ไม่เคยรู้มาก่อนว่าใต้เบาะที่นั่งคือแค่เสื้อชูชีพที่ให้ผู้โดยสารใส่เพื่อลอยคอตอนตกน้ำ
เพราะเข้าใจมาตลอดว่าเมื่อดึงสลักแล้วมันจะกางออกเป็นร่มชูชีพ ดีดตัวออกจากเครื่องบินและโรยตัวลงมาบนพื้นได้เลย
ฉันไม่เคยรู้มาก่อนว่ารถเข็นเสิร์ฟน้ำ เสิร์ฟอาหาร ที่เรียกกันว่า ‘cart’ จะมีน้ำหนักมากถึง 60 กิโลกรัม จนทำให้แอร์ฯ รุ่นพี่หลายๆ คนปวดหลัง เพราะคิดมาตลอดว่าคงไม่ได้เข็นยากเข็นเย็นอะไร ก็แค่เข็นๆ ลากๆ เหมือนรถเข็นตามซูเปอร์มาร์เก็ต
ฉันไม่เคยรู้มาก่อนว่าแอร์ฯ ต้องรายงานตัวก่อนเวลาเครื่องบินจะออกตั้ง 3 ชั่วโมง เพราะเห็นมาตลอดว่ามีช่องพิเศษตรงด่านตรวจคนเข้าเมืองและไม่ต้องต่อแถวรอตรวจสอบความปลอดภัย และบางครั้งก็เห็นเดินขึ้นเครื่องก่อนเราเพียงแป๊บเดียว
ฉันไม่เคยรู้มาก่อนว่าแอร์ฯ ต้องเป็นทั้งคนครัว พนักงานทำความสะอาด นางพยาบาล หรือแม้แต่นักผจญเพลิง เพราะเท่าที่เคยเห็นมาก็เห็นแค่แอร์ฯ เสิร์ฟน้ำ เสิร์ฟข้าว คอยถามว่า “Coffee or tea?” “Fish or chicken?”
แต่แล้ว…ก็มาถึงจุดที่ฉันได้รู้ว่าการเป็นแอร์ฯ เป็นยังไง ตลอด 9 ปีที่ทำงานบนออฟฟิศที่อยู่สูงกว่า 37,000 ฟุตเหนือระดับน้ำทะเล ได้สัมผัสหลายๆ ความรู้สึก ไม่ใช่แค่ความกดอากาศที่ทำให้หูอื้อตอนเครื่องขึ้นและลง แต่เป็นช่วงเวลาที่ได้รู้สึกถึงความเหงา เมื่อหันไปทางไหนก็ไม่มีใครที่พูดภาษาไทยกับเรา เป็นช่วงเวลาที่สัมผัสถึงความง่วงถึงขีดสุดเมื่อต้องบินไปอีกซีกโลก และเวลานอนของเราคือเวลาที่ต้องตื่นไปบิน
แต่อีกหลายช่วงเวลาก็เป็นช่วงเวลาที่ฉันมีความสุขกับการเดินทางไปสถานที่ใหม่ๆ ชิมอาหารรสชาติแปลกๆ ทำความรู้จักกับเพื่อนต่างชาติ ต่างภาษา ต่างศาสนา ต่างวัฒนธรรม
ถึงแม้ได้กลับมานั่งทำงานในออฟฟิศ ได้นอน-ตื่นเป็นเวลา ก็ยังคิดถึงช่วงเวลาที่เป็นแอร์ฯ ทุกครั้ง ไม่แปลกใจ ที่ตัวเองบินๆ เดินๆ กลับไปกลับมาระหว่างเครื่องบิน-ออฟฟิศ เครื่องบิน-ออฟฟิศ เครื่องบิน-ออฟฟิศถึง 3 ครั้ง เพราะยังตัดใจจากการการเป็นแอร์ฯ ไม่ได้
วันนี้หลังเลิกงาน ฉันนั่งอ่านเฟซบุ๊ก เห็นการประกาศรับสมัครแอร์ฯ หลายสายการบิน มีทั้งคุณสมบัติผ่านและไม่ผ่าน แต่ฉันไม่แคร์เพราะอยู่ๆ ใจก็ล่องลอยไปอยู่บนเครื่องบินซะแล้ว
“สายการบินนี้เพิ่งเปิดใหม่ ให้บริการเต็มรูปแบบ ได้บินไปต่างประเทศ เครื่องลำใหญ่และใหม่ด้วย แถมรับไม่จำกัดอายุ”
“สายนี้รับ ex-crew รับแต่แอร์ฯ ที่มีประสบการณ์ อายุฉันเกินจากเกณฑ์ไม่มาก น่าลองไปดู”
“สายการบินนี้เป็นสายการบินโลว์คอสต์ บินสั้นๆ ได้กลับมานอนที่บ้านทุกวัน น่าสนใจมาก แต่ส่วนสูงน้อยกว่าเกณฑ์ที่รับสมัคร”
พูดเองเออเองคนเดียวสักพัก…
“ต้องกลับมาทำงานที่ไม่เป็นเวลา ไม่รู้ว่ามีวันหยุดเมื่อไร และจะมีเวลาไหนที่ว่างตรงกันเหรอ” สามีพูดแทรกขึ้นมา เป็นคำถามที่ไม่ต่างจากที่พ่อแม่ของฉันเคยถามแกมตัดพ้อเมื่อตอนตัดสินใจกลับไปบินครั้งสุดท้ายที่ต้องไปประจำการไกลถึงตะวันออกกลาง คำถามนี้ทำให้สติของฉันที่หลุดลอยไปอยู่กับภาพตัวเองที่กำลังเดินโปรยรอยยิ้ม ลากกระเป๋าผ่านผู้โดยสารหลายร้อยคนที่นั่งรอที่เกตเตรียมขึ้นเครื่อง โดนเรียกให้กลับมาอยู่ที่กับความเป็นจริงอีกครั้ง
ถึงแม้ฉันจะหาคำตอบได้ คำตอบนั้นก็ไม่ได้ทำให้ภาพฝันของฉันที่จะได้ลากกระเป๋าไปบินมีสีสันเหมือนเดิม กลับกัน มันทำให้เกิดคำถามขึ้นในใจว่า ฉันมัวคิดถึงแต่ภาพความสุขของตัวเองที่จะได้กลับไปสนุกกับการเดินทางและมองข้ามภาพความสุขของคนรอบๆ ข้างฉันไปหรือไม่ ฉันมัวแต่ไปให้บริการผู้โดยสารจนลืมดูแลผู้ให้กำเนิดและคู่ชีวิตไปหรือเปล่า
ทำให้วันนี้เป็นวันที่ฉันรู้ว่า จริงๆ แล้ว ความสุขที่แท้จริงของฉันกับครอบครัวคือการแค่ได้ตื่น เข้านอน และใช้เวลาทำกิจกรรมร่วมกันกับคนที่เรารัก ถึงแม้ทำงานออฟฟิศที่เข้างานเป็นเวลาแต่เลิกไม่เป็นเวลาบ้างก็ไม่ได้ให้ความสุขของเราลดน้อยลง และการที่ฉันสนุกกับการเดินทางท่องเที่ยวไปที่ต่างๆ คนเดียวเป็นเพียงความสุขชั่วครั้งชั่วคราว
ตลอดเวลา 9 ปีที่ไปบิน ฉันไม่เคยรู้มาก่อนว่า ไม่ใช่แค่เราที่เหงาตอนไปบินและไม่ได้มีแต่เราที่ง่วงเพราะนอนผิดเวลา แต่มีอีกคนที่เหงาถึงแม้จะอยู่บ้านมีคนพูดภาษาไทยด้วย และมีคนที่คอยตื่นรอเวลาให้เราติดต่อกลับมาว่าเราถึงที่หมายแล้วโดยสวัสดิภาพไม่ว่าจะดึกแค่ไหน
วันนี้ฉันเลยเลิกคิดจะกลับไปเป็นแอร์ฯ ที่ต้องบินห่างบ้านอีก เพราะรู้แล้วว่าฉันน่าจะใช้เวลาที่มีเพียง 24 ชั่วโมงในแต่ละวันกับครอบครัวให้มากและนานที่สุด เพราะแค่ได้ใช้เวลาร่วมกันก็เป็นความสุขที่ยิ่งใหญ่ของทั้งฉันและครอบครัว…ที่ฉันไม่เคยรู้มาก่อน