Lutyens & Rubinstein Bookshop : ร้านหนังสือที่เป็นห้องนั่งเล่นอุ่นๆ ของชุมชน

ตอนบ่ายวันธรรมดาวันหนึ่ง ฉันพบตัวเองกำลังนั่งจิบไวน์และกินเค้กอย่างสบายใจพร้อมพูดคุยเรื่องวรรณกรรมกับเหล่าคนแปลกหน้า บรรยากาศแบบนี้ชวนให้คิดถึงการนั่งเม้าท์มอยกับเพื่อนๆ สมัยมัธยม แตกต่างกันตรงที่สถานที่แห่งนี้ไม่ใช่ค่ายลูกเสือ คาเฟ่เก๋ไก๋ หรือบ้านเพื่อน

แต่มันคือชั้นใต้ดินของร้านหนังสือแห่งหนึ่ง


Lutyens & Rubinstein Bookshop
คือร้านหนังสือสีขาวสะอาดตาที่ตั้งอยู่ใกล้ตลาดพอร์โทเบลโล (Portobello Market) แหล่งท่องเที่ยวชื่อดังในกรุงลอนดอน นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่คงสะดุดตาร้านนี้เพราะประติมากรรมกระดาษจากหน้าหนังสือที่ช่วยตกแต่งให้ร้านดูน่ารักกรุบกริบ แต่สำหรับคนในชุมชนย่านนี้ L&R Bookshop มีความหมายมากมายกว่านั้น

ร้านหนังสือแห่งนี้ถือกำเนิดขึ้นจากไอเดียของสองสาวเพื่อนซี้ Sarah Lutyens และ Felicity Rubinstein ที่มีประสบการณ์คร่ำหวอดในวงการหนังสือมานานถึง 20 ปี พวกเธอเป็นเจ้าของบริษัทเอเจนต์วรรณกรรมในชื่อเดียวกัน ในวัยเยาว์ ทั้งสองคือเด็กสาวที่เติบโตในชุมชนที่มีร้านหนังสือเล็กๆ ตั้งอยู่ ถึงฉันไม่บอก คุณก็คงเดาได้ว่าพวกเธอรักสถานที่แห่งนั้นมากแค่ไหน

“ร้านหนังสือแถวบ้านเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ฉันรักวรรณกรรม ในเวลานั้นไม่ว่าฉันอยากอ่านอะไร ร้านหนังสือฝุ่นเขรอะร้านนั้นก็ไม่เคยทำให้ฉันผิดหวัง” เฟลิซิตี้พูด

“ส่วนฉันก็ขลุกอยู่ที่ชั้นหนังสือเหล่านั้นได้เป็นชั่วโมงเลยล่ะ” ซาร่ายิ้มเมื่อนึกถึงอดีต

เมื่อถึงวันและวัยที่มีพลังพอจะเปิดร้านของตัวเอง ทั้งคู่จึงตั้งใจนำความสุขที่พวกเธอเคยได้รับกลับมาอีกครั้ง และเมื่อคอนเซปต์หลักคือการให้ที่นี่เป็นร้านหนังสือของชุมชน ก่อนเริ่มเปิดร้าน ทั้งสองคนจึงตระเวนสัมภาษณ์ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ รวมถึงเพื่อนนักเขียนและนักอ่านกว่า 100 คน ถามคำถามง่ายๆ ว่า ‘หนังสือเล่มไหนที่คุณอยากเห็นมันวางขายในร้านหนังสือมากที่สุด?’ จากนั้นพวกเธอก็คัดเลือกหนังสือเหล่านั้นทำเป็นหนังสือเซ็ตหลักที่จะวางขายถาวร รวมกับหนังสือออกใหม่ที่ทยอยผลัดเปลี่ยนเข้ามาอยู่ในร้านเป็นประจำ

“ฉันรับรองได้เลยว่าหนังสือทุกเล่มที่อยู่ในร้านเราต้องเป็นเล่มโปรดของใครสักคน พวกเขารักมันมากจนอยากส่งต่อให้คนอื่นได้อ่าน” Tara Spinks ผู้ช่วยผู้จัดการร้านบอกเรา “เวลาที่ลูกค้าเข้ามาที่ร้าน เราไม่อยากบอกแค่ว่าหนังสือเล่มนี้ขายดี คนส่วนใหญ่ต้องชอบมัน แต่เราอยากช่วยให้เขาได้เจอหนังสือเล่มที่เหมาะกับเขาจริงๆ มากกว่า” Claire Harris ผู้จัดการร้านเสริม

แคลร์คือทีมงานคนสำคัญในร้าน เธอมีความสามารถไม่ธรรมดา เจ้าของทั้งสองถึงกับเคยยกย่องว่าเธอมีพลังพิเศษที่เดารสนิยมการอ่านของลูกค้าได้อย่างน่าอัศจรรย์ นอกจากจะใช้ความสามารถนี้แนะนำหนังสือให้นักอ่าน เธอยังใช้มันกับกิจกรรมสมาชิกรายปี บริการที่ทางร้านจะส่งหนังสือที่ลูกค้าแต่ละคนน่าจะชอบไปเซอร์ไพรส์พวกเขาทุกเดือนตลอดปี ความแม่นของแคลร์ทำให้ลูกค้าทุกคนรู้สึกเหมือนได้เจอเพื่อนสนิทที่รู้ใจ ความเชื่อใจนี้นอกจากจะทำให้จำนวนลูกค้าเพิ่มขึ้น ยังมีลูกค้าอีกหลายคนเชื่อมั่นในเซนส์ของแคลร์จนขอให้ L&R ส่งหนังสือไปให้เพื่อนของพวกเขาในหลายประเทศทั่วโลก

“คุณไม่เคยเดาพลาดสักครั้งจริงๆ เหรอคะ” ฉันถามด้วยความสงสัย

แคลร์หัวเราะก่อนตอบคำถามว่า “เพราะฉันอ่านหนังสือเยอะมากน่ะ ราวๆ 20 – 30 เล่มต่อเดือนได้มั้ง แล้วฉันจะมีลิสต์สรุปหนังสือแต่ละเล่มที่เคยอ่านเอาไว้” แคลร์เผยความลับพร้อมเล่าต่อว่าลูกค้าที่มาสมัครบริการต้องตอบแบบสอบถามด้วยว่าพวกเขาชอบอ่านหนังสือแนวไหน เล่มไหนที่เคยอ่านแล้วชอบหรือไม่ชอบ เพื่อช่วยให้ร้านเลือกหนังสือได้ใกล้เคียงกับรสนิยมของแต่ละคนมากที่สุด

นอกจากบริการจัดส่งหนังสือแบบเซอร์ไพรส์คนอ่าน ทางร้านยังจัดกิจกรรมชมรมหนังสือหลากหลายประเภท อย่างชมรมหนังสืออาชญากรรม หนังสือคลาสสิก หรือหนังสือนิทาน

“เวลาทำกิจกรรมในชมรมหนังสือพวกคุณทำอะไรกันบ้างเหรอคะ” ฉันถาม

“อีกแป๊บเดียวเราจะมีนัดกับชมรม Daylight Bookclub พอดี เธอจะมาด้วยกันไหมล่ะ แล้วเธอก็จะได้คำตอบเอง” แคลร์พูดพร้อมขยิบตา

พอนาฬิกาบอกเวลาเที่ยงตรง สมาชิกชมรมก็ทยอยเดินเข้ามาในร้าน ฉันเดินตามทุกคนลงไปที่ชั้นใต้ดินอย่างว่าง่าย ด้านล่างนี้เป็นโซนวางขายหนังสือถาวรของร้านอย่างที่เล่าไป ตอนนี้พื้นที่ตรงกลางที่มีอยู่น้อยนิดแน่นขนัดไปด้วยโต๊ะตัวใหญ่และเก้าอี้หลายตัวตั้งล้อมรอบ สิ่งที่อยู่บนโต๊ะที่ทำให้ฉันตาลุกวาวไม่ใช่หนังสือ แต่เป็นขนมและเครื่องดื่มหน้าตาน่ากินมากมาย ฉันมองไปรอบๆ ด้วยความอยากรู้อยากเห็น เพิ่งสังเกตว่าสมาชิกชมรมแต่ละคนอยู่ในช่วงวัยที่หลากหลายตั้งแต่คุณป้าแก่ๆ หญิงวัยกลางคนไปจนถึงหนูน้อยวัยประถม

หนังสือที่เราจะคุยกันวันนี้คือวรรณกรรมคลาสสิกเรื่อง
Anne of Green Gables หรือที่แปลเป็นไทยในชื่อ โลกของแอนน์ ในวงสนทนาพวกเขาคุยกันถึงตัวละครที่ชอบ ประเด็นน่าคิด ฉากที่ประทับใจ ไม่ต้องมีพิธีรีตองอะไร ความชอบในสิ่งเดียวกันทำให้คนต่างวัยตาเป็นประกายและพูดคุยกันได้เหมือนเพื่อนสนิท

ฉันเฝ้ามองบทสนทนาตรงหน้าด้วยความตื่นตาตื่นใจ น่าสนุกดีเมื่อคิดว่าหนังสือมีพลังดึงดูดให้คนทุกเพศทุกวัยกลายเป็นเพื่อนกันได้ เราต่างเต็มใจเปิดประตูความสัมพันธ์เมื่อรู้ว่าคนที่อยู่ตรงหน้ามีความคิด ความเชื่อคล้ายกันผ่านสิ่งที่เขาอ่าน

“กิจกรรมแบบนี้ทำให้มีลูกค้าเยอะมากที่กลายเป็นเพื่อนสนิทจริงๆ ของเรา” ทาร่าบอกฉันหลังจากสมาชิกทุกคนแยกย้ายกลับบ้าน

“สมมติถ้าร้านนี้มีพื้นที่กว้างขึ้น คุณอยากจะเติมอะไรลงไปเหรอคะ” ฉันหันไปถามเจ้าของร้าน

พวกเธอนิ่งคิดสักพักก่อนตอบคำถามว่า “ฉันคงไม่เพิ่มจำนวนหนังสืออีกแล้วล่ะ พื้นที่จำกัดแบบนี้ทำให้เราต้องคัดเฉพาะหนังสือที่ดีจริงๆ เข้ามาในร้านเท่านั้น และนั่นคือจุดแข็งของร้านเรา ถ้ามีอะไรที่อยากเพิ่ม ฉันขอเพิ่มที่นั่งสบายๆ ให้ลูกค้าได้เข้ามามีความสุขกับหนังสือในร้านดีกว่า”

ได้ยินแบบนี้ฉันเลยนึกย้อนไปถึงช่วงเวลาก่อนที่สมาชิกในชมรมจะแยกย้าย ทาร่าหยิบปฎิทินขึ้นมานัดแนะกับทุกคนถึงกิจกรรมชมรมครั้งต่อไป แล้วสาวน้อยผมบลอนด์ที่อายุน้อยที่สุดในวงก็พูดขึ้นว่า “ครั้งหน้าหนูขอพาเพื่อนๆ มาด้วยได้ไหมคะ?”

ฉันว่าพวกเขาควรหาทางเพิ่มที่นั่งในร้านด่วนๆ เลยล่ะ


Lutyens & Rubinstein’s Recommended

A Fine Balance โดย Rohinton Mistry

เฟลิซิตี้เล่าว่า ตอนที่พวกเธอสัมภาษณ์คนเพื่อหาสุดยอดหนังสือดีมาอยู่ในคอลเลกชันถาวร หนังสือเล่มนี้คือเล่มที่คนพูดถึงเยอะที่สุด มันเป็นหนังสือที่เล่าความหมายของชีวิตผ่านความสัมพันธ์ของชาวอินเดีย 4 คนในช่วงปี 1975 ที่ประเทศอินเดียกำลังเกิดความวุ่นวาย

“ฟังตอนแรกอาจเป็นหนังสือชวนหดหู่ แต่ฉันรับรองว่าอ่านแล้วคุณจะรู้สึกตรงกันข้าม หนังสือเล่มนี้จะทำให้คุณดีใจที่ยังมีลมหายใจอยู่เลยล่ะ”

The Underground Railroad โดย Colson Whitehead

เนื้อเรื่องพูดถึงชีวิตของชาวผิวสีสองคนในสหรัฐอเมริกายุคก่อนการเลิกทาส ทั้งสองต้องหลบหนีจากการเป็นทาสผ่านทางรถไฟใต้ดินซึ่งเป็นเส้นทางลับจากรัฐทางใต้ในอเมริกาขึ้นมาทางเหนือ เนื้อเรื่องที่เข้มข้นและสะท้อนสังคมทำให้หนังสือเล่มนี้คว้ารางวัลมาแล้วจากหลายเวที อย่างรางวัลพูลิตเซอร์ (Pulitzer) กับรางวัลหนังสือแห่งชาติ (National Book Award) คนที่อ่านหนังสือเกือบวันละเล่มอย่างแคลร์ยังเอ่ยปากชมว่าเล่มนี้ดีงามสุดๆ

best time to visit: L&R มีกิจกรรมทั้งเปิดตัวหนังสือ เสวนา และชมรมหนังสือทุกเดือน ดูตารางกิจกรรมได้ที่ lutyensrubinstein.co.uk/bookshop-news-events/ ส่วนถ้าอยากสมัครสมาชิกหนังสือรายปี เข้าไปดูรายละเอียดและสมัครออนไลน์ได้ที่ lutyensrubinstein.co.uk/bookshop-bespoke-services แนะนำให้มาวันเสาร์จะได้เที่ยวตลาดพอร์โทเบลโลไปพร้อมๆ กัน

“พื้นที่ที่จำกัดแบบนี้ทำให้เราต้องคัดเฉพาะหนังสือที่ดีจริงๆเข้ามาในร้านเท่านั้น และนั่นข้อดีของร้านเรา ถ้ามีอะไรที่อยากเพิ่ม ฉันขอเพิ่มที่นั่งสบายๆ ให้ลูกค้าได้เข้ามามีความสุขกับหนังสือในร้านดีกว่า”

Sarah Lutyens และ Felicity Rubinstein

Lutyens & Rubinstein Bookshop


address:
21 Kensington Park Road,London, W11 2EU, United Kingdom
hours: เปิดทุกวัน วันจันทร์ 10.00 – 18.00 น., อังคาร-ศุกร์ 10.00 – 18.30 น., เสาร์ 10.00 – 18.00 น., อาทิตย์ 11.00 – 17.00 น.
how to get there: นั่งรถไฟใต้ดินมาที่สถานี Ladbroke Grove แล้วเลี้ยวขวาเดินมาตามถนน Ladbroke Grove เลี้ยวซ้ายที่ถนน Elgin Cres เลี้ยวซ้ายอีกทีที่ Kensington Park Road ใช้เวลาประมาณ 5 นาที ร้านจะอยู่ซ้ายมือ
twitter | @LandRBookshop
www.lutyensrubinstein.co.uk


ภาพประกอบ
Faan.peeti

บทสัมภาษณ์ส่วนหนึ่งเรียบเรียงจากบทความของ thegardian.com, yalebooksblog.co.uk, clarefuller.co.uk, wwword.com

AUTHOR