อุ๊–อุไรวรรณ เพ็งพุ่ม ภรรยาของสามีที่ความจำเสื่อม แม่ของลูกที่กำลังสู้กับโรคร้าย และหญิงสาวที่เชื่อว่าความรักคือการให้อย่างสุดหัวใจ
“เรากับพี่ป้อมเป็นคนพิษณุโลกและรู้จักกันครั้งแรกตอน ม.3 จากการแนะนำของเพื่อน วันที่เพื่อนนัดแนะให้เจอกัน เรายังจำได้อยู่เลยว่าตอนนั้นเต็มไปด้วยความเขินอาย คุยกันแต่ก็ไม่ได้มีสาระอะไรและในใจก็ไม่ได้รู้สึกพิเศษอะไรมากมายขนาดนั้น
“หลังจากนั้นเราคุยกันมาเรื่อยๆ แต่ยิ่งคุยยิ่งถูกคอ เวลาได้เจอพี่เขาเราเริ่มรู้สึกดี เวลาได้คุยกันเราจะมีความสุข สุดท้ายระหว่างเรากับพี่ป้อมในตอนนั้นอาจจะเรียกว่าปั๊ปปี้เลิฟก็ได้ แต่เรายังไม่รู้จักคำว่ารักได้ลึกพอ สุดท้ายคุยกันมาได้สัก 2-3 ปี เราก็ต้องเข้าเรียนมหาวิทยาลัย ส่วนพี่ป้อมก็ไปเรียนต่างจังหวัด นั่นเลยเป็นจุดที่ต้องแยกและห่างกันในที่สุด
“หลังจากที่แต่ละคนแยกกันไปเติบโต เรากับพี่ป้อมก็ไปมีแฟนใหม่ เวลาผ่านไปจนถึงช่วงที่เรากลับมาเรียนปริญญาโทที่พิษณุโลกและเลิกกับแฟนแล้ว อยู่ดีๆ พี่ป้อมก็โทรมาขอความช่วยเหลือจากเรา สุดท้ายพอได้คุยกันถึงรู้ว่าแม่ของพี่ป้อมป่วยเป็นมะเร็งและกำลังจะย้ายมารักษาตัวที่พิษณุโลก
“ด้วยความที่พี่ป้อมไม่รู้จะไปหาใครให้ช่วยแล้ว เราเลยตัดสินใจตอบตกลงไปช่วยดูแลแม่เขา มันกลายเป็นจุดที่ทำให้เราได้กลับมาคุยกับพี่ป้อมอีกครั้ง คือตอนเราห่างกันก่อนหน้านั้นเราไม่ได้เกลียดกัน พอได้กลับมาคุยกันเราเลยพบว่ายังมีความรู้สึกดีๆ ให้กับผู้ชายคนนี้อยู่ พี่ป้อมยังเป็นคนเดิมที่เราอยู่ด้วยแล้วสบายใจ เขาไม่เคยเปลี่ยนแปลง เสมอต้นเสมอปลายกับเรายังไงก็ยังเป็นอย่างนั้น สุดท้ายเราอยู่ช่วยเหลือจนแม่เขาเสีย หลังจากจัดการเรื่องแม่เสร็จ เราถึงมาคุยกันว่าแล้วเราจะเอายังไงกันต่อดี นั่นกลายเป็นจุดเริ่มต้นที่เรากลับมาคบกันอีกครั้ง
“ถ้านับตั้งแต่ตอนที่เราไปช่วยดูแลแม่เขา เป็นเวลาปีกว่าที่เรามีความรู้สึกดีๆ ให้กัน มันเป็นความรู้สึกว่าเราจะอยู่กับคนนี้ได้ ในขณะที่ภายนอกเขาดูเป็นคนเข้มแข็ง เรากลับรู้สึกลึกๆ ได้ถึงความอ่อนแอของเขา และถ้าเขาต้องการใครคนหนึ่งในเวลานั้น เรารู้สึกว่าเราสามารถดูแลจิตใจและอยู่ข้างๆ เขาได้ สุดท้ายเราเลยวางแผนในปีนั้นว่า ปลายปีเราสองคนจะแต่งงานกัน และตอนช่วงเดือนมิถุนายน เราชวนพี่ป้อมไปดูงานที่เกาหลี เราก็พูดกันเล่นๆ ว่านี่จะเป็นทริปที่เหมือนไปซ้อมฮันนีมูน
“เรากับพี่ป้อมมีความสุขมากในทริปนั้น แต่หลังจากเที่ยวกันได้ 2-3 ที่ ระหว่างเดินทางบนรถทัวร์นำเที่ยว พี่ป้อมก็เกิดอาการหัวใจวาย
“ตั้งแต่เด็กแล้วที่เรารู้สึกกลัวเสมอว่าเราจะเสียคนที่เรารัก ดังนั้นกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้ามันเลยเป็นอะไรที่ใหม่กับเรามาก ซึ่งพอเราพาพี่ป้อมไปถึงโรงพยาบาล เราเห็นภาพหมอขึ้นคร่อมพี่ป้อมและปั๊มหัวใจ ทุกอย่างเกิดขึ้นไวมาก แต่เรากลับรู้สึกว่ามันนานเหลือเกิน
“เราได้แต่ยืนอยู่เฉยๆ ภายในตัวรู้สึกเย็นวาบเหมือนมีคนเอากระดูกเราไปแช่น้ำแข็ง น้ำตาไม่มีไหลออกมาสักหยด มันเกินลิมิตของน้ำตาไปแล้ว ตอนนั้นเราไม่เข้าใจว่าเป็นอะไร แต่ตอนนี้เราคิดว่าคงเป็นเพราะเราช็อกมาก สุดท้ายหลังจากผ่านไปไม่ถึงชั่วโมง หมอก็เดินมาบอกอาการพี่ป้อม
“หมอบอกว่าคนไข้มีอาการสมองตายจากการขาดอากาศหายใจ ปกติคนทั่วไปแค่ 5 นาทีก็แย่แล้ว แต่พี่ป้อมขาดอากาศหายใจไป 10 นาที ตอนนี้อยู่ได้ด้วยเครื่องช่วยหายใจเท่านั้นและมีโอกาสฟื้นขึ้นมาแค่ 1 เปอร์เซ็นต์ แต่ถ้าถอดเครื่องพี่ป้อมจะเสียชีวิตทันที
“วินาทีนั้นเราร้องไห้โฮออกมาเลย ร้องเหมือนใจจะขาด ได้แต่คิดว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับฉัน ทำไมต้องเป็นวันนี้ ทำไมต้องเป็นความทรงจำแบบนี้ มันมีคำถามมากมายจริงๆ ที่เกิดขึ้นในหัว แต่คำถามหนึ่งที่ย้ำวนเวียนอยู่ตลอดเวลา คือคำถามที่ว่าฉันจะช่วยชีวิตเขาได้ยังไง
“โชคดีที่วันนั้นอาจารย์และรุ่นพี่ที่ไปด้วยกันอยู่ข้างๆ เราตลอดเวลา เขาคอยให้สติเรา แต่ในแง่การช่วยเหลือ เราทำอะไรไม่ได้อยู่ดี คนที่ช่วยหลักๆ คือสถานทูตไทย ดังนั้นสิ่งที่เราต้องคิดตอนนั้นเลยมีแค่คำถามที่ว่าเราจะพาพี่ป้อมกลับไทยได้ยังไง
“ในเวลานั้น เรารู้สึกว่าถึงพี่ป้อมจะฟื้นขึ้นมาเป็นผักหรือเป็นเจ้าชายนิทราก็ไม่เป็นไร ขอเอาเขากลับบ้านก่อน มีคนแนะนำเหมือนกันว่าให้เผาที่นั่นและถือกระดูกกลับมาดีกว่าเพราะจะได้ไม่เสียค่าใช้จ่ายมาก ฟังแล้วมันแย่มากเลย เราทำอย่างนั้นไม่ได้ ดังนั้นยังไงก็ช่าง ถึงจะสูญเสียหรือแลกอะไรก็ตามเราก็ต้องช่วย ตอนนั้นแหละคือเวลาที่เรารู้แล้วว่าผู้ชายคนนี้คือคนที่จะเข้ามาเติมเต็มชีวิตเรา เราเสียเขาไปไม่ได้ จะเกิดอะไรขึ้นฉันจะดูแลเธอเอง ดังนั้นเราเลยตัดสินใจกลับไทยมาหาทางช่วยพี่ป้อมก่อนดีกว่า
“ระหว่างที่อยู่ไทย 3 วัน เราเดินเรื่องเอกสาร เรื่องของเราถูกโพสต์ลงในเว็บไซต์จนเราต้องไปออกรายการทีวีเพื่อระดมทุน มีเราคนเดียวที่เป็นหลักเพราะการเงินของครอบครัวทางฝั่งพี่ป้อมค่อนข้างไม่ดี เวลานั้นเราเหมือนวางศักดิ์ศรีตัวเองไว้หมดเลย ปกติเราไม่เคยขอความช่วยเหลือใคร เอาจริงๆ เราเป็นคนที่ไม่เคยเดือดร้อน แต่วันนั้นคือทุกคนที่เราเคยเกลียดหรือบล็อก เราลืมหมดและขอความช่วยเหลือจากเขา ข้าวแทบไม่ได้กิน นอนก็แทบไม่ได้นอน ตื่นมาก็เช็กอีเมลและคุยกับหมอตลอด และระหว่างที่อยู่ไทยนี่แหละที่เราทราบข่าวจากทางเกาหลีว่าพี่ป้อมฟื้นแล้ว
“เรากรี๊ดลั่นบ้าน มันดีใจจนไม่รู้จะดีใจยังไง หลังจากนั้นพี่ที่สถานทูตไทยก็คอยส่งข่าว ส่งรูปพี่ป้อมให้เรา ทุกอย่างดูเหมือนปกติดี พี่ป้อมยืนได้ เดินได้ เหมือนปาฏิหาริย์ แต่พอเราสอบถามเรื่องความจำถึงได้รู้ว่าพี่ป้อมมีปัญหา
“ความจำของพี่ป้อมหายไปประมาณ 3 ปี พี่ป้อมจำไม่ได้ว่ามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง จำไม่ได้ว่าแม่เขาเสียไปแล้ว จำชื่อเราไม่ได้ แต่จำชื่อแฟนเก่าได้ และเข้าใจว่าตอนนี้ตัวเองกำลังคบกับคนนั้นอยู่
“ตอนเรากลับไป ก่อนที่จะเข้าไปเจอพี่ป้อม เจ้าหน้าที่ให้เรารออยู่ด้านนอกก่อนเพื่อจะเข้าไปบอกพี่ป้อมว่าเราคือใคร ระหว่างรอเราคิดไปต่างๆ นานาว่าฉันจะทำยังไงดี เขาจำฉันไม่ได้ ประโยคแรกควรจะพูดยังไง สุดท้ายเราเดินเข้าไป เราถามเขาว่าเป็นยังไงบ้าง สบายดีไหม พี่ป้อมตอบเรากลับมาว่าสบายดี มาได้ยังไง มาทำอะไร นี่คือใครเหรอ พี่ป้อมจำเราในปัจจุบันไม่ได้ เขาจำภาพเราได้แค่ตอนอยู่ ม.3 แค่นั้น
“เราแนะนำตัวว่าคือใคร เขาบอกเราว่าเราคือแฟนเก่า พี่ๆ ที่อยู่ตรงนั้นก็พยายามช่วยบอกว่าตอนนี้พี่ป้อมคบอยู่กับเราจนเขาเงียบไป หลังจากนั้นก็เป็นช่วงที่เราอยู่ดูแลเขา ช่วงนั้นเวลาพี่ป้อมตื่นมา เขาถามเราทุกวันว่านี่เขาอยู่ที่ไหน มาได้ยังไง เราคือใคร
“ตอนนั้นมันยากลำบากเหมือนกัน ใจหนึ่งเรารู้สึกเจ็บปวด แต่อีกใจหนึ่งก็จะแย้งขึ้นมาว่าต้องอยู่ให้ได้สิ เขาจำเราไม่ได้ไม่ใช่เพราะเขาไม่อยากจำ แต่ที่เขาจำเราไม่ได้เพราะเขาป่วย ดังนั้นเราต้องอยู่ดูแลเขา จนสุดท้ายก็พาพี่ป้อมกลับมาไทยได้
“พอมาถึงไทย อีกคำถามหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในใจเราว่าจะคืนเขาให้แฟนเก่าดีไหม สถานการณ์ตอนนั้นคือเวลาถามพี่ป้อมเรื่องเรามากๆ เขาจะปวดหัว เรารู้สึกไม่อยากรื้อฟื้นให้เขาเจ็บอีกแล้ว เราติดต่อไปหาแฟนเก่าของเขาและเล่าเรื่องให้ฟัง เราบอกเขาไปว่าไม่ต้องรับผิดชอบเรื่องค่าใช้จ่าย เราจัดการเอง ขอแค่ดูแลพี่ป้อมให้ดีๆ ก็พอ ตอนนั้นคนด่าเราเยอะเหมือนกันว่าทำไมยอมปล่อย แต่เราแค่รู้สึกว่าอยากทำให้เขามีความสุขที่สุด ถ้าเขายินดีเราก็พร้อมปล่อย แต่สุดท้ายก็ไม่เกิดขึ้น พี่ป้อมยังอยู่กับเรา
“หลังจากกลับมา พี่ป้อมเข้าแอดมิตที่โรงพยาบาลทันทีและเข้าสู่กระบวนการวินิจฉัย จากผลการตรวจที่เกาหลี เรารู้แค่ว่าพี่ป้อมเป็นโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะจนหัวใจวายเฉียบพลัน เราเลยมาหาคำตอบ ผลที่ได้มาคือพี่ป้อมเป็นโรคหัวใจเต้นเร็วผิดจังหวะชนิดร้ายแรง มีโอกาสเกิดขึ้นหนึ่งในล้าน เขาต้องติดเครื่องกระตุกหัวใจและต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดตลอด
“ตอนนั้นพี่ป้อมยังพอเดินได้ แต่อาการสำคัญคือเหมือนเป็นคนความจำสั้น สมมติเดินเข้าห้องน้ำแล้วกลับมาที่เตียง พี่ป้อมจะจำไม่ได้ว่าเตียงตัวเองคือเตียงไหน ความจำจะสั้นมาก ส่วนเรื่องเราพี่ป้อมก็ยังจำไม่ได้ เขายังถามอยู่บ้างว่าไปเกาหลีได้ยังไง เรากลับมาคบกับเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ เขาเล่าให้เราฟังว่าความจำเขาตอนนั้นเหมือนจิ๊กซอว์ พอนึกตรงนั้นได้ เอาตรงนี้มาต่อได้ แต่จิ๊กซอว์ตรงกลางมันหายไปและเขาไม่รู้ว่ามันหายไปไหน พอนึกมากๆ ก็จะกลายเป็นความว่างเปล่า
“ถามว่าตอนนั้นเราท้อไหม ท้อนะ คือเราไม่ท้อเรื่องทำยังไงให้เขากลับไปเป็นปกติ แต่เราท้อเรื่องที่ใจเขาไม่มีเราอยู่ในนั้นมากกว่า มันมีเรื่องประมาณนี้อยู่เหมือนกัน แต่เราพยายามไม่คิดอะไรมาก เราพยายามตัดเรื่องการเรียกความทรงจำเก่าไปเลย พยายามสร้างความทรงจำใหม่ อะไรที่จำไม่ได้ ช่างมัน เราจะสร้างสิ่งใหม่ๆ ดีๆ ร่วมกัน ในหัวคิดแค่ว่าเขาป่วย เราต้องดูแลและเดินต่อไป ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเราพร้อมที่จะยอมรับ ซึ่งหลังจากรู้ว่าพี่ป้อมเป็นอะไร การรักษาก็ค่อนข้างต่อเนื่อง กว่าทุกอย่างจะลงตัวเราเองก็เจออะไรอีกมากเหมือนกัน
“ช่วงนั้นบางทีตอนอยู่ด้วยกันที่บ้าน พี่ป้อมก็จะหันมาบอกเราว่า ‘จะชักนะ’ แค่นั้น แล้วก็ลงไปนอนชักตาค้าง ก่อนหน้านี้คุณหมอบอกเราเหมือนกันว่าจะมีอะไรแบบนี้ แต่พอเกิดขึ้นจริงเราก็ลนมากอยู่ดีเพราะไม่รู้ว่าเขาจะกลับมาหาเราไหม สิ่งที่เราต้องทำคือรอ 5 นาทีและถ้าหลังจากนั้นเครื่องที่ติดอยู่ที่หัวใจไม่ทำงานหรือเขาไม่ฟื้น เราต้องรีบพาคนไข้ส่งโรงพยาบาล สารภาพว่านั่นเป็นช่วงเวลา 5 นาทีที่เหี้ยที่สุดในชีวิตเรา
“ตอนนั้นเราอยู่ในสภาพที่มีอาการหวาดระแวงตลอดเวลา บางวันพี่ป้อมมีอาการชักถึงสองครั้ง บางวันหัวใจเต้นผิดจังหวะ ในฐานะคนที่อยู่ใกล้เราก็เกือบจะไม่ไหวเหมือนกัน เรากังวลในใจทุกครั้งเวลาพี่ป้อมเป็นแบบนี้ เขาจะตายไหม เขาจะฟื้นขึ้นมาไหม เราอยู่กับภาวะนี้เป็นปีๆ
“ถ้าให้กลับไปมอง เราว่าตอนนั้นเราทิ้งทุกอย่างในชีวิตเลยเพื่อจะได้ดูแลพี่ป้อม มีคนทักมาบอกเรานะว่าถ้าคุณเลือกผู้ชายคนนี้ คุณจะไม่เหลืออะไรเลย แต่เหนืออื่นใดคือเรายินดีที่จะเลือกเขาเพราะใจเราเลือกเขาไปแล้ว เรารู้สึกจริงๆ ว่าขาดเขาไม่ได้ ไม่เป็นไรหรอกถ้าชีวิตเราจะตกต่ำจนเหลือศูนย์ ขอแค่มีเขาอยู่ข้างๆ แล้วเดินไปด้วยกันแค่นั้นก็พอแล้ว สุดท้ายหลังจากผ่านอะไรมามากมาย อาการของพี่ป้อมก็ค่อยๆ ดีขึ้นตามลำดับ
“หลังจากนั้นเกือบปี มีอยู่วันหนึ่งที่พี่ป้อมพูดขึ้นมาว่าขอบคุณที่ทนทุกอย่าง ขอบคุณที่ทำทุกอย่างให้เขา อะไรที่เขาจำไม่ได้หรือสิ่งที่มันไม่ดี เขาบอกกับเราว่าไม่ต้องไปรื้อฟื้นมันแล้ว เราเก่งแล้วที่ผ่านมาได้ เรามามีความสุขกับปัจจุบันดีกว่า และสุดท้ายพี่ป้อมบอกว่าเขารักเรา
“เราร้องไห้ น้ำตาไหลไม่หยุด รู้สึกในวินาทีนั้นว่าสิ่งที่เราทำไปมันคุ้มค่า มันไม่สูญเปล่า ความรู้สึกดีๆ มันค่อยๆ เพิ่มจากที่เราทำ เราเหมือนเติมเต็มกันและกัน สุดท้ายเราก็ตัดสินใจแต่งงานกันและมีลูกชายด้วยกันหนึ่งคนชื่อว่าน้องปุณณ์ ในวันที่เรามีน้อง เรารู้สึกเลยนะว่าในที่สุดชีวิตเราจะมีความสุขเสียที แต่วันหนึ่งเราก็เหมือนถูกกระชากลงมาสู่นรก
“ตอนน้องปุณณ์อายุ 11 เดือน น้องถูกวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งที่ไตข้างซ้าย ตอนที่รู้เรื่องเรากำลังทำงานอยู่ พอรู้ข่าวปุ๊บเราเดินไปลาออกเลย เรายังไม่รู้หรอกว่าเขาเป็นมะเร็งระยะไหน เราคิดแค่ว่าไม่ได้แล้ว เราต้องอยู่กับเขาให้ได้มากที่สุด ต้องทำให้ดีที่สุดเพื่อเขา
“ตอนนั้นเราก่นด่าชีวิต อะไรวะ ทำไมชีวิตฉันมันขนาดนี้ สามีเป็นโรคหัวใจ ลูกเป็นมะเร็ง มนุษย์ทุกคนมีบวกและลบ แต่ตัวเราเจอลบมาหนักมากเลย เรื่องพี่ป้อมว่าหนักแล้ว เรื่องน้องปุณณ์เราเหมือนตายทั้งเป็น เราร้องไห้จนไม่รู้จะใช้คำไหนบรรยายดี แต่พี่ป้อมนั่นแหละที่เป็นแรงบันดาลใจให้เรา เพราะในระหว่างที่เราร้องไห้ พี่ป้อมไม่ร้องไห้เลย เขายังเล่นกับลูกได้ปกติ ทำหน้าที่ของพ่อ ทำให้ลูกหัวเราะ เราเลยเลือกที่จะสู้ต่ออีกรอบหนึ่ง
“น้องปุณณ์ทำการรักษาโดยการตัดไตข้างซ้ายทิ้งเมื่อปี 2559 ตอนนั้นน้องเป็นระยะที่หนึ่ง คือมีโอกาส 85 เปอร์เซ็นต์ที่น้องจะหายขาด หลังจากนั้นน้องก็ให้คีโม ผ่านกระบวนการรักษาตามปกติจนสงบไปหนึ่ง สุดท้ายมะเร็งก็กลับมาอีก แต่คราวนี้แพร่กระจายไปที่ปอดและเป็นระยะที่สี่ ปัจจุบันน้องกำลังอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาว่าจะส่งเข้ามารักษาตัวที่กรุงเทพฯ หรือเปล่า
“ทุกวันนี้เราย้ายบ้านมาอยู่ใกล้โรงพยาบาลที่สุดเพื่อพี่ป้อมและน้องปุณณ์ เราทำงานที่บ้าน ชีวิตเราอยู่แค่ที่บ้านและโรงพยาบาล ยังคงมีบ้างเหมือนกันที่เราท้อแต่ถอยไม่ได้แล้ว เอาจริงๆ เราก็ได้เรียนรู้อะไรเยอะมากจากบทเรียนชีวิตที่เป็นแบบนี้
“เวลาเราไปโรงพยาบาล เราจะเห็นคนที่เขาเจออะไรแย่ๆ มากกว่าเรา มันเป็นอนิจจังเหมือนกัน เรายังปลงไม่ได้ขนาดนั้นหรอก แต่เราคิดแค่ว่าทุกอย่างมีเวลาของมันและเรายังมีเวลาที่ได้อยู่กับคนที่รัก เราโชคดีแล้วที่ได้เวลานี้
“นิยามความรักสำหรับเราตอนนี้คือคำว่าให้ ให้อย่างเดียวเท่านั้น เราให้พวกเขาได้ทุกอย่าง ถ้าเราให้ชีวิตได้เราก็จะให้ พูดได้เลยนะว่าเรารักพวกเขามากกว่าตัวเอง เพราะเมื่อไหร่ที่เรารักใครมากกว่าตัวเองเราจะรู้ว่าเราทำอะไรให้พวกเขา
ได้บ้าง ที่สำคัญคือเราไม่มีทางรู้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้น ทุกอย่างเป็นสิ่งไม่แน่นอน วันนี้เรามีความสุข เรายิ้ม อีกวันเราร้องไห้ มันจะสลับกันไปทุกครั้ง
“เราว่าสุดท้ายคำถามคือเราจะใช้ชีวิตยังไงให้คุ้มค่า เราจะอยู่ยังไงให้มีประโยชน์กับคนรอบข้างมากที่สุด ทำทุกวินาทีให้มีคุณค่าที่สุด ดังนั้นทุกวันนี้เวลาตื่นเช้ามาเราจะพยายามกอดน้องปุณณ์และพี่ป้อมเสมอ เราอยากกอดพวกเขาตลอดเวลา
“เพราะเราไม่รู้เลยว่าวันไหนจะไม่ได้กอดกันอีก”