‘บ้านกูเอง’ เพจบ้านๆ ที่โคตรซีเรียสเรื่องความตลก

Highlights

  • บ้านกูเอง เพจขายขำของ นอท–สัณหณัฐ ทิราชีพ เริ่มต้นขึ้นอย่างบ้านๆ จากการเป็นเพจล้อเลียน บ้านข้างๆ แต่ไปๆ มาๆ กลับกลายเป็นเพจตลกจริงจังที่มียอดไลก์สามแสนกว่า แถมยังมีลูกค้าลงโฆษณาแทบทุกวัน
  • คนทำเพจตลกต้องตลกตลอดเวลาไหม คือคำถามตั้งต้นที่เราพกไปหาหนุ่มหน้าตายบุคลิกยียวน ก่อนบทสนทนาต่อไปนี้จะพาให้เรารู้จักตัวตนของเขาในหลากแง่มุมกว่าเดิม ซึ่งสปอยล์เลยตรงนี้ว่าไม่ค่อยตลกเท่าไหร่ล่ะ

ท่ามกลางสมรภูมิการแข่งขันกันทำคอนเทนต์ออนไลน์อันแสนดุเดือด

ถ้าหากคุณกำลังมองหาแชนแนลของวัยรุ่นไทยบ้าพลังสักคนหนึ่ง ที่เนื้อหาแสนจะแหวกแนว แถมยังตลกเป็นบ้า เพจยอดไลก์สามแสนกว่าที่กำลังมาแรงแซงโค้งในช่วงนี้อย่าง บ้านกูเอง ของ นอท–สัณหณัฐ ทิราชีพ เด็กหนุ่มวัย 22 ที่เพิ่งเรียนจบจากร่มมัณฑนศิลป์ รั้วศิลปากร น่าจะเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ตอบโจทย์เป็นที่สุด

งง เหวอ ยิ้มเจื่อน ขำแห้ง หัวเราะหึหึ หรือแอบขำคิกคักจนตัวโยน คือตัวอย่างของอาการที่จะเกิดกับผู้ชมเมื่อมีโอกาสได้เข้าไปเยือนเพจสุดเกรียนของเขา

บ้านกูเอง

นอทไม่ได้ลุกขึ้นมาทำเพจบ้านกูเองเล่นๆ เขาซีเรียสระดับเวอร์วัง เพราะคิดไอเดียอย่างจริงจังแบบข้ามวันข้ามคืน กว่าจะออกมาเป็นแก๊กฮาสุดซีเรียสที่นำเสนอผ่านบุคลิกหน้าตายที่ขัดแย้งกับพฤติกรรมแสนกวนตีน ด้วยการหยิบจับเอาสิ่งของรอบตัวมามิกซ์แอนด์แมตช์เพื่อใช้เป็นไม้ตายตีหัวคนดูเข้าบ้านอย่างสร้างสรรค์ แถมยังหย่อนแคปชั่นยียวนกวนประสาทที่ทำให้ลูกเพจอยากเข้าไปคอมเมนต์แบบหยิกแกมหยอกกันเป็นว่าเล่น

โดยเฉพาะสิ่งที่น่าสนใจเป็นพิเศษคือ การโฆษณาขายสินค้าชุดใหญ่ไฟกะพริบ ตั้งแต่ไอศครีม เครื่องดื่ม ร้านเครื่องสำอาง โรงแรม ยันทริปดำน้ำ แถมยังขายด้วยวิธีการผิดแผกไปจาก influencer ตามขนบ จนลูกค้าและผู้ชมต่างต้องซูฮกให้กับความกล้าขายกันตรงๆ แบบไม่ต้องเหนียมอาย ชนิดที่ว่าหลักคิดการทำ native ads บนโลกนี้ไม่จำเป็นอีกต่อไปแล้ว

เพจบ้านกูเองถือกำเนิดเมื่อช่วงเกือบปลายปี 2561 จนกระทั่งฮอตฮิตเป็นที่สุดในตอนนี้ ก่อนจะนับถอยหลังวันครบรอบ 1 ขวบปีของเพจ นอกจากฉากหน้าเพจที่มีสีสันจี๊ดจ๊าดและฉูดฉาด ยังมีอีกหลายเรื่องที่ชาวเน็ตยังไม่รู้จักตัวตนจริงๆ ของนอท เราพกคำถามเล็กๆ น้อยๆ จนไปถึงคำถามสุดแสนคลาสสิกที่คนส่วนใหญ่มักสงสัยกันว่า ‘คนเป็นตลก ตัวจริงตลกหรือเปล่าวะ?’ จากนั้นจึงออกเดินทางไปหานอทกันถึงบ้าน เราขออนุญาตเขาเข้าไปในบ้านสีส้มที่เจิดจรัสสุดในย่านบางแวก

อาาาห์ บ้านหลังนี้สินะที่เป็นจุดเริ่มต้นของบ้านกูเองงงงง!

บ้านกูเอง

ทำไมถึงลุกขึ้นมาทำเพจบ้านกูเอง

ตอนเรียนอยู่ปี 3 ผมไปฝึกงานที่ ‘ฟังใจ’ แล้ววันที่ผมไปสัมภาษณ์งาน ผมเจอพี่ที่เป็นกราฟิกดีไซเนอร์ ผมรู้สึกว่าพี่ผู้หญิงคนนี้เท่จังเลย เป็นอารมณ์ปลื้มหญิง เหมือนตอนเห็นเจนนี่ Blackpink แล้วอู๊ยยยย ชอบจัง แต่ไม่ได้ชอบแบบรักใคร่จนต้องมาเป็นแฟนกันนะ แล้วเขามีแฟนที่คบกันมานานมากแล้วด้วย ทีนี้มีอยู่วันหนึ่งไปแฮงเอาต์กัน มีครีเอทีฟซึ่งเป็นเจ้าของเพจ ‘บ้านข้างๆ’ เขาพูดเล่นๆ ว่าชอบพี่คนนี้ ตอนนั้นรู้สึกว่าตัวเองมีคู่แข่ง มีมารหัวใจ คิดว่าไม่ได้แล้วว่ะ กูมีคู่แข่งแล้ว ระหว่างทางนั่ง BTS กลับบ้านเลยคิดจะตั้งเพจขึ้นมาสู้ จากบ้านข้างๆ เลยกลายเป็นบ้านกูเอง

 

แล้วเพจบ้านกูเองงัดท่าไม้ตายอะไรมาสู้เพจบ้านข้างๆ

ผมเปิดเพจล้อเลียนเขา เหมือนเป็นการ parody ขำๆ เขาชอบถ่ายบ้านข้างๆ มุมเดิมๆ สีสวยๆ แล้วมีแคปชั่นหวานๆ ใช่ปะ ผมเลยล้อเลียนเขาด้วยการถ่ายภาพบ้านตัวเอง แล้วเป็นแคปชั่นตลกๆ กวนตีนนิดหนึ่ง

 

มองว่าความตลกของเราเป็นเรื่องการตลาดไหม

เป็นอยู่แล้ว ผมคิดว่าทุกอย่างเป็นการตลาด แต่ผมไม่ได้มีแบบแผนนะ ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคำว่ากลยุทธ์ควรอธิบายยังไง ผมไม่ได้เรียนการตลาดมา ไม่ได้คิดมากขนาดนั้น ผมแค่เอาประสบการณ์ที่มีมาใช้ ซึ่งในประสบการณ์อาจมีกลยุทธ์การตลาดมาช่วยโดยที่ผมไม่รู้ว่ามันคือการตลาด ผมมองตัวเองเป็นมาสคอตตัวหนึ่งที่ไป x กับแบรนด์ต่างๆ โดยที่เอาอุปนิสัยของมาสคอตไปโปะแบรนด์นั้นให้กลายเป็นของตัวเอง ซึ่งผมยืดหยุ่นและปรับได้เสมอ

บ้านกูเอง

ตัวตนในเพจเราฮากระจายขนาดนี้ ส่งผลอย่างไรกับตัวเราในโลกจริงบ้าง

โดยปกติการโพสต์บนโลกออนไลน์ของเราจะมีคนเห็นแคปชั่นหรือรูปถ่ายตลกๆ ที่ผมถ่ายลงในโซเชียล คนรอบข้างจะเข้าใจว่าผมเป็นคนตลกมาก เจอตัวจริงแล้วแบบว่า ‘เฮ้ย ไปกินเหล้ากันนอท เฮ้ย เต้นสิ เต้นเร็ว เต้นเลยๆ’ แต่ผมเต้นไม่เป็น (หัวเราะ) หรืออย่างกินเหล้า ผมก็กินไม่เป็น

อย่างช่วงนี้ พอคนเจอผม เขามาขอถ่ายรูปแล้วชอบบอกว่า ‘พี่ เราถ่ายเป็นบูมเมอแรงนะ คิดท่าตลกๆ ให้หน่อย’ เออเดี๋ยว คือกูไม่ได้คิดมุกตลกได้ตลอดเวลาไง ซึ่งผมคิดว่าไม่ได้แปลกหรอก คนเราน่ะจำภาพลักษณ์คนอื่นจากภาพที่เขาพอจะเห็นได้อยู่แล้ว สมมติตอนเราดูคุณซันนี่ในเรื่อง เพื่อนสนิท เราอาจไม่ได้คิดว่าเขาเป็นคนตลก แต่ความจริงเขาอาจจะตลก ตอนเราเจอหน้าเขา เราคิดว่า โห นี่มันพระเอก GDH หน้านิ่งๆ เท่ๆ คนนั้นนี่ เรื่องแบบนี้มันแล้วแต่ภาพที่เราอยากให้คนอื่นเห็นด้วย ซึ่งไม่ได้เป็นเรื่องผิดที่คนอื่นจะคิดว่าเราเป็นคนอย่างนั้น เพราะเราโชว์แต่ภาพด้านนั้นๆ ให้เขาเห็น

 

แล้วตัวตนนอทจริงๆ เป็นคนยังไง

ถ้าเป็นการแต่งตัว ลักษณะการโพสต์เนื้อหา ผมก็เหมือนกับในเพจนั่นแหละ แต่อุปนิสัยในโลกความจริงอาจไม่ใช่ ความตลกเป็นส่วนหนึ่งในโลกของโซเชียลมากกว่า แต่ถ้าเป็นในชีวิตประจำวัน ผมซีเรียสนะ ซีเรียสกับงานว่าต้องออกมาดีที่สุด ผมไม่ใช่คนที่อยู่ๆ จะตลกได้ทันที แต่เป็นตลกวางแผน เราคิดมาแล้วว่ามันน่าจะตลกนะ แล้วเราค่อยโพสต์ลงโซเชียล

ไม่ใช่มีคนมาสะกิดว่าพี่ๆ ทำท่าตลกให้ดูหน่อย เอ้า นึง ส่อง ซั่ม! ผมทำไม่ได้นะครับ แต่ละอันผมคิดมาเยอะ ผมคิดโดยตั้งโจทย์ให้มันก่อน

บ้านกูเอง

อย่างโพสต์ฮาๆ แต่ละโพสต์ในเพจบ้านกูเองใช้เวลาคิดนานไหม

คิดนานครับ ภายในหนึ่งวันผมจะนั่งคิดเลย ต้องเป็นวันที่ผมไม่ทำอย่างอื่น นอกจากนั่งคิด 5-10 แก๊ก คิดทั้งวันเลย ตั้งแต่เช้ายันเย็น ยันนอน จะคิดแต่เรื่องนี้จนออกมาเป็นเนื้อเรื่อง โดย storyline ผมจะทำเรื่องที่โคตรเซอร์เรียลไปเลย เพราะคิดว่าเป็นวิธีคิดโฆษณาแบบยุคเก่าที่ทำอะไรโอเวอร์ๆ ไปเลย อย่างเรื่องเล็กๆ ผมจะดันให้โอเวอร์สุดๆ ไปเลย  

ตอนคิดก็เรียงไทม์ไลน์เรื่อง อย่างตรงนี้หย่อนขำๆ ไว้ตอนต้นๆ หน่อย พอให้คนได้อ่านต่อได้สนุก อันหลังก็เป็น punch line ไปเลย เราต้องมีการคิดและเตรียมการไว้ แรกๆ ผมแก้ผ้า หรือว่ากินอะไรที่ดูน่าอ้วก ซึ่งผมเห็นยูทูบเบอร์ทำแบบนั้นเยอะนะ โดยส่วนตัวผมคิดว่ามันสนุกตรงไหนวะ ผมเฉยๆ แต่เป็นทางหนึ่งที่คนดูเขาสนใจ แล้วเป็นทางที่เราทำให้งานตัวเองไม่ซ้ำได้ ในหลายๆ โพสต์ถ้าทำแต่ในสิ่งที่เราเชื่อ มันจะมีแต่รูปแบบเดิมๆ ไหนเรามาลองทำแบบอื่นดูซิ ให้มีการสลับกันบ้างจะได้ไม่น่าเบื่อ

 

ถ้าเกิดว่าทำไปเรื่อยๆ แล้วมุกเริ่มซ้ำจนน่าเบื่อจะแก้ไขปัญหานั้นยังไง

หลังๆ เริ่มคิดในมุมที่ไม่เกี่ยวกับโจทย์ คิดอย่างอื่นไปเลย พอได้ไอเดียแล้วค่อยเอาไปโปะให้เละๆ อย่างนั้นแหละ แล้วลองเป็นแนวทางใหม่ดู เช่น ต้องไปขายสักอย่าง อย่างสมมติจะขายตู้ปลาในร้าน แต่เราตั้งคีย์เวิร์ดว่าต้องเล่นซ่อนแอบในร้านตู้ปลา เราก็จะเข้าไปเล่นซ่อนแอบในร้าน เพื่อเป็นการสร้างอะไรใหม่ๆ ขึ้นมา ไหนลองเชื่อมสองสิ่งใหม่ที่ไม่เกี่ยวข้องกันให้เกิดสิ่งใหม่ขึ้นมาซิ ซึ่งผมได้ผลลัพธ์ที่โอเคนะ เพราะว่าเพจบ้านกูเองเป็นเรื่องอิหยังวะอยู่แล้ว เป็นสิ่งที่ไม่เข้ากัน แต่จับเอามาทำให้เป็นเรื่องเป็นราวได้

บ้านกูเอง

ไอเดียกระฉูดแบบนี้ เสพสื่อตลกมาเยอะหรือเปล่า

ไม่มีครับ ผมไม่ได้เสพสื่อตลกด้วยซ้ำ ไม่ได้ชอบดูดาราตลกด้วย ผมชอบดูอะไรที่ดราม่า ซีนอารมณ์ หรือฆ่ากันมากกว่า อย่างเรื่องที่ดูแล้วร้องไห้โฮ โอ๊ย มีความสุขจัง โดยเฉพาะเวลาที่หนังเรื่องนี้ซึ้งจนทำให้เราร้องไห้กับมันได้ ผมชอบแบบนั้นมากกว่า

อย่างการ์ตูนมังงะ ผมชอบอ่านตั้งแต่จำความได้ เมื่อก่อนแม่ผมมีหนังสือการ์ตูนเก่าๆ เยอะมาก โตขึ้นมาเราก็ซื้อเอง ถ้าสนุกผมอ่านหมดทุกแนวเลย ช่วงนี้ผมชอบมังงะ เป็นเรื่องเกี่ยวกับตำนานญี่ปุ่นที่กบตกลงมาจากฟ้า แต่เขาขยายเรื่องเป็นกบตกลงมาจากฟ้าเต็มไปหมดเลย แล้วก็ทะลุเข้าไปสิงในตัวคน แล้วพวกมันจะดึงความอยากด้านมืดของคนคนนั้นออกมาให้กลายเป็นสัตว์ประหลาด เช่น มีคนหนึ่งเป็นหัวหน้าในบริษัทที่ขี้บ่นมากเลย บ่นลูกน้องอยู่ทุกวัน พอโดนกบเข้าไปปุ๊บเลยกลายเป็นปีศาจที่ปากเป็นเกลียว แล้วมันก็ด่าๆ กัดๆ งับๆ

ผมชอบอะไรที่มีการฆ่ากัน เลยอาจจะเป็นแรงบันดาลใจให้ทำคอนเทนต์ตลกๆ อย่างเรื่องการฆาตกรรมในเพจ (หัวเราะ) แต่ต้องฆ่าแบบแฟนตาซีหน่อย ไม่ใช่การฆ่าแบบโคนัน

บ้านกูเอง

ถามตรงๆ ลุกขึ้นมาทำเพจแบบนี้อยากดังหรือเปล่า

อยากดังหรือเปล่าเหรอ ดังก็ดีนะครับ ดีกว่าไม่ดังอยู่แล้ว พอมีชื่อเสียงก็จะมีโอกาสวิ่งเข้ามา สมมติว่าผมชอบวาดรูปมาก แต่ผมโด่งดังขึ้นมาจากด้านที่ตลก ตัวผมจะสามารถทำให้ด้านการวาดรูปของผมดังได้ง่ายกว่าตอนที่ไม่ดัง ถ้าเรามีชื่อเสียงขึ้นมามันเหมือนเราได้รับโอกาสมากกว่า เรามีโอกาสที่จะนำเสนอในด้านที่เราชอบด้านอื่นๆ อีกมากมาย ถามว่าอยากดังไหม อยากสิ ผมไม่มีปัญหาอะไร คือดังยังไงก็ดีกว่าครับ แต่ดังมากไปอาจจะไม่ดี

 

ด้านอื่นๆ ที่อยากนำเสนอต่อผู้ชมมีอะไรบ้าง

ผมมีเพจวาดรูปชื่อว่า Tiracheep มาจากนามสกุลผมเอง แต่ว่าไม่ได้ดังเปรี้ยงปร้างเท่าบ้านกูเอง แล้วช่วงนี้ยุ่งๆ ไม่ว่างไปทำเท่าไหร่ มีช่วงหนึ่งก็เคยดันคอนเทนต์ด้านการวาดภาพมากกว่า

 

ไม่นานมานี้เห็นคุณโพสต์วิดีโองานทีสิสเรื่อง ‘เพศ ≠ สภาพ’ บนเพจ Tiracheep ด้วย เล่าให้ฟังหน่อยว่าทำไมถึงสนใจเรื่องเพศ

เพศไม่เท่ากับสภาพเป็นการเล่นคำ ซึ่งมาจากคำว่า ‘เพศสภาพ’ เพศสภาพอาจจะกำหนดกรอบว่า คุณมีเพศแบบไหนต้องเป็นเพศนั้น มีจู๋ต้องเป็นผู้ชาย แต่ ‘เพศไม่เท่ากับสภาพ’ มีความหมายตรงกันข้าม ผมว่าเพศไม่ได้เป็นตัวกำหนดภาพลักษณ์และการกระทำ ทุกวันนี้เหมือนกรอบของสังคมตีกรอบคนเรา เราควรจะเป็นอะไร ผมรู้สึกว่าผมไม่อยากถูกขังอยู่ในกรอบนั้น ผมเลยอยากเป็นกระบอกเสียงพูดเรื่องนี้ ซึ่งถ้าเขาออกมาได้ก็ดี คือไม่ใช่แค่เรื่องเพศหรือ LGBT นะ เพราะสภาพคือการพูดถึงคนทุกเพศ หมายถึงทุกสิ่งมีชีวิตบนโลกใบนี้ ไม่ใช่แค่ผู้หญิงที่จะเสียเปรียบทางวัฒนธรรม ผู้ชายเองก็มีแง่มุมที่เสียเปรียบเพศอื่นๆ เราต่างมีจุดที่โดนเหมือนกัน แค่มันอาจเล็กกว่าหรือเปล่า

แสดงว่าตั้งใจแบ่งพาร์ตความตลกของตัวเองไปไว้ในบ้านกูเอง

ใช่ครับ ตัวตนผมที่อยู่ในเพจบ้านกูเองเป็นแนวตลก ณ ที่นี้ ไม่ใช่แนวเล่นมุกหรือเล่นคำ แต่เป็นแก๊กซีเรียส คือการสร้างสถานการณ์หนึ่งที่ตัวละครมันซีเรียส แค่คนอาจตลกในความจริงจังของมัน อย่างคอนเทนต์ที่ผมไปแต่งหน้า ตัวละครมันไม่ได้ยิ้มแย้มว่าฉันจะแกล้งใคร มันทำในสิ่งที่จริงจังอยู่ ผมว่านั่นคือตัวผม เหมือนตอนนี้ผมทำเพจตลกโดยที่ผมซีเรียสกับมัน ทำให้เป็นงานที่จริงจัง

 

เคยเห็นคุณแม่ของนอทในโพสต์ด้วย อย่างการทำเพจนี้แม่เขาคิดเห็นกับเรายังไง

แรกๆ แม่เขาก็บ่น เขาขี้บ่นทุกเรื่องอยู่แล้วเป็นปกติ สมมติว่าเราไปรื้อของเขาแล้วไม่ได้เก็บเข้าที่เดิมเป๊ะๆ ก็จะโดนบ่น ผมชอบแอบไปจิ๊กชุดชั้นใน เสื้อผ้า และทุกอย่างของแม่มา อย่างของที่ใช้เล่นในเพจ ผมแทบจะไม่ต้องซื้อของเพื่อมาทำคอนเทนต์เลย เพราะว่าหยิบทุกอย่างที่มีในบ้านมาทำ ทั้งเสื้อที่แต่งเป็นตัวละครต่างๆ ก็เป็นของแม่ อย่างเครื่องสำอางก็เป็นของแม่

แรกๆ เขายังไม่รู้ว่าเราทำอะไร คนเราสามารถเลี้ยงชีพแบบนี้ได้ด้วยเหรอ แต่พอหลังๆ เราสร้างรายได้ได้ แล้วมีแบรนด์ที่เขารู้จักมาทำกับเรา เขาก็ถามว่า โห ไอ้นี่มาทำกับแกด้วยเหรอ ทำให้เขาเข้าใจมากขึ้น เฮ้ย เดี๋ยวนี้โลกเรามีแบบนี้แล้วนะ หลังๆ เขาก็ช่วยพาไปส่งทำงาน หรือบางครั้งถ้าต้องถ่ายในบ้าน ผมให้แม่ช่วยถ่ายก็มี

 

คุณแม่ตกใจไหมที่เห็นเราเล่นบทบาทพิสดารหลายอย่างเลย

ไม่ตกใจเลยครับ เพราะผมเป็นแบบนี้อยู่แล้ว เขาเห็นเราทำอะไรพิเรนทร์ๆ มาตั้งแต่เป็นเด็กแล้ว ซึ่งตั้งแต่เด็กผมจะคิดตลอดว่า ทำไมคนเราถึงทำแบบนั้นแบบนี้ไม่ได้ ผมทำทุกอย่างเลย หรือตั้งคำถามกับผู้ใหญ่ ผมขบถกับผู้ใหญ่ หรือกับทุกคนบนโลก ถ้าผมไม่เห็นด้วย ผมก็ขบถหมด

บ้านกูเอง

แล้วชวนแม่มาเล่นในเพจยังไง

ผมอธิบายตั้งแต่ต้นจนจบว่าจะทำอะไร หนึ่งเรื่องพลอตมันเป็นอย่างนี้นะ แล้วเราจะเอารูปเขาไปทำอะไร ผมเล่าทั้งหมดเลย แต่ผมไม่ได้ให้ตังค์แม่นะ (หัวเราะ)

 

ช่วงนี้งานเยอะ แถมยังต้องรับบทบาทหลายด้าน เหนื่อยบ้างไหม

ก็เหนื่อยนะ เดือนนี้ผมหนักมาก 30 วันผมก็ทำมันทุกวัน มีอยู่วันหนึ่งผมนั่งอยู่หน้าเซเว่น แล้วมันมีหลายเรื่องวนอยู่ในหัว ทั้งงานที่มีหลายชิ้นเหลือเกิน ผมนั่งๆ อยู่แล้วจู่ๆ น้ำตาไหลก็ออกมา ไอ้เชี่ย ทำไมมันต้องขนาดนี้วะ จากที่ผมเป็นคนที่เพิ่งเรียนจบ ไม่เคยทำงานด้วยซ้ำ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสังคมการทำงานเป็นยังไง แต่โอกาสมาเราต้องทำเลย เพราะเส้นทางปูเข้ามาแล้ว

 

ความสุขของการทำเพจนี้คืออะไร

ความสุขคือคำชมครับ ผมว่าอาจจะมีคนที่มีความสุขกับการที่ไม่ได้พึ่งพาคนอื่น แต่ไม่ใช่ผมแน่นอน ผมรู้สึกว่าสังคมมีส่วนต่อความสุขของเรานะ มันพูดยากที่จะบอกว่าตัวเราไม่ต้องไปแคร์คนอื่นเลย หรือคิดว่าขอแค่ตัวเองมีความสุขก็พอแล้ว สำหรับผมคำชมหรือคำพูดดีๆ มันช่วยเราได้มากๆ เวลาทำแล้วมีคนชอบเยอะ เรายิ่งดีใจ อยากทำต่อ

 

แต่ในโลกออนไลน์ทุกอย่างมาไวไปไวนะ ถ้าวันหนึ่งคนไม่สนใจแล้ว เราเตรียมใจไว้อย่างไร

ผมไม่ได้วางแผนไกลมาก ตอนนี้มันเลี้ยงชีพได้และยังมีงานแน่นอยู่ ซึ่งได้เงินดีกว่าการไปทำงานบริษัทแน่ๆ ล่ะ ดังนั้นถ้าแค่คิดง่ายๆ เลย สมมติเดือนนี้ทำเพจแล้วแม่งเจ๊งเลยอะ มันเท่ากับเราทำงานไปเป็นปีแล้ว เราหยุดได้ ถ้าผมมีเวลาว่างมากขึ้นเราก็ออกไปทำอย่างอื่นได้ อาจจะไปเปิดแชนเนลในยูทูบ อาจทำโปรดักชั่น คิดเรื่องเป็นภาพเคลื่อนไหวบ้าง แต่จะยังมีคอนเซปต์คล้ายกับภาพนิ่งที่เป็นมีมซึ่งเราสร้างขึ้นมา เราจะขยับไปเป็นอะไรได้บ้าง เพราะว่าผมไม่ได้ทำเป็นอยู่อย่างเดียว ผมทำได้อีกเยอะแยะเลย ผมเรียนออกแบบนิเทศศิลป์ ผมวาดรูปได้ ร้องเพลงได้ แสดงออกได้ ปีนป่ายได้ กินได้ หรือแต่งตัวได้ คนเราทำอะไรได้อีกตั้งเยอะแยะ

บ้านกูเอง

แล้วถ้าเราให้นอทเปิดคลาสสอนวิชา Creative 101 นอทจะสอนเรื่องอะไร

อาจจะเริ่มจากสิ่งที่แต่ละคนชอบก่อน ดูว่าเขาชอบอะไร เอาสิ่งนั้นมาแตกแล้วต่อยอดเป็นอย่างอื่น แล้วมองว่ามีความเป็นไปได้ด้านไหนอีกบ้าง มันจะโอเคนะถ้าเริ่มจากสิ่งที่ชอบก่อน ผมอยากจะแนะเขาอย่างนั้น เพราะว่าเราจะมีใจในการทำมัน

 

อย่างนอทเพิ่งเรียนจบ เด็กรุ่นใหม่มักโตมากับความคิดที่ว่าต้องรีบค้นหาตัวเองให้เจอเร็วๆ เราคิดอย่างนั้นไหม

ไม่นะ ผมว่าไม่จำเป็น คนเราไม่ต้องประสบความสำเร็จอะไรเลยก็ได้ อยากจะทำอะไรก็ได้ แค่ต้องมีความสุขมากกว่า อาจจะไม่ต้องหาตัวเองเจอเร็ว แต่มีความสุขเร็วๆ ก็ดีนะครับ

 

แต่ถ้าจนวันตายก็ยังหาตัวเองไม่เจอล่ะ

แล้วมีความสุขหรือเปล่าล่ะ ถ้ามีความสุขจะหาไม่เจอก็ไม่เป็นอะไรเลย

บ้านกูเอง

AUTHOR

PHOTOGRAPHER

ดวงสุดา กิตติวัฒนานนท์

ช่างภาพนิตยสาร a day ผู้ชอบกินอาหารที่ถ่าย