จะออกไปจับปูสีฟ้าและเหมือนทะเลปัตตานีเข้าใจ

1.

ไม่รู้ว่าความรู้สึกมันคืออะไรกันแน่ ดีใจ กังวล หรือตื่นเต้นปนขี้ขลาด

การนั่งเรือออกไปดูการจับปูม้าคงไม่ใช่เรื่องที่น่ากังวลอะไร ถ้าเราเองว่ายน้ำเป็น ถ้าไม่ใช่การออกทะเลครั้งแรก เรารับปากกับแบอย่างดิบดีว่าจะออกไปด้วยเพราะคิดว่าไหนๆ ก็มาถึงนี่แล้ว ทั้งที่ในใจไม่มั่นใจเอาซะเลย

“ถ้าไม่มีพายุจะให้ออกไปด้วย”

แบบอกเราประมาณนี้ในคืนสุดท้ายก่อนออกทะเล แต่นั่นยิ่งทำให้คนปอดแหกคิดไปกันใหญ่ ถ้าออกทะเลแล้วมีพายุล่ะ เรือล่มล่ะ จะทำอย่างไร

“วัยรุ่นมีครั้งเดียวนะโว้ย”

เราบอกตัวเอง

“แต่ตายเพราะคำนี้ก็เยอะนะโว้ย”

เราบอกตัวเองอีกที

จำได้ว่าคืนนั้นหลับไปแบบพะวง ในใจลึกๆ ก็แอบอยากให้ตื่นมาแล้วฝนตกหนัก จะได้ไม่ต้องไป แต่อีกใจก็เสียดาย เราคิดถึงเพลง เรือเล็กควรออกจากฝั่ง ของบอดี้สแลม เรารู้ดีว่าความกล้ากับบ้าบิ่นมีเส้นบางๆ คั่นไว้ แต่ในเพลงเขาก็ไม่ได้ออกทะเลจริงๆ หรือเปล่าวะ!

2.

เราตื่นจากการนอนแบบครึ่งหลับครึ่งตื่นด้วยความกังวล

ไม่มีเสียงฝนหรือเสียงพายุที่ไหน แต่มีเสียงคนลุกมาต้มกาแฟดื่มตอนเช้า แบลุกขึ้นมาเตรียมสิ่งของสำหรับออกเรือในครั้งนี้ น้ำมัน เนื้อปลา และถังปลาถูกเตรียมไว้เรียบร้อยหน้าบ้าน แบเอากางเกงลูกฟูกหนาตัวหนึ่งโยนให้เราใส่ แกบอกว่าตัวที่เราใส่อยู่เอาไว้ใส่กลับดีกว่า ก่อนจะเดินหายไปและกลับมาพร้อมถุงโรตีที่กำลังจะกลายเป็นมื้อแรกของเราบนเรือ

เวลาตีห้าพระอาทิตย์ยังไม่ออกมา เห็นเพียงปลายแสงสีส้มอ่อน เราเดินตามแบไปยังท่าจอดเรือ พร้อมกันนั้นยังมีชายอีก 3-4 คนประจำอยู่ที่เรือของตนเองเรียบร้อย ทุกคนเช็กสภาพเรือครั้งสุดท้ายก่อนออก ส่วนเราเองก็ยังสะบัดความประหม่าไม่พ้นแม้ถึงคราวต้องลงเรือ

เรือมุ่งหน้าออกจากอ่าวขณะที่ฟ้าส่วนใหญ่ยังมืดพร้อมกับเรือพลพรรคอีก 4-5 ลำ ด้านหลังของแบแสงจันทร์ยังคงแจ่มชัด ทางด้านหน้าคือตือโละ (อ่าว) ปัตตานีที่แสงสีส้มจากพระอาทิตย์กำลังเริ่มมาทวงคืนท้องฟ้า คลื่นที่กระแทกเรือ น้ำทะเลกระเซ็นมาโดนหน้า ตอกย้ำกับเราว่านี่ไม่ใช่ความฝัน และแกกำลังจะออกทะเลจริงๆ เรือกำลังขับออกจากอ่าวตันหยงเปาว์ออกไปไกลเรื่อยๆ

3.

เรานั่งเรือออกมากว่าชั่วโมงแล้ว แต่น่าแปลกใจที่เทือกเขาสันกาลาคีรีไม่ได้ดูเล็กลงเลย

ความยิ่งใหญ่ของเขาทำให้เราอุ่นใจขึ้น แดดเริ่มฉายแสงอย่างจริงจัง ทะเลจากที่มืดๆ ก็กลับมีประกาย ราวกับหญิงสาวที่เพิ่งตื่น ทุกอย่างกำลังแจ่มชัดในความมืด

พอขับไปได้สักพักแบก็เริ่มชะลอเรือ พร้อมมองหาอะไรบางอย่าง แบเลี้ยวหัวเรือไปยังจุดที่แกเชื่อว่าจะไปได้ เราไม่มีจอเรดาร์ ไม่มีเครื่องติดตาม มีขวดน้ำมัน เนื้อปลาที่ใช้เป็นเหยื่อ กับถุงโรตี

แกชะลอเรือเข้าไปใกล้ทุ่นโฟมพลาสติก ก่อนจะสาวเชือกดึงลอบขึ้นมา ในนั้นมีเจ้าปูสีฟ้า (ปูม้า) เป็นประกาย แทบจะคล้ายกับสีทะเล แกเทปูจากลอบลงในถังก่อนจะหยิบชิ้นเนื้อปลาเอาไว้เป็นเหยื่อล่อปูในครั้งต่อไป แบเช็กร่องรอยความเสียหายของลอบก่อนจับโยนลงทะเลอย่างเชี่ยวชาญ และหวังให้ครั้งหน้ามีปูตัวต่อไปมาอยู่ในลอบนี้อีกครั้ง

4.

คนเรามีทั้งโชคดีและโชคร้าย เหมือนลอบปูที่แบสาวขึ้นมาจากทะเล

ลอบอันเดียวบางทีก็ได้ปูสี่ตัว บางอันก็ได้ตัวเดียว หลายอันว่างเปล่า แต่ที่แย่สุดคือลอบหายไปทั้งอัน เพราะถูกอวนลากของชาวประมงผิดกฎหมายลากไปหมดทั้งปู ลูกปู ปะการัง หน้าดินใต้ทะเล ลากความสมบูรณ์ที่เคยมีหายไปในพริบตา

แบเล่าว่า นับวันแบยิ่งต้องออกทะเลไปไกลขึ้นเรื่อยๆ ความสมบูรณ์ที่เคยมีเริ่มหมดไป การทำประมงแบบผิดกฎหมายเกิดขึ้นเพราะความต้องการที่มากขึ้น ปูที่เคยว่ากันว่าเดินหาจับได้ง่ายๆ ในแนวใกล้ๆ ถึงวันนี้ต้องออกเรือไปเกือบชั่วโมงถึงจะเริ่มจับตัวแรกได้ และตนก็มั่นใจว่าอนาคตอาจต้องออกไปไกลกว่านี้แน่ๆ แต่ก็ยังดีที่ชาวบ้านในพื้นที่พยายามรักษาฐานที่มั่นสุดท้ายของพวกเขาคือการอนุรักษ์สิ่งที่พอมีอยู่ให้เติบโต ในทุกๆ ปีชาวบ้านจะรวมตัวกันทำซังปลาไว้เป็นสถานอนุบาลลูกปลาเล็กๆ พยายามกันไม่ให้ใครเข้าไปยุ่มย่ามก่อนเวลาอันควร

5.

ตะวันลอยสูง ทำมุมองศาได้เข้าตาพอดี แบหยิบหมวกใบเก่งของตัวเองออกมาใส่บังแดด พอเริ่มสาย แดดแรง ทำให้มองเห็นทุ่นโฟมได้ยากขึ้น แบยังดูแข็งขัน เพราะตั้งใจมาเอาปูตามที่มีคนสั่งเอาไว้ ซึ่งดูเหมือนว่าการทำประมงของแบจะทำตามสั่ง คือสั่งเท่าไหนก็จับไปเท่านั้น จำนวนที่จับแต่ละครั้งจึงไม่ได้มาก ทำเท่าที่กำลังตัวเองมี  

พอขับไปสักพัก แบก็ชวนหยุดพักกินโรตีที่ซื้อมาเมื่อเช้า พร้อมกับแบ่งให้เราอันหนึ่ง นั่นเป็นโรตีมื้อแรกของเรากลางทะเล สำหรับเราเองอาหารธรรมดาๆ ในบรรยากาศแบบนี้มันทำให้เราจำช่วงเวลานั้นได้เป็นอย่างดี เสียงที่ขับกล่อมเรามีเพียงเสียงทะเล

พอกินเสร็จแบก็หยิบน้ำมันในขวดออกมาเติมใส่เครื่อง ตรวจดูสภาพเครื่องยนต์ก่อนจะทำหน้าที่อีกครั้ง

ส่วนตัวเราเองตอนนี้ไม่ได้กลัวทะเลเหมือนก่อนหน้าอีกแล้ว

6.

“อันสุดท้ายแล้ว” แบกล่าว

หลังจากที่เราตามลอบปูหลายสิบอัน มาจนถึงอันสุดท้าย สังเกตได้จากทุ่นลอยติดธง เป็นสัญลักษณ์ว่าเรามาไกลสุดอาณาเขตที่แบวางลอบปูม้าไว้ แบเลี้ยวหัวเรือกลับ แบบอกว่าวันนี้ต้องรีบหน่อย เนื่องด้วยเป็นวันสุดท้ายที่เรา (ผู้เขียน) จะได้อยู่ที่นี่

ขากลับแบเปลี่ยนท่าขับเรือจากยืนมานั่งแบบสบายๆ ตอนนี้ไม่มีอะไรแล้ว มีแต่ปูม้าเกือบเต็มถัง เราเห็นเรือประมงของเพื่อนๆ แบมากขึ้น ราวนัดกันกลับเวลาเดียวกัน

แบส่งเราขึ้นฝั่ง นัดแนะว่าให้เราไปอาบน้ำและเก็บของเพื่อรอรถตู้มารับ ส่วนแกจะเอาปูไปจัดการต่อเอง

7.

ก่อนเราจะขึ้นรถกลับ แบเดินถือถุงใบใหญ่มาหา ข้างในมีปูม้าที่เคยเป็นสีฟ้าแต่บัดนี้ถูกนึ่งจนสุกกลายเป็นสีส้ม แบยื่นให้เรา พอเห็นสีหน้างงๆ แกเลยบอกว่า

“ของลูกน้อง ค่าจ้างที่มาช่วยงาน”

แบถือปูนึ่งถุงใหญ่ไปวางไว้ท้ายรถ ก่อนช่วยเราและคณะขนของขึ้นรถ เราจับมือลากันเล็กน้อย ก่อนรถเคลื่อนตัวออกจากหมู่บ้าน มองจากท้ายรถจะเห็นแบกำลังห่างไปเรื่อยๆ จนสุดสายตา

แต่ที่อยู่ข้างๆ เราคือปูม้าหนึ่งถุงที่ยังคงอยู่ในความทรงจำ

ขอขอบคุณ สถาบันสิทธิมนุษยชนและสันติศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล

AUTHOR