วันที่ฉันหนีไปปั่นจักรยานนอกบ้าน

พุทธศักราช 2551

ใครจะไปรู้ว่าชีวิตของเด็กตัวเล็กๆ
คนนึงที่มีอายุได้เพียง 5 ขวบจะต้องพบเจอกับเหตุการณ์ที่เป็นจุดเปลี่ยนของชีวิตครั้งใหญ่

เหตุการณ์เกิดขึ้นราวๆ ต้นปี
2551 เวลาเย็นๆ ของวันนั้น แม้จะผ่านมาหลายปี แต่ภาพเหตุการณ์ยังคงติดตรึงอยู่ในความทรงจำไม่ลืม

เด็กหญิง 5 ขวบคนนึงเกิดมีความคิดที่อยากจะออกไปปั่นจักรยานนอกบ้าน เธอจึงบอกแม่ว่าขอไปปั่นจักรยานเล่น แม่ตอบกลับมาว่า “กำลังจะออกไปกินข้าวข้างนอกกัน อย่าเพิ่งไปลูก”

ด้วยความเป็นเด็กไม่ได้คิดก่อนทำ
คิดแค่ว่าออกไปไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย เด็กน้อยเปิดประตูออกไปจูงจักรยานมาปั่นเล่นอย่างสนุกสนาน ปั่นไปเรื่อยๆ จนไปขึ้นเนินทางลาดเห็นสุนัขสองตัวนอนอยู่ สุนัขสองตัวนั้นจ้องตามจักรยานไปเรื่อยๆ ในใจเด็กหญิงคิดว่าไม่มีอะไรหรอก มันแค่มองเฉยๆ แล้วก็ตัดสินใจเลี้ยวจักรยานกลับลงเนินเดิมที่ขึ้นมา

แต่ถ้าลงมาแล้วปั่นได้ตามปกติก็ดีสิ

ขณะกำลังลงเนินมาด้วยความเร็ว
สุนัขตัวหนึ่งก็ยืนขึ้นแล้ววิ่งไล่ตามจักรยานมาติดๆ! จะหยุดก็ไม่ได้ มันตามมาอยู่ ตอนนั้นคิดอย่างเดียวว่าอย่าให้มันแซงหน้าเป็นพอ เด็กหญิงตั้งหน้าตั้งตาปั่นหนีอย่างไม่คิดชีวิตแต่…ลืมไปว่าสุดถนนมันเป็นทางตัน! เธอเลยตัดสินใจหันกลับไปมองดูสุนัขที่วิ่งตามมาพร้อมกับมือที่บีบเบรกอย่างแรง

ร่างเล็กๆ พุ่งลอยข้ามจักรยานไปตกข้างหน้า
สลบไม่ได้สติ

โชคดีจังหวะที่พ่อเปิดประตูบ้านมาเห็นเหตุการณ์พอดีจึงไล่สุนัขไปและรีบพาส่งโรงพยาบาลทันที ใบหน้าซีกซ้ายของเด็กหญิงเป็นแผลถลอกเนื่องจากครูดกับหินที่พื้นถนน หมอบอกว่าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง แต่ให้เฝ้าติดตามดูอาการ หากเกิดอะไรขึ้นก็ให้กลับมาที่โรงพยาบาล

ราว 4 ทุ่มของวันนั้น อยู่ๆ
เธอก็รู้สึกคลื่นไส้และอาเจียนออกมาเป็นเลือดทำให้ต้องกลับไปโรงพยาบาลอีกครั้งเพื่อตรวจให้ละเอียดแน่ชัดถึงกับต้องสแกนสมองตรวจดูว่ามีเลือดออกมาได้อย่างไร สรุปแล้วหมอสันนิษฐานว่าเกิดจากเลือดออกในระบบย่อยอาหารจากการประสบอุบัติเหตุ ทำให้เลือดลงไปในกระเพาะจนเกิดการอาเจียนออกมา

นี่เป็นวันที่เป็นประสบการณ์ที่สุดของที่สุดในชีวิตเลย
แม่บอกแล้วว่า
“อย่าเพิ่งไป” ถ้าเราเลือกทำตามคำที่แม่บอกก็จะไม่เกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้น

เวลากรอกใบตรวจสุขภาพที่โรงเรียนจะมีถามว่าเคยประสบอุบัติเหตุอะไรที่ร้ายแรงบ้าง เราจะเขียนตอบว่า “รถจักรยานล้ม” พอเพื่อนมาอ่านก็ไม่เข้าใจ แค่รถจักรยานล้มนี่มันร้ายแรงตรงไหนกัน

ร้ายแรงสิ
หากได้รู้เรื่องราวทั้งหมด มันไม่ใช่แค่คำว่ารถจักรยานล้มในวันนั้น หากแต่อาจไม่มีเราในวันนี้ถ้าวันนั้นเราเกิดหัวฟาดพื้นแทนหน้าครูดลง

จะเกิดอะไรขึ้นต่อไป..ก็ไม่มีใครรู้

มันเป็นบทเรียนชีวิตราคาแพง เป็นวันเปลี่ยนชีวิตของเรา

จากเด็กคนนึงที่ไม่เคยคิดถึงว่าชีวิตไม่ควรประมาทเลยสักวินาทีเดียว กลับกลายเป็นคนที่รู้จักมองโลกมากขึ้น เข้าใจความจริงที่เป็นไปมากขึ้น
ใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาทมากขึ้น คิดก่อนทำมากขึ้น อาจพูดได้ว่าบางทีเราอาจรู้จักคิดมากกว่าเพื่อนในวัยเดียวกันที่บางคนก็ใช้ชีวิตอย่างเลื่อนลอยไม่มีจุดหมาย
ประมาทในการดำเนินชีวิต

ที่เรามักได้ยินคนเตือนกันบ่อยๆ
ว่า “อย่าประมาทนะ มีสติกับตัวตลอดเวลา” มันใช้ได้ทุกกับสถานการณ์จริงๆ

ถ้าคุณไม่เคยเจอกับตัว
คุณจะไม่เข้าใจความหมายมันได้ดีพอ

วันเปลี่ยนชีวิตเราวันนั้นแหละที่เป็นคำตอบว่า
เราเข้าใจประโยคที่ว่านี้ดีพอหรือยัง

ใครอยากเล่าเรื่องวันเปลี่ยนชีวิตของตัวเองบ้าง คลิกที่นี่เลย

AUTHOR