วันที่ฉันได้กลับมาวิ่งอีกครั้ง

“ถ้าไม่หยุดวิ่ง อย่างไรเสียก็ต้องไปถึงเส้นชัย” เป็นคำกล่าวที่นักวิ่งหลายคนยึดเป็นสรณะกันตลอดมา แต่ด้วยอาการป่วยจากโรคหมอนรองกระดูกเคลื่อนจนเกือบจะเดินไม่ได้ ทำให้ต้องร้างลาจากการวิ่งไปพักใหญ่ วันหนึ่งที่รู้สึกว่าว่างเว้นนานเกินไปแล้ว เราตัดสินใจกลับมาลงสนามวิ่งอย่างจริงจังอีกครั้ง โดยครั้งนี้ใช้สนาม Bangkok Marathon 2017 เป็นสนามในการ Break The Limit ก้าวข้ามผ่านขีดจำกัดที่วิ่งไปเท่าไหร่ก็ยังไม่เคยถึง 10 กิโลเมตรสักครั้งในชีวิต

ทุกอย่างต้องเริ่มต้นใหม่จากศูนย์

เวลาสำหรับการฝึกซ้อมมีประมาณเกือบ 3 เดือนก่อนถึงวันวิ่งจริง ถ้าค่อยๆ ฝึกซ้อมก็ต้องทำได้แน่ๆ สถานที่ฝึกซ้อมวิ่งของเราจะเป็นสวนสาธารณะทั่วไปในกรุงเทพฯ มีทั้งสวนจตุจักร สวนลุมฯ สวนรถไฟ ที่ไปบ่อยที่สุดเห็นจะเป็นสวนลุมพินี เนื่องจากมีรอบวิ่งระยะทางไกลกว่าสวนอื่นๆ วิ่งแล้วไม่เบื่อ เราใช้แอพพลิเคชั่น NRC+ (Nike Running Club) ของ Nike เพื่อวัดระยะทางและจับเวลา เก็บสถิติว่าวิ่งเยอะวิ่งน้อยแค่ไหน

สิ่งที่ยากกว่าการวิ่งคือเรื่องของใจ อุปสรรคแรกที่เจอคือการปลุกตัวเองให้ตื่นขึ้นมาซ้อมวิ่งตอนตีห้าให้ได้จากที่ไม่ได้ตื่นเช้าตรู่แบบนี้มาพักใหญ่ ถือเป็นความทรมานอย่างหนึ่ง แต่ก็ต้องพยายามเพราะคิดว่าวิ่งตอนเช้าอากาศจะดีกว่าตอนเย็น ตอนเช้ายังท้องว่างอยู่ วิ่งแล้วจะไม่จุก ที่สำคัญถ้าคิดจะไปซ้อมวิ่งตอนเย็นทุกวันสำหรับคนที่ตารางงานไม่ค่อยเป็นเวลาแล้วละก็ ลืมไปได้เลย

“จะกลับไปวิ่งเท่านั้นได้จริงๆ เหรอ” ความรู้สึกนี้เกิดขึ้นมาเมื่อพบว่าตอนนี้เราวิ่งได้แค่หนึ่งรอบของสวนลุมฯ ประมาณ 2.5 กม. ก็รู้สึกว่าเหนื่อยเสียแล้ว แต่เมื่อเวลาผ่านไป ยิ่งซ้อม ยิ่งวิ่ง เพียงแค่หนึ่งสัปดาห์ที่ตื่นมาซ้อมวิ่งทุกวันก็รู้สึกได้ถึงความมหัศจรรย์ของร่างกายที่อึดขึ้น วิ่งได้ไกลขึ้น นานขึ้น จากเดิมที่เคยวิ่งได้ติดต่อกันเต็มที่หนึ่งรอบก็ขยับมาเป็นสองรอบ สามรอบ ไปจนวิ่งได้โดยไม่ต้องหยุดพักเลย รวมถึงนาฬิการ่างกายที่ปรับสภาพตามการใช้งานโดยอัตโนมัติซึ่งตื่นขึ้นมาเองตอนตีห้า มาถึงตอนนี้เรารู้สึกว่าอาการเจ็บป่วยทางร่างกายของเราไม่เป็นอุปสรรคอีกต่อไปแล้ว

ตัวช่วยก้าวข้ามขีดจำกัด

ในการวิ่งเราไม่ได้แข่งกับใคร เป็นการแข่งกับตัวเอง เราบอกตัวเองเพื่อสร้างกำลังใจ แต่พอย้อนกลับไปดูสถิติเก่าๆ ที่เคยทำไว้เทียบกับตอนนี้แล้วก็รู้สึกใจหายเหมือนกัน ตอนนั้นฝึกซ้อมวิ่งได้ทุกวันอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเพราะในแอพพลิเคชั่น NRC จะจัดอันดับคนที่วิ่งเอาไว้ คนที่วิ่งสะสมระยะทางได้มากที่สุดจะถูกจัดอยู่ในอันดับสูงที่สุด เราจึงมีแรงฮึดออกไปซ้อมวิ่งตลอดเพราะอยากถูกจัดอยู่ใน Top 5 แต่เมื่อเวลาผ่านไปก็อยากได้แรงบันดาลใจใหม่ๆ เพิ่มขึ้น การซ้อมวิ่งตามลำพังก็รู้สึกว่าอาจจะไม่ได้ผลที่ดีเท่าไหร่

ชมรม NRC BKK (Nike Run Club Bangkok) ที่จัดขึ้นทุกวันพุธตอนเย็นจึงเป็นคำตอบสำหรับแรงบันดาลใจใหม่ๆ ของเรา ความพิเศษของชมรมวิ่ง NRC BKK คือการมีโค้ชและเพเซอร์ (Pacer-นักวิ่งที่ช่วยควบคุมเวลาในการวิ่งให้เรา) ให้ผู้เข้าร่วมในทุกๆ เซกชั่น ทั้งนักวิ่งขาแรงไปจนถึงนักวิ่งมือใหม่ เพื่อให้คำแนะนำสำหรับการซ้อมวิ่งให้ได้ประสิทธิภาพ แนะนำการวิ่งที่ถูกต้อง รวมถึงให้กำลังใจนักวิ่งทุกคนให้ร่วมวิ่งไปด้วยกันจนจบระยะทาง 5 กิโลเมตรตามระยะเวลาที่ตั้งใจไว้ การมีเพื่อนวิ่งไปด้วยกันและมีคนคอยให้กำลังใจทำให้เรามีแรงฮึดขึ้นมาได้

นอกเหนือจากการซ้อมวิ่ง กิจกรรมนี้ยังเปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมได้ลองรองเท้า Nike รุ่นใหม่ๆ อย่างล่าสุดที่ได้ลองก็คือรองเท้า Nike Zoom Fly เราไปซ้อมวิ่งก็ได้ลองทุกครั้ง จนตัดสินใจซื้อเป็นรางวัลให้ตัวเองที่จะกลับไปพิชิตมินิมาราธอนให้ได้ การได้ลองรองเท้าใหม่ให้คุ้นชินก็เป็นแรงผลักดันที่ดีที่จะได้ออกกำลังกาย เพราะถือเป็นเรื่องจำเป็นมากที่นักวิ่งควรจะชินกับรองเท้าที่จะใช้วิ่งลงสนามจริง

แต่การจะพิชิตมินิมาราธอนก็ต้องวิ่งให้ได้ครบ 10 กิโลเมตร เราจึงตัดสินใจให้เวลากับการซ้อมเพิ่มเติม ตื่นแต่เช้าในวันอาทิตย์มาซ้อมวิ่งให้ครบ 10 กม. ให้ได้ ถือเป็นการท้าทายตัวเองอีกขั้นหนึ่งกับการตื่นแต่เช้าในวันอาทิตย์ซึ่งเป็นวันพักผ่อน มีวิ่งบ้าง สลับเดินบ้าง พักดื่มน้ำบ้าง วิ่งคนเดียวแล้วรู้สึกเหนื่อยกว่าการวิ่งร่วมกับเพื่อนๆ ในชมรม NRC BKK อาจเพราะเรื่องของกำลังใจด้วย แต่ก็พยายามทำให้ได้จนครบ 10 กิโลเมตร และทุกครั้งที่เราวิ่งในวันอาทิตย์ ในแอพพลิเคชั่น NRC+ ก็จะมีแคมเปญ Just Do It Sunday กิมมิกสนุกๆ ที่ให้คนวิ่งวันอาทิตย์ได้ใช้สติกเกอร์พิเศษตอนแชร์การวิ่งของตัวเองให้คนอื่นเห็น กระตุ้นให้เราอยากออกไปวิ่งมากขึ้น (อย่าดูถูกของเล่นพวกนี้เชียว!)

วันที่ก้าวข้ามผ่านอุปสรรค

เช้าวันอาทิตย์กลางเดือนพฤศจิกายน งานวิ่งงานใหญ่ก็มาถึง เรามาถึงงานก่อนปล่อยตัวเล็กน้อย รอบตัวมีนักวิ่งทั้งมืออาชีพและนักวิ่งหน้าใหม่มากันมากมาย ทั้งคนไทยและชาวต่างชาติ บรรยากาศภายในงานดูคึกคัก ชวนให้หัวใจพองโตตื่นเต้น แต่ก็รู้สึกวิตกในบางครั้ง เพราะกลัวว่าถึงเวลาวิ่งจริงๆ แล้วจะไปได้ตลอดจนถึงเส้นชัยหรือไม่

การวิ่งครั้งนี้เริ่มต้นจากสวนมิสกวัน เราใส่รองเท้าคู่ล่าสุดที่ใช้ซ้อมวิ่งมาโดยตลอดหลายสัปดาห์เพราะอยากใช้รองเท้าคู่ที่ชินเท้าวิ่งไปด้วยกันกับเรา รวมถึงเปิดแอพพลิเคชั่น NRC+ จับเวลาและระยะทางในการวิ่งเพื่อเป็นหลักฐานพิสูจน์กายและใจของตัวเอง เมื่อถึงเวลาปล่อยตัว ผู้คนต่างเริ่มออกวิ่ง ทุกคนดูมุ่งมั่นกับการวิ่งของตัวเอง เราเริ่มออกวิ่งในระดับความเร็วที่ซ้อมมา รู้สึกว่าวิ่งได้เร็วกว่าเดิมและเหนื่อยน้อยลง แม้จะมีจุดที่ต้องวิ่งขึ้นสะพานพระรามแปดซึ่งปกตินักวิ่งทุกคนจะรู้สึกเหนื่อยและท้อแท้มาก เพราะต้องฝืนร่างกายกับแรงโน้มถ่วงของโลก

มีบางครั้งที่เราวิ่งแซงคนอื่น และมีหลายครั้งที่คนอื่นวิ่งแซงเรา แต่ตราบใดที่เราไม่หยุดวิ่ง วิ่งในระดับความเร็วที่ซ้อมมา เราก็ยังวิ่งไปต่อได้เรื่อยๆ “ไม่ต้องแข่งกับใคร แค่เอาชนะใจตัวเองให้ได้ก็พอ” เราย้ำในใจ เมื่อถึงทางโค้งซึ่งเป็นจุดกลับตัวก็เป็นระยะทาง 5 กิโลเมตรพอดี ปกติเวลาซ้อมเราจะหยุดพักตรงจุดนี้ทุกครั้ง ถือเป็นจุดท้าทายทั้งกายและใจมากที่สุดว่าจะหยุดพักก่อน หรือวิ่งต่อตามที่ตั้งใจไว้ว่าจะวิ่งไปเรื่อยๆ จนจบ

ดูเหมือนว่าร่างกายและจิตใจจะแข็งแรงกว่าที่คิด เราตัดสินใจวิ่งต่อไปเรื่อยๆ ตามระดับความเร็วที่ซ้อมมา ถึงจะช้ากว่าหลายๆ คนแต่ก็ไม่หยุดวิ่ง หลายครั้งที่รู้สึกเหนื่อยก็จะนึกถึงที่ NRC coach เคยบอกเอาไว้ว่า เคล็ดลับอยู่ที่การหายใจให้ถูกวิธีเพื่อเอาออกซิเจนกลับคืนชดเชยให้ร่างกายของเรา และอย่าฝืนออกแรงวิ่งแต่ให้ใช้แขนเหวี่ยงเอา ทำให้วิ่งไปต่อได้เรื่อยๆ

ปกติเมื่อถึง 500 เมตรสุดท้ายเราจะรู้สึกเหนื่อยทุกครั้ง แต่ครั้งนี้ไม่เลย อาจเพราะไม่ได้ฝืนออกแรงวิ่งตามคำแนะนำ จนในที่สุดเราก็มาถึงเส้นชัย รู้สึกได้ปลดล็อกขีดจำกัดในการวิ่งไปได้มากกว่าเดิม เราวิ่งได้เร็วขึ้น และไม่ได้หยุดพักหยุดเดินเลยจนจบ 10 กิโลเมตรกว่าๆ และใช้เวลาไปเพียง 1 ชั่วโมง 11 นาทีเท่านั้น ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่จะกลับมาวิ่งอย่างจริงจังอีกครั้ง

เราอยากให้ทุกคนที่อยากจะเริ่มวิ่งลองออกมาวิ่งดูสักครั้ง ถ้าคนที่เคยป่วยจนเกือบจะเดินไม่ได้อย่างเรากลับมาวิ่งได้ ทุกคนก็ทำได้เหมือนกัน ขอแค่เอาชนะใจตัวเองให้ได้ อุปสรรคทางด้านร่างกายและจิตใจก็ไม่สำคัญ

สำหรับใครที่อยากเริ่มต้นวิ่งอย่างถูกวิธี ลองไปวิ่งกับ NRC BKK ได้ ลองเข้าไปดูตารางการลงทะเบียนที่ www.nike.com/bangkok แล้วลงทะเบียน จองกิจกรรม และจดตารางวิ่งของตัวเองลงปฏิทินไว้ได้เลย

#breakthrough

AUTHOR