หลงไปในดินแดนมายาคติของ Benzilla ศิลปินที่เชื่อว่าโลกหมุนตามวัตถุที่ถูกทำให้นิยม

สำหรับคนที่ติดตามวงการสตรีทอาร์ตคงรู้จัก Benzilla หรือ เบนซ์-ปริญญา ศิริสินสุข กันดีอยู่แล้วในฐานะศิลปินที่มีสไตล์การออกแบบเป็นเอกลักษณ์ด้วยคู่สีที่ฉูดฉาด และการใช้คาแรกเตอร์ LOOOK มนุษย์ต่างดาวสามตาที่ฮิตไปทั่วบ้านทั่วเมือง

เบนซ์ชื่นชอบการวาดรูปมาตั้งแต่เด็ก ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นทำให้เบนซ์ทำงานศิลปะควบคู่กับงานดีไซน์มาตั้งแต่สมัยเรียน และด้วยผลงานที่โดดเด่นไม่เหมือนใคร ทำให้เบนซ์ได้ร่วมทำงานกับหลากหลายแบรนด์ทั้งในไทยและต่างประเทศ รวมถึงมีโอกาสได้จัดแสดงงานมานับไม่ถ้วน

ในปีนี้เบนซ์กลับมาอีกครั้งกับนิทรรศการเดี่ยวครั้งใหม่ ‘LOST IN PARADISE’ นิทรรศการนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากโลกในมายาคติ และวัตถุนิยมในสังคมรอบตัวที่เขาพบเจอ รวมไปถึงการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างในชีวิต เราจึงชวนเขามาพูดคุยทบทวนชีวิตที่ผ่านมา และหากจะมีสักอย่างที่เราได้จากเรื่องราวของเขา มันคงเป็นความคิดที่พยายามบอกเราว่าการรู้เท่าทันตัวเองจะนำมาสู่ชีวิตที่มีความสุข

คุณชอบวาดรูปตั้งแต่เมื่อไหร่

ตอนเด็กผมชอบพวกเกมการ์ตูนญี่ปุ่น ตอนนั้นเราก็หมกมุ่นอยู่แต่กับการเล่นเกม ในเกมมันก็จะมีการออกแบบคาแรกเตอร์ พอเล่นไปเล่นมาก็ทำให้รู้ว่าจริงๆ แล้วเราไม่ได้ชอบเล่นเกม แต่เราชอบดูดีไซน์ ชอบดูแบบโลโก้เกม ชอบดูธีม Art Direction อะไรแบบนี้ พอช่วงประถมเราก็ออกแบบตัวละครเกมให้เพื่อนเล่น ในหนังสือเรียนก็มีแต่การ์ตูนที่เราวาดเต็มไปหมด เราก็ทำแบบนั้นไปเรื่อยๆ จนกลายเป็นนิสัย 

พอช่วงมหาลัยก็สอบเข้าไม่ติดสักอย่าง เราเลือกมหาลัยมั่วๆ ฟลุกได้มาเรียนออกแบบ แล้วมารู้ทีหลังว่า อ้าว นี่มันสอนที่เรื่องเราชอบนี่หว่า (หัวเราะ) ช่วงนั้นเราชอบสเก็ตบอร์ด เพราะสเก็ตบอร์ดมันก็จะมีกราฟิกต่างๆ แล้วเราก็ชอบ Typography กับ Character ด้วย ผลลัพธ์ที่ได้ก็คืองานเรามันจะมีความ Hybrid มากๆ

ตัวละคร ‘LOOOK’ มนุษย์เอเลี่ยนสามตามีที่มาจากอะไร

เอาจริงๆ เราก็มั่วมาเหมือนกัน (หัวเราะ) คือตั้งแต่เด็กเราเป็นคนที่ชอบเรื่องวิทยาศาสตร์ เรื่องดวงดาวอะไรแบบนี้ เราก็เลยชอบรูปทรงกลมๆ รีๆ พวกจรวด อวกาศ ประกอบกับว่ามันวาดง่ายแล้วมันก็ดูไม่เป็นคน ไม่เป็นสัตว์ ดูไม่เข้าหมวดหมู่ ไม่เกี่ยวข้องกับอะไรเลย ซึ่งมันตรงกับนิสัยเรา เราเป็นคนที่ไม่เข้าพวก ก็เลยรู้สึกว่าตัวละครนี้มันเหมือนเป็นตัวแทนของคนที่ไม่ fit in กับที่ใดที่หนึ่ง

เคยวิเคราะห์ตัวเองในวัยเด็กไหมว่าทำไมเป็นคนไม่เข้าพวก

นั่นสิ เราก็ไม่เคยคิดเรื่องนี้มาก่อนเลย (หัวเราะ) อาจจะเป็นเพราะว่าเราเป็นคนที่ไม่ค่อยชอบเหมือนคนอื่น 

สมมติว่าเราชอบฟังเพลงวงนี้ ทั้งโรงเรียนไม่มีใครฟังเหมือนเราเลย เราเลยมีความรู้สึกโดดเดี่ยวนิดหน่อย แต่ก็เป็นความโดดเดี่ยวที่น่ายินดี หรือถ้ามีสิ่งหนึ่งที่กำลังฮิตมากเลยในโรงเรียน เราก็จะไม่เอาเลย อาจจะเป็นนิสัยส่วนตัวที่อาจจะอยากทำอะไรสนุกๆ ถ้ามีคนทำไปแล้วมันไม่สนุกสำหรับเราแล้วไง เราก็จะหาอย่างอื่นที่มันตื่นเต้นไปเรื่อยๆ ทำให้เราเป็นคนมี Community ที่ชอบหลายๆ อย่าง เราไม่เคยฝังตัวเองว่าเป็นคนแห่งวงการศิลปะเลย รู้สึกว่าตัวเองเป็นนักออกแบบที่วาดรูปด้วยซ้ำ (หัวเราะ) 

ซึ่งเรารู้สึกว่าตัวคาแรกเตอร์ LOOOK มันไปตอบโจทย์เรื่องนั้น มันเป็นตัวละครที่คอยเฝ้ามองว่าเกิดอะไรขึ้นโดยไม่รู้อีโหน่อีเหน่อะไร มีดวงตาสามตาใหญ่ๆ เอาไว้มอง ซึ่งดวงตาที่สามมันมาจาก Eye of Wisdom เหมือนการรู้แจ้งบางอย่าง เราอาจจะยังไม่รู้ตอนนี้แต่มันมีอยู่ มันเป็นเรื่องของปรัชญาหน่อยๆ แล้วตัวละคร LOOOK เราดีไซน์ให้มันไม่มีปาก เพราะเราอยากให้ตัวละครนี้เป็นตัวแทนของทุกคนที่เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นแต่ก็ไม่ได้อยากจะตัดสิน เขาไม่มีปาก เขาไม่พูด ไม่ตัดสินใคร มีแต่การมองเท่านั้น

ส่วนใหญ่งานของคุณจะดูสนุก แล้วตัวตนจริงๆ เป็นแบบนั้นไหม

ไม่เลย คนรอบๆ ข้างมักจะบอกว่าเราเป็นคนจริงจัง แต่ไม่ค่อยคิดมาก ค่อนข้างชิลๆ ไม่ค่อยคิดอะไรซับซ้อน งานที่ออกมามันก็เลยค่อนข้างดู Innocent

ความเป็นเอกลักษณ์ของการจับคู่เฉดสีที่ชัดเจนมากๆ ในงาน คิดว่าส่วนหนึ่งมาจากการที่คุณตาบอดสีด้วยหรือเปล่า

มันก็อาจจะมีส่วนที่ทำให้เราใส่ใจเรื่องสีมากเป็นพิเศษ อย่างสีที่ใช้ก็เลือกจากการกำหนดพาเลตสีที่ชัดเจน มีหมายเลขรหัสสีของตัวเองเพื่อให้รู้ว่าเรากำลังระบายสีอะไรอยู่ กลายเป็นว่าทำให้วิธีการทำงานเราเป็นระบบระเบียบมากขึ้น

รู้ตัวตอนไหนว่าตัวเองตาบอดสี

เราเพิ่งมารู้ตอนเรียนปี 3 ตอนนั้นอาจารย์สั่งให้วาดรูปโมโนโทนเป็นสีขาวเทาดำ เราก็วาดเป็นพอร์เทรต พอเอาไปส่งอาจารย์บอกนี่มันสีชมพูนะใช้ได้ไง เราก็ อ้าว นึกว่าสีเทามาตลอด แล้วก็กลายเป็น อ้าว นี่กูตาบอดสี ฉิบหายละ (หัวเราะ) 

แต่ตอนนั้นก็มีอาจารย์คนหนึ่งเขาดีมากเลย เขาบอกว่า “เห้ย ไม่เป็นไร บีโธเฟนนี่หูหนวกนะรู้หรือเปล่า แต่เขาก็มีเครื่องไม้เครื่องมือเพื่อหาวิธีในการทำงาน ในขณะเดียวกันเราก็มีคอมพิวเตอร์ มันก็สามารถกดดูค่าสีได้” เราก็ใช้วิธีฝึกโดยให้แฟนชี้เหมือนเล่นเกมโชว์ วันหนึ่งก็ชี้สัก 50 อัน พยายามจำเป็นภาพว่าอันนี้สีอะไร พอฝึกไปเรื่อยๆ มันก็เริ่มดีขึ้น ทำให้วิธีการเลือกสีในงานของเรามันไม่ได้เลือกจากสี แต่เลือกจากน้ำหนักของสีที่มันมีความหนักเบา ซึ่งเอาจริงๆ แล้วเราก็ไม่อยากจะหายนะ เราอยากเป็นแบบนี้แหละ มันมั่วๆ ดี (หัวเราะ)

สมมติว่ามีเด็กคนหนึ่งอยากเรียนวาดรูป แต่รู้สึกว่าตัวเองไม่มีความพร้อมหรือไม่มั่นใจว่าจะทำได้หรือเปล่า คุณอยากบอกอะไรกับพวกเขา

ผมเคยได้ยินคำหนึ่งแล้วรู้สึกว่ามันดีมากเลย คือเราใช้สิ่งที่เรามีก็พอ สมัยก่อนเราเป็นเด็กบ้านไม่มีตังค์แล้วมันมีข้อจำกัดเต็มไปหมดเลย ตอนเรียนมีคนจ้างให้ไปวาดกำแพง 10 เมตร ตอนนั้นมีปากกาตราม้าอยู่ด้ามหนึ่ง เราใช้ปากกาด้ามเดียววาด 10 เมตรเลย คือเรามีเท่านี้ก็ใช้เท่านี้ สุดท้ายเราก็เอาตัวรอดมาด้วยของที่เรามี ซึ่งแต่ละคนก็อาจจะมีข้อจำกัดที่ไม่เหมือนกัน ทั้งกายภาพ สภาพแวดล้อม หรือพ่อแม่อาจจะไม่ชอบ เราก็ทำเท่าที่ทำได้ แอบวาดก็ได้ อย่างเราตาบอดสีก็ทำเท่าที่เราเห็น เราว่ามันเป็นข้อดีนะเพราะว่ามันทำให้เราแตกต่าง

นิทรรศการเดี่ยวครั้งนี้ทำไมถึงชื่อว่า ‘LOST IN PARADISE’ 

ชื่อนิทรรศการ LOST IN PARADISE เกิดจากการที่เมืองไทยชอบถูกเรียกว่า Paradise แล้วเรารู้สึกว่าโคตรปลอมเลยว่ะ ทำไมมันดูปลอมจังวะ เหมือนเวลาไปพัทยาแล้วมี Welcome to Amazing Thailand มันไม่เห็นจะไทยเลย เหมือนเอาไว้แค่หลอกนักท่องเที่ยวซึ่งเราชอบนะ มันดูตลกดี เราก็เลยเอาคำนี้มาใช้ 

อีกอย่างหนึ่งคือเรารู้สึกว่าสิ่งที่เราเห็นตามไอจี ตามทีวี โห มัน Bullshit มากๆ เลย เช่น เราเห็นคนหนึ่งรวยมาก เพราะเขาอยากให้เราเห็นแค่แบบผิวเผิน อยากให้เห็นแค่ในมุมที่รวยหรือชีวิตดี แต่ความจริงแล้วเขาอาจจะเป็นคนที่มีความลำบากเหมือนเราก็ได้ รวมถึงเรื่องความเชื่อกลุ่มลัทธิ หรือเรื่องสงครามสื่อที่อยากจะครอบงำความคิดให้คนคิดไปในทางที่เขาต้องการ 

เรารู้สึกว่าสิ่งเหล่านี้มันก็คือมายาคติ สิ่งที่เราเห็นอาจจะไม่เป็นความจริงเสมอไป เพราะงั้นเราก็เลยเปรียบมายาคติเหมือนลมที่เราไม่เห็นแต่รู้ว่ามันมีอยู่จริง ซึ่งลมมันก็อาจจะเป็นเรื่องความอยากได้อยากมี ความอิจฉา ความอวย หรือสิ่งที่เป็นความคิดความรู้สึกอัดเข้าไปในลูกโป่ง ลูกโป่งก็เป็นเหมือนตัวแทนของเรา ซึ่งเราเก็บอะไรไว้ข้างในนั้นมากมายจนวันหนึ่งมันไม่ไหวมันอาจจะแตกได้

อะไรเป็นแรงบันดาลใจทำให้คุณสนใจเรื่องมายาคติ

เราคุยเรื่องแบบนี้กับแฟนบ่อย รู้สึกว่าชีวิตเราคิดไปเองเยอะมากเลย คนเราอยู่กับความเป็นจริงน้อยมากๆ อย่างเช่น โฆษณาที่จูงใจให้เราคล้อยตามอะไรแบบนี้ ซึ่งเราชอบพวกโฆษณา ชอบดูสื่อที่สวยงามที่เป็น Story Telling เพราะมันคือศิลปะการลวง เล่นกับความคิดความรู้สึกเรา เรารู้สึกว่ามันก็เป็นเรื่องน่าสนใจ แล้วก็คิดว่าถ้าเราหลุดจากมายาคติได้หรือรู้ว่ามันมีอยู่ ชีวิตเราคงจะมีความสุขมากขึ้น รู้เท่าทันมากขึ้นเยอะเลย

แล้วมายาคติของคุณตอนนี้คืออะไร

ตอนนี้อยากประสบความสำเร็จ อยากรู้สึกว่าตัวเองประสบความสำเร็จจนรู้สึกพอใจ แต่เรารู้นะว่าเราใกล้แล้ว ใกล้พอใจแล้ว ก็เลยเบาลงไม่ค่อยบ้าเหมือนเมื่อก่อน จริงๆ ตอนนี้ก็พอใจแล้วแต่แค่ Transition ยังไม่เสร็จ

คุณรู้ได้ยังไงว่าจุดไหนที่ตัวเองรู้สึกพอใจแล้ว

เราไม่ได้คิดเป็นรูปธรรมนะ คือจิตใจเราถูกฝึกฝนจนมีความสงบมากพอที่จะรู้ว่าเราพอใจแล้วหรือยัง เรารู้ว่าใกล้แล้วเพราะเตือนสติตัวเองอยู่ตลอดว่าต้องอย่าไปหลงกับสิ่งรอบตัวมากนะ ต้องอยู่กับความสงบสุขให้เป็น

ในฐานะที่คุณเป็นศิลปินที่มีโอกาสได้ทำงานกับแบรนด์มากมายทั้งไทยและต่างประเทศ คิดว่างาน Commercial มีผลต่อศิลปินหรือนักออกแบบไหม

ไม่มีผลเลย เราชอบมากๆ เพราะว่าทำอาชีพนั้นมาก่อน เราชอบที่จะเอางานเราเข้าไปอยู่กับสไตล์ของแต่ละแบรนด์ ชอบโคตรเลย สมมุติว่าเราทำกับกาแฟแบรนด์หนึ่ง เขามีเอกลักษณ์แบบนี้ เราก็เข้าไปอยู่ในโลกของเขา มันให้ความรู้สึกเหมือนเราไปเที่ยว คือบางแบรนด์อาจจะลึก บางแบรนด์อาจจะตื้น แต่เรารู้สึกว่ามันน่าค้นหาดี ทั้งสี ทั้ง Mood และ Tone ทั้ง Communication ที่เขาทำมา มีมุมไหนที่จะเข้ากับงานเราได้บ้าง มุมไหนที่เราจะไปทำกับเขาแล้วมันสมเหตุสมผล แล้วมันทำให้ตัวละครเราถูกบิดไปตามโอกาส มันเลยสนุก

เวลาคิดงานไม่ออกคุณทำยังไง

ใช้วิธีหยุดเลยครับ ถ้าเมื่อก่อนยังมีเวลาก็จะไปดูหนังเพราะมันจะดึงเราออกไปเลย เราอินกับการดูหนังมาก บ้ามาก แต่หลังๆ ไม่ค่อยมีเวลาก็จะใช้วิธีหยุดแล้วก็ใจดีกับตัวเราเองบ้าง อาจจะเป็นอีโก้ด้วยมั้ง รู้ตัวอีกทีก็มีความเครียดเยอะมากเลย เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมาหัวใจเต้นแรง อย่างแบบนี้เริ่มไม่ดีแล้ว รู้สึกว่าอันตราย เพราะมันคิดไม่ออกก็ไม่อยากจะตะบี้ตะบันคิด ก็ดูหนัง ดูการ์ตูน สั่งของอ้วนๆ มากิน อาบน้ำร้อนๆ พออารมณ์ดีมันก็คิดออกเอง

ก่อนหน้าที่จะมีลูกสาว คุณเป็นคนที่วางแผนชีวิตตัวเองชัดเจนขนาดไหน

โอ้ย ชีวิตเราวางไว้ต่ำมากเลย (หัวเราะ) อยากจะไปเที่ยวเมืองนอก อยากจะไปเที่ยวญี่ปุ่น มีความฝันแค่นี้เลยแต่พอมีลูกสาวแล้วเปลี่ยนสุดๆ เราอยากจะมีชีวิตสงบสุข เรารู้ว่าตัวเองต้องการอะไรไม่ต้องการอะไร ตอนนี้เราไม่ได้อยากจะมีเพื่อนเยอะๆ หรือมีปัญหามากมาย เราอยากอยู่กันแค่วงเล็กๆ รักกัน หวังดีกัน ใช้ชีวิตเรียบง่าย เช้าไปส่งลูกเสร็จกลับมาทำงาน บ่ายง่วงๆ ก็สั่งขนมมากิน เย็นก็วาดรูป เงินทองมีพอที่จะซัพพอร์ตไม่เดือดร้อนใคร จบ แค่นี้แหละ

ลูกสาวมีผลต่อการทำงานของคุณยังไงบ้าง

มีสุดๆ คือตัวละคร LOOOK เราเจตนาให้เป็นเด็ก เราเลยยิ่งรู้ว่ามันไม่เหมือนที่เราเคยคิด พฤติกรรมบางมุมของเด็กที่เราคิดว่าเขาไม่คิด จริงๆ เขาคิดนะเว้ย เด็กไม่ใช่ผ้าขาว อันนี้เราคอนเฟิร์มเลย เพราะทุกคนมันมี Software OS ติดตั้งมาตั้งแต่ตอนเกิด สิ่งที่เขาดู สิ่งที่เขาชอบ บทสนทนาของเขามันทำให้เราเปลี่ยนไป พอลูกเราโตขึ้นความสัมพันธ์เปลี่ยน มุมมองเปลี่ยน งานเราก็จะเปลี่ยนไปอีก

ย้อนกลับไปตั้งแต่เริ่มวาดรูปจริงจังจนถึงตอนนี้ คิดว่าลายเส้นของตัวเองเปลี่ยนไปไหม

ลายเส้นซอฟต์ลงเยอะเลย เพราะเมื่อก่อนงานเราจะตัดเส้นหนักๆ สีแรงๆ เข้มๆ พอช่วงโควิดงานก็อยู่ในบ้านเต็มไปหมด แล้วเราก็คงไม่อยากอยู่ในบ้านที่บรรยากาศอึดอัด พอเราใช้สีที่มันหนักๆ เราก็รู้สึกแบบ เหนื่อยว่ะ อยากจะอยู่ในบรรยากาศชิลๆ สบายๆ เห็นแล้วรื่นตาบ้าง พอมีลูกอีกก็หนักเลย สีจะพาสเทลอยู่แล้ว เพราะลูกก็มีอิทธิพลกับเรา เวลาเขาทำอะไรเราก็ชอบดู สงสัยว่าเขาวาดตัวอะไรวะ เราก็รู้สึกสนุก เพราะมัน Pure มาก ซึ่งอันนี้มันคือสิ่งที่ขาดหายไปจากตัวเรานะ แล้วเราก็รู้สึกว่าหลังจากนี้มันก็จะค่อยๆ จางลง คิดว่ามันจะจืดกว่านี้อีก

แล้วในแง่ของตัวตนล่ะ

โคตรเปลี่ยน แต่ก่อนเราจะเป็นคนที่ชอบทำอะไรที่มันอิมแพกต์แรงๆ น่าจะเป็นรสนิยมแบบวัยรุ่นแหละ ชอบแบบฟังเพลงแรงๆ ชอบทำอะไรชัดๆ พอช่วงโควิดมันก็มาเปลี่ยนพฤติกรรมเรา ไม่ค่อยอยากออกไปข้างนอกแล้วรู้สึกอยากสงบ พอมันมีเวลาคิดเยอะขึ้นก็เลยมีเวลาตกตะกอนมากขึ้น เมื่อก่อนตอนเราเด็กกว่านี้อาจจะรู้สึกว่าเราอยากจะเป็นอันดับต้นๆ ของวงการศิลปะ หรืออยากจะสำเร็จในอาชีพแบบมากๆ แต่พอเวลาผ่านไปเราก็พอใจกับความพยายามของตัวเอง กลายเป็นคนพอใจง่าย แค่มีคนที่เข้าใจในสิ่งที่เราต้องการจะสื่อก็รู้สึกโอเค สเต็ปต่อไปเราก็ตั้งใจว่าจะทำงานด้วยความสงบสุข มีใจที่นิ่งสงบ ทำงานด้วยความอิ่มเอม ไม่ต้องพิสูจน์อะไรให้ใครมาชอบ ดูแก่ไหม (หัวเราะ) 

ตอนนี้เราไม่ได้คาดหวังว่าต้องไปไกลแค่ไหน เมื่อก่อนเราจะไม่ใช่แบบนี้เลย เราจะมีความอยากมาก ต้องได้ที่นี่ ต้องไปที่นั่น ซึ่งความคิดแบบนี้ก็เป็นวิธีอยู่แบบสงบสุขของเราในตอนนี้นะ

ถ้าให้เปรียบเทียบชีวิตตอนนี้เป็นเพลงหรือหนังที่ตัวเองชอบ

ก็คล้ายๆ เพลงของ Post Malone มีความเรื่อยๆ แต่ก็เพลินๆ ไม่ค่อยฟูมฟายมาก ถ้าเป็นหนังก็เป็นหนังของ Wes Anderson หรือ Woody Allen ที่มีความเรื่อยๆ แต่ถ้าเป็นเมื่อก่อนก็ต้องเป็นแบบ Marvel หรือ Fast & Furious อะไรแบบนี้เลย แต่ตอนนี้ไม่เอาแล้ว เหนื่อย แต่เราก็ไม่รู้อนาคต อาจจะเปลี่ยนไปอีกก็ได้

ในแง่ของการทำงาน มีอะไรที่คุณอยากลองแต่ยังไม่มีโอกาสได้ทำอีกไหม

เกม เพราะเราชอบเล่นเกมไง (หัวเราะ) อยากทำเกมแบบ Final Fantasy ที่มีเนื้อเรื่อง ต้องค้นหาเก็บเลเวล มีพรรคพวก เราจะได้ดีไซน์โลกของมัน เกมมือถือก็ได้นะ ถ้ามีใครอ่านแล้วอยากทำเกมโทรมาเลย เราโคตรอยากทำ ลูกค้าเข้าได้ครับ (หัวเราะ)

นิทรรศการ LOST IN PARADISE จัดแสดงระหว่างวันที่ 20 พฤษภาคม – 25 มิถุนายน 2566 ที่ RCB Galleria 1 ชั้น 2 River City Bangkok

PHOTOGRAPHER

พิชญุตม์ คชารักษ์

ชีวิตหลักๆ นอกจากถ่ายภาพ ชอบชกมวยเป็นชีวิตจิตใจ ฟังเพลงที่ดนตรีฉูดฉาดกับเบียร์เย็นๆ

ชัชชัญญา หาญอุดมลาภ

ช่างภาพสายกิน ที่ถ่ายรูปได้นิดหน่อย แต่กินได้เยอะมาก