วันที่เราต้องขอบคุณความผิดหวัง

เด็กนักเรียนมัธยมต้นเมื่อถึงเวลาจบม.3 ก็ต้องเลือกวิชาเอกเพื่อศึกษาในชั้นมัธยมปลายทุกคน ตอนที่เราอยู่ม.3
เราก็ถามตัวเองอยู่หลายครั้ง ว่าอยากจะเรียนอะไร อยากจะทำอะไร ยังตอบตัวเองไม่ชัดขนาดนั้นว่าอยากจะเป็นอะไรกันแน่ในอนาคต

ตอนนั้นรู้แค่ว่าเราชอบร้องเพลง
เราร้องเพลงมาตั้งแต่เด็กและเป็นสิ่งที่ทำได้ดีและมีความสุข แต่การร้องเพลงมันจะไปเป็นอาชีพหลักได้ยังไง
ตอนนั้นก็ตอบตัวเองไม่ได้เลย จึงเลือกเรียนเอกภาษาอังกฤษเป็นอันดับ 1 ไปก่อน
คิดซะว่าเอาเซฟๆ อย่างน้อยก็เรียนภาคภาษาอังกฤษต่อในมหาวิทยาลัยได้และภาษาอังกฤษก็ยังเป็นวิชาที่เราก็ชอบและรู้สึกว่าจำเป็นในอนาคตด้วย

แต่ด้วยความที่ตอนมัธยมต้น
เราไม่ตั้งใจเรียนเลย เราเป็นคนชอบทำกิจกรรม คือเรียนๆ เล่นๆ ไปอย่างงั้น แล้วผลของการไม่ตั้งใจเรียนก็ทำให้เรายื่นคะแนนเข้าเอกภาษาอังกฤษเลยทันทีไม่ได้เพราะเกรดไม่ถึง
และถ้าอยากจะเข้าจริงๆ ต้องสอบเข้า แต่พอสอบเข้าเราก็ไม่ติดอยู่ดี เนื่องจากเอกนี้รับเพิ่มแค่ 10 คน
แล้วคะแนนของเราก็ดันอยู่ที่ลำดับที่ 11 คือเป็นตัวสำรองอันดับ 1
และโชคร้ายมากตรงที่ไม่มีใครสละสิทธิ์สักคน

วันนั้นเราจำได้ว่าทุกคนรอบตัวเรากระโดดดีใจที่สอบเข้าแผนการเรียนที่ตัวเองอยากเรียนได้ ทุกคนมีความสุขมาก
แต่เราเศร้ามาก จำได้ว่ากลับมาร้องไห้ที่บ้าน เป็นความรู้สึกเสียใจแบบบอกไม่ถูก
ถามตัวเองว่าทำไมไม่ตั้งใจเรียนกว่านี้ ทำไมทำไม่ได้อย่างคนอื่นเขานะ และที่เสียใจกว่านั้นคือเรารู้สึกว่าไม่มีใครเสียใจกับเราจริงๆ
เลยสักคน นอกจากพ่อกับแม่

วันนั้นเราตั้งเป้าหมายในชีวิตใหม่หมดเลย
เราเปลี่ยนไปเลือกเรียนเอกดนตรี เราคิดว่าทำได้แล้วเราจะทำให้ได้ดีมาก เราตั้งใจเรียนมากขึ้น
แต่ยังทำกิจกรรมเยอะเหมือนเดิมนะ เราเริ่มศึกษาหาข้อมูลการเข้ามหาวิทยาลัยตั้งแต่ม.4
เทอม 2 และตั้งเป้าไว้เลยว่าเราจะสอบเข้าคณะศิลปกรรมศาสตร์ จุฬาฯ
ให้ได้ ตอนนั้นเราคิดไว้เลยว่าจะทำให้พ่อแม่และตัวเราเองผิดหวังไม่ได้อีก เราจะไม่ใช่คนที่สอบไม่ติดแล้วยืนร้องไห้แน่ๆ
และพอประกาศผลการสอบตรง เราก็สอบติดอย่างที่คิดไว้จริงๆ ซึ่งวันนั้นพ่อแม่เราดีใจมาก
เราก็ดีใจมากเหมือนกัน

สาขาที่เราเลือกเรียนคือ ดุริยางคศิลป์ตะวันตก
เราเลือกเรียนเอก Voice
เป็นการร้องเพลงแบบคลาสสิก เราเรียนคณะนี้อย่างสนุกมาก เราทำกิจกรรมทุกอย่างที่มีให้ทำและเราก็ได้เรียนในสิ่งที่ชอบ
และก็ยังได้เกียรตินิยมอันดับสองด้วย

นอกจากเรื่องเรียน
เรายังได้มีโอกาสทำงานในสายอาชีพที่เราชอบและถนัด การทำงานในทุกวันก็มีความสุขมากเพราะเราได้อยู่กับสิ่งที่ชอบจริงๆ
ทำให้รู้สึกว่า เราควรจะขอบคุณวันนั้นที่ไม่ติดเอกภาษาอังกฤษ เพราะเราก็คิดไม่ออกเหมือนกันว่าถ้าเราเรียนเอกอังกฤษตอนนั้น
เราจะยังได้ทำในสิ่งที่ชอบมากมายขนาดนี้รึเปล่า เราจะได้พบคนมากมายที่ดีและมีความสุขอย่างทุกวันนี้อยู่มั้ย

มันทำให้เราได้เรียนรู้ว่า
ไม่มีอะไรในโลกนี้ที่เราทำไม่ได้หรอก และการค้นพบสิ่งที่เราชอบจริงๆ และได้ทำอะไรสักอย่างอย่างเต็มที่จริงๆ
ผลตอบแทนมันดีเสมอแหละ อย่าไปเสียใจในความผิดหวังหรือความผิดพลาดที่เคยเกิดขึ้นในอดีตเลย
บางทีความผิดหวังครั้งนั้นก็มีข้อดีของมัน เพียงแต่เราต้องจัดการกับมันให้เป็น และบางทีเราอาจจะอยากขอบคุณความผิดหวังก็ได้นะ

ใครอยากเล่าเรื่องวันเปลี่ยนชีวิตของตัวเองบ้าง คลิกที่นี่เลย

AUTHOR