วันที่ฉันลองโดดออกจากกรอบ

วันหนึ่งเมื่อ
12 ปีที่แล้วซึ่งเป็นช่วงใกล้จบ ม.6
เราทำการโดดเรียนเป็นครั้งแรกในชีวิต!

ตลอดเวลาในรั้วโรงเรียนเราไม่เคยทำเรื่องแบบนี้เลยสักครั้ง
ยกเว้นวันนั้น…เป๋า (แฟนคนปัจจุบัน)
ชวนโดดเรียนออกไปหาอะไรกิน วันนั้นเป็นช่วงบ่ายคาบอิสระ
แต่กฎของโรงเรียนคือต่อให้เป็นคาบอิสระ ถ้ายังไม่ถึงเวลากลับบ้าน
มนุษย์นักเรียนจะต้องอยู่แต่ในโรงเรียนเท่านั้น ซึ่งเราเชื่อตามนั้นมาโดยตลอด เขาไม่ให้ออกก็ห้ามออก
แต่วันนั้นยอมโดด! ไม่ใช่ด้วยเหตุผลขบถปัญญาชนต่อต้านระบบโรงเรียนหรืออะไร
เหตุผลมีแค่ว่าอยากออกไปกับเป๋า การตกหลุมรักชนะทุกความดีที่เคยทำมา

เราจำได้ว่ากลัวมาก
กลัวโดนจับกลับโรงเรียน กลัวครูไปฟ้องพ่อ กลัวโดนเรียกผู้ปกครอง
ยังจำภาพตอนเดินพ้นประตูโรงเรียนออกไปได้อยู่เลย
วันนั้นใส่เสื้อพละสีเหลืองกับกระโปรงนักเรียน มีเป๋าเดินอยู่ข้างๆ เป๋าชิลล์มาก
แต่เรากลัวมาก โคตรกลัวเลย!

การโดดเรียนผ่านไปด้วยดี
กลับมาโรงเรียนได้ปกติแบบไม่มีใครลากตัวกลับ
ความรู้สึกหลังจากกลับมาถึงโรงเรียนคือ หนึ่ง โล่งอก สอง…เฮ้ย!
มันไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดนี่หว่า 12 ปีของการเป็นนักเรียนมัวทำอะไรอยู่
ทำไมถึงไม่กล้าเดินออกจากรั้วโรงเรียนก่อนโรงเรียนเลิก แต่อย่าเข้าใจผิดนะ
เราไม่ได้คิดว่าเราทำถูก เราไม่ได้ออกไปสร้างความดีงามอะไรให้กับสังคมแม้แต่น้อย
เป็นการโดดเรียนของเด็กใจแตกคนนึง แต่การค้นพบวันนั้นมันสำคัญมาก จริงๆ นะ
คนส่วนใหญ่เขาก็ค้นพบอะไรบางอย่างในชีวิตได้จากการทำพลาดไม่ใช่เหรอ

ตั้งแต่วันนั้นโลกเราเปลี่ยนไปเลย
ตระหนักได้ว่าชีวิตเป็นของเรา (คือก่อนหน้านี้ก็รู้แหละว่าชีวิตเป็นของเรา ใครๆ ก็รู้ทั้งนั้น
แต่ไม่เคยตระหนักไง) เรามีสิทธิ์ที่จะไม่ต้องโดนจับตามองตลอดเวลา
ถ้าโรงเรียนเป็นสถานที่ที่เราเต็มใจเดินเข้าไปได้
มันก็ควรเป็นสถานที่ที่เราสบายใจที่จะเดินออกได้ ก่อนหน้านั้น เราเป็นคนไม่เคยฝืนกฎ
อาจมีตงิดๆ สงสัยไม่เข้าใจบ้างว่าทำไมต้องทำ แต่ที่สุดแล้วก็เชื่อฟังทำตามอยู่ดี
กฎประเภทนักเรียนหญิงต้องติดกิ๊บ รวบผม ห้ามซอยผม ห้ามติดตัวหนีบที่กระเป๋า
ห้ามม้วนถุงเท้า ฯลฯ สิ่งเหล่านี้เราทำตามหมด เราเป็นนักเรียนแบบที่กระโปรงแทบยาวถึงข้อเท้าเลยนะ
เรียบร้อยขนาดนั้นเลยแหละ เมื่อก่อนเชื่อว่าถ้าคนส่วนใหญ่บอกว่าดีมันก็ต้องดี
จะไปขัดขืนให้ชีวิตมีเรื่องยุ่งยากทำไม เราไม่ชอบให้มีเรื่องยุ่งยากเกิดขึ้นกับชีวิต
อยากให้มีแต่เรื่องราบรื่น ชีวิตที่ราบรื่นนั้นดี แต่นั่นมันใช่ชีวิตเหรอ?! มนุษย์เราไม่ได้ต้องการแค่ความสุขนะ
คนเรามันต้องเจอความทุกข์ เราไม่จำเป็นต้องใช้เหตุผลอย่างเดียว
มันต้องใช้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผลบ้าง ประสบการณ์มันถึงจะเกิดได้ คุณเกิดมาคุณเคยทำ
1 2 3 ซ้ำไปซ้ำมา คุณไม่อยากทำ 4 5 6 เหรอ? ไม่รู้หรอกว่ามันจะออกมาดีหรือเปล่า
แต่คิดง่ายๆ (เคยได้ยินใครพูดก็ไม่รู้) ถ้าไม่ลอง โอกาสที่ชีวิตคุณจะเปลี่ยนมี 0% แต่ถ้าลอง โอกาส 50% มาเห็นๆ ดีหรือร้ายไม่รู้แหละ แต่มันเปลี่ยนแน่
มันจะพาไปสู่อะไรสักอย่างแน่ๆ ได้เรียนรู้อะไรแน่ๆ!

ทุกวันนี้ เป๋ากับเราที่เคยเป็นเด็กซึ่งพยายามออกจากกรอบอย่างมาก
ต่อต้านทุกอย่างที่ขวางหน้า
เป็นขบถตัวน้อยที่นั่งก่นด่าสังคมแล้วก็เออออกันเองอยู่สองคนว่าสิ่งที่คิดเจ๋งมาก ต่างกระโดดกลับเข้ามาอยู่ในกรอบทั้งคู่
(แต่ก็มีกระโดดออกไปบ้างตามสถานการณ์) เราเลิกบ่นและมองตัวเองในอดีตเป็นเด็กโง่คนนึง
ซึ่งไม่ใช่ว่าบรรลุแล้วเข้าใจสรรพสิ่งหรอก เรายังเรียนรู้กันอยู่ พยายามอยู่ทั้งในและนอกกรอบ

“ถ้าไม่เคยอยู่ในกรอบ คุณเรียกตัวเองว่าเป็นคนนอกกรอบไม่ได้หรอก” อันนี้เป็นคำพูดที่จริงมาก คือโลกนี้มันมีกรอบเยอะมาก
มีกรอบมาครอบกรอบและครอบกรอบอยู่อีกหลายชั้น นี่เผลอๆ ยังไม่เคยออกจากกรอบที่อยู่ถัดจากนอกกรอบนี่ด้วยซ้ำ

แต่เรารู้นะว่าออกได้
เราจะออกจากกรอบนี้ได้อีก

ขอบคุณเป๋าที่พาเดินออกจากประตูโรงเรียนวันนั้น!!!

ใครอยากเล่าเรื่องวันเปลี่ยนชีวิตของตัวเองบ้าง คลิกที่นี่เลย

AUTHOR