตั้งแต่แรกเห็นเพราะเป็นคนเอเชียเหมือนกัน
และคนญี่ปุ่นก็เป็นคนน่ารัก แต่สงสัยสองคนนี้จะดูละครไทยมากไปหน่อย
พอเราทำอะไรผิดพลาด ก็มีกล้องสองหันไปหัวเราะคิกคักๆ แถมเจ้าของร้านก็ดูไม่เป็นมิตรด้วย

คำพูดดูถูกในความไม่รู้และไม่คล่องในชั่วโมงแรกของการทำงาน
กับเพื่อนร่วมงานกล้องสอง มันเป็นประสบการณ์การทำงานครั้งแรกในเมลเบิร์นที่แย่มาก
วันนั้นกลับบ้านมาด้วยคำถามที่ถามตัวเองซ้ำๆว่า ‘เรามาทำอะไรที่นี่? ชีวิตเราที่ไทยก็ดีอยู่แล้วนี่ บ้านเราไม่ได้จนขนาดนั้นนะ’ ทุกเหตุผลที่พอจะคิดเข้าข้างตัวเองได้มันออกมาทั้งหมด และไม่ได้ช่วยให้สภาพจิตใจตอนนั้นดีขึ้นเลย ในช่วงวันนั้น
ไม่ใช่สิ อาทิตย์นั้น แค่การดูรูปหมาแมวที่คนที่บ้านส่งมาให้ผ่าน line หรือรูปเพื่อนในเฟซบุ๊กที่เลิกงานแล้วไปกินข้าวด้วยกัน รูปธรรมดาๆ เหล่านี้ก็ทำให้น้ำตาไหลออกมาไม่หยุด
คำถามต่อมาที่เกิดขึ้น ‘กลับบ้านเราดีมั้ย
ที่นี่ไม่ใช่ที่ของเราหรอก’ เมื่อปล่อยให้ตัวเองจมอยู่ในอารมณ์นั้นสักพัก
มันเหมือนได้เห็นตัวเองว่าจริงๆ แล้วเราอ่อนแอกว่าที่เราคิดเยอะ

ระหว่างนั้น
ฉันก็ไปลองงานร้านเค้กอีกร้านหนึ่ง ร้านนี้โชคดีหน่อยคือฉันเข้าไปแทนเพื่อนที่กำลังจะกลับไทยพอดี
ทำให้ได้ไปเสียบแทนโดยที่ลุงเจ้าของร้านไม่ได้ขอดูแม้แต่ resume เราด้วยซ้ำ
ป้าเจ้าของร้านถามแค่ว่าเราชื่ออะไร เราตอบไปว่าชื่อแพร เขาบอกว่าชื่อเรียกยากจัง
ขอเรียกว่าแพมได้มั้ย?

คำถามสั้นๆ นี้ดูเหมือนจะไม่มีอะไร
แต่มันกลับดึงให้ฉันคิดทบทวน

ฉันกลับมามองตัวเองว่า
ที่ผ่านมาที่เราทุกข์ จิตใจไม่เป็นสุข เป็นเพราะตัวเรามีอัตตามากไปไหม ตัวตนที่ถือไว้แบกไว้หนักไปไหม
มันหนักจนเรามีข้ออ้างในทุกอย่างที่เกิดขึ้น ลองวางมันลงสิ เราก็เป็นแค่คนธรรมดา
ที่ไม่ได้ทำงานคล่องไม่ได้ว่องไว เป็นคนธรรมดาที่ไม่ได้ชงกาแฟเก่งอะไร
เรามาลองวางตัวตน แล้วตั้งใจทำสิ่งตรงหน้าให้ดีขึ้นมั้ย ลองอยู่กับปัจจุบันดู
ประวัติเรา เขายังไม่อยากรู้เลย ถ้าเรียกชื่อเราไม่เข้าปาก เขายังขอเปลี่ยนเลย
แล้วจะไปติดอะไรกับสิ่งที่เราเคยเป็น เคยมี ทำงานที่นี่ไม่ว่าเราจะเป็นใครมาจากไหน
ขอแค่มาทำงานตรงเวลา ชงกาแฟได้ เสิร์ฟเค้กให้ถูกต้อง เท่านั้นพอ

หลังจากวันนั้น
ตอนนี้ฉันยังคงอยู่ที่เมลเบิร์นโดยที่ชีวิตไม่ได้ทำงานที่รัก
ไม่ได้ต่อยอดอะไรให้กับหน้าที่การงานในอนาคตได้เลย เป็นงานที่ทำเพื่อเงินเท่านั้น ฉันแค่ตื่นเช้ามาทำงาน
เลิกงานตอนเย็นกลับบ้านไปทำอาหาร หาเมนูใหม่ๆ ที่ไม่เคยทำ หาร้านอาหารใหม่ๆ ไปลองอาทิตย์ละครั้ง
หาเวิร์กช็อปสนุกๆ ไปลงเรียน ใช้ชีวิตเป็นคนหาเช้ากินค่ำธรรมดา แต่…กลับมีความสุขดี รู้สึกมีอิสระ อยากกินอะไรก็ได้กิน นอนหลับสบายทุกคืน
นี่สินะความเบาสบายของการเป็นคนไม่มีตัวตน การอยู่กับปัจจุบันมากขึ้น รู้จักตัวเองมากขึ้น
วางตัวตนที่เคยถือ เคยแบกลงบ้าง ชีวิตก็เบาดีนะ

ชีวิตมันสั้น
ใช้มันให้มีความสุขสิ แต่ความทุกข์ก็เป็นส่วนหนึ่งของการได้รู้จักตัวเองเหมือนกันนะ : )

ใครอยากเล่าเรื่องวันเปลี่ยนชีวิตของตัวเองบ้าง คลิกที่นี่เลย

AUTHOR