วันที่ผมพบคำตอบจากร้านข้าวหมกไก่

วันนั้นของ
พ.ศ. 2552 เด็กคนนั้นทำงานอยู่ที่ร้านข้าวหมกไก่แห่งหนึ่งที่ อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี ไอ้เด็กคนนั้นทำงานอย่างกระตือรือร้น ตื่นตี 5
กลับอย่างเร็วก็ 6 โมง ช้าหน่อยก็ 1 ทุ่มโดยประมาณ โดยได้รับค่าจ้าง 5,000 บาทต่อเดือน บางวันก็มีพิเศษบ้างตามอารมณ์ของเจ้าของร้าน

สำหรับเด็กคนนั้นแล้ว
นี่คือโลกอีกใบหนึ่งซึ่งแตกต่างกับที่ที่เขาเคยอยู่ก่อนหน้า
การทำงานที่นี่ทำให้ได้พบปะผู้คนมากหน้าหลายตา แม้ว่าจะอยู่ในฐานะระหว่างลูกค้ากับเด็กเสิร์ฟอาหารก็ตาม
แต่มันเยี่ยมมากสำหรับเด็กที่ไม่เคยเจอโลกภายนอกเลยเพราะพ่อแม่เป็นห่วง
อย่างที่บอกครับ ร้านนี้ขึ้นชื่อมาก ทำให้มีผู้คนมากหน้าหลายตาจากทุกสาขาอาชีพ จะว่าไปแล้ว จากภารโรงถึงระดับผู้บริหารเลยก็ว่าได้
เลยทำให้ได้เจอกับคนหลายประเภท (ดีบ้างแย่บ้างเป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์โลกครับ)

วันหนึ่งหลังจาก
2 ปีผ่านไป คำถามเกิดขึ้นในใจของเด็กคนนั้น จากที่ได้พบเห็นผู้คนมากมายในร้าน
เลยทำให้นึกตั้งคำถามขึ้นมา ทำไมคนเราแต่ละคนช่างแตกต่างกันเหลือเกิน
ทำไมคนนี้ถึงได้ทำงานแบบนั้น แล้วทำไมคนนี้จึงไม่มีสิทธิ์ทำ
และเด็กขยันอย่างเราทำงานดีๆ กับเขาบ้างได้มั้ย
(งานที่ว่านั้นไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันคืองานอะไร เพียงแต่เห็นเขาแต่งตัวดีๆ มีรสนิยมแค่นั้นเอง)
และอีกหลายคำถามเกิดขึ้นในเวลาต่อมา…

วันหนึ่งของปีเดียวกัน
ในขณะที่กินข้าวเช้ากันอยู่ เด็กคนนั้นถามเจ้าของร้านขึ้นมาว่า ”ลุง…ถ้าผมอยากทำงานแบบพวกพี่ๆ ที่มากินข้าวกัน ผมจะทำได้มั้ย?” ลุงหัวเราะแล้วถามว่า ”เอ็งจบอะไรมาวะ พวกนั้นที่เอ็งพูดถึงเป็นพวกมีการศึกษากันทั้งนั้นเลย”
แล้วลุงก็บอกว่า ”เอ็งน่ะทำงานที่นี่ดีแล้ว”
แกใช้คำชวนเชื่อตามมาอีกเป็นชุด
แล้วทุกคนก็เงียบและกินข้าวต่อกันจนอิ่ม แต่ที่ไม่ได้เงียบไปพร้อมกับเสียงของทุกคนก็คือ
คำพูดที่ลุงเจ้าของร้านแกบอกว่า‪พวกนั้นเป็นพวกมีการศึกษากันทั้งนั้น มันยังคงดังก้องอยู่ในความรู้สึกของไอ้เด็กคนนั้น (แกคล้ายจะบอกว่าคนที่จะทำงานแบบนั้นได้ต้องมีการศึกษาสูงๆ
เท่านั้น แบบเอ็งคงทำไม่ได้หรอกเพราะไม่มีการศึกษา เพียงแต่แกไม่ได้พูดออกมา)

จากวันนั้น
ณ โต๊ะกินข้าวแห่งร้านข้าวหมกไก่ จากคำพูดที่แสนจะธรรมดาของลุงเจ้าของร้านทำให้ชีวิตไอ้เด็กคนนั้นเปลี่ยนไปแบบไม่มีวันถอยหลังกลับ

ใช่แล้วครับ‪เด็กคนนั้นคือผมเองจากคำพูดวันนั้น
ทำให้ผมฉุกคิด อยากทำให้ชีวิตมันดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ในวันนั้น และสำหรับผมแล้ว ไม่มีเครื่องมือประเภทใดที่จะพาผมเดินไปข้างหน้าได้นอกจากการศึกษา

ในวันนี้ผมได้เรียนในระดับมหาวิทยาลัยแล้ว
ผมเรียนอยู่ที่ สาขาจิตวิทยา คณะศึกษาศาสตร์ ม.รามคำแหง หลายคนอาจมองว่ามันไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรที่จะเรียน ม.ราม…แต่ผมกลับคิดว่า
สิ่งสำคัญไม่ได้ขึ้นอยู่ที่ว่ายากหรือง่าย แต่สำคัญที่ที่มาของแต่ละคนนั้นแตกต่างกัน
และสำหรับเด็กชนบทที่ต้องเลือกทางเลือกชีวิตด้วยตนเองบนพื้นฐานของสังคมที่ขาดความคิด
ขาดความรู้ ขาดความเข้าใจ และบวกกับการผ่านร้อนผ่านหนาวมาน้อย
มันคงไม่ใช่เรื่องง่ายเท่าไหร่นัก

การศึกษาทำให้ผมรู้คุณค่าของตนเอง
รู้คุณค่าของความเป็นมนุษย์ มองเห็นแสงแห่งความหวัง รู้สึกได้ว่าโลกใบนี้ยังคงน่าอยู่

ทุกวันนี้
ผมเชื่อสนิทใจเลยกับคำที่พี่โหน่ง-วงศ์ทนง ชัยณรงค์สิงห์ ให้คุณค่ากับมันมาก
นั่นคือคำว่า ‘แรงบันดาลใจ’ เพราะผมเองที่มีวันนี้ได้ก็เพราะแรงบันดาลใจจากคำพูดของลุงเจ้าของร้านข้าวหมกไก่ในวันนั้น

บางคนอาจมองบางเรื่องราวของผมว่าคือปมในชีวิต
แต่ผมเรียกมันว่า แรงบันดาลใจ

ใครอยากเล่าเรื่องวันเปลี่ยนชีวิตของตัวเองบ้าง คลิกที่นี่เลย

AUTHOR