“ในเรื่องร้ายๆ มักจะมีเรื่องดีๆ ซ่อนอยู่เสมอ”
เปล่า, ไม่ได้พูดเอาหล่อ แต่เหตุการณ์หลายๆ ครั้งในชีวิตทำให้ผมคิดแบบนั้นจริงๆ ทั้งเหตุการณ์ที่เกิดกับตัวเองและเหตุการณ์เกิดขึ้นกับคนที่ผ่านมาพานพบรู้จักกัน
เรื่องราวของ ‘อู๋-มิ้งค์’ เป็นหนึ่งในนั้น
ถ้าว่ากันตามความเป็นจริง อู๋–วิภัช ไกรสราวุฒิ และมิ้งค์–อชินี ภาสุรปัญญา เป็นคู่รักวัยหนุ่มสาวที่เริ่มต้นคบหาดูใจกันได้ไม่นานเท่าไหร่ แถมทั้งคู่ยังเป็นคนธรรมดาสามัญ ไม่ได้โด่งดังอะไรจนทำให้คนต้องหันมาสนใจ แต่เรื่องราวการเริ่มต้นของความรักครั้งนี้คือสิ่งที่พาตัวผมมานั่งสนทนากับพวกเขาทั้งสอง
ในฐานะคนทำสื่อ เวลาเจอเรื่องราวใดๆ ก็ตามที่ผมรู้สึกว่าน่าจะให้แง่คิดดีๆ ก็อดไม่ได้คันไม้คันมืออยากบอกต่อ และเรื่องราวร้ายๆ ของทั้งอู๋และมิ้งค์ในตัวหนังสือต่อจากนี้ ก็เป็นหนึ่งในเรื่องที่ผมเชื่อเช่นนั้น
“ในเรื่องร้ายๆ มักจะมีเรื่องดีๆ ซ่อนอยู่เสมอ” ผมคิดแบบนั้นในใจอยู่ตลอดเวลาระหว่างนั่งฟังทั้งคู่เล่า
แต่เรื่องที่ว่าคืออะไร ต่อจากนี้ให้อู๋และมิ้งค์เล่าเองดีกว่า
มิ้งค์, โรคหัวกระดูกสะโพกตาย
“ตอนนั้นเป็นปี 2556 เราเพิ่งย้ายงานมาเป็นนักวิทยาศาสตร์ เราเริ่มมีอาการเจ็บคอ เป็นไข้ไม่หยุด กินยาไปก็ไม่หายจนต้องไปหาหมอ อาการเราไม่ดีขึ้นเลยแถมหนักขึ้นด้วย เกล็ดเลือกตก เม็ดเลือดแดงเริ่มแตก ม้ามโต ตับอักเสบ ไข้ขึ้นจนเกือบแตะ 40 องศาฯ ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นภายในหนึ่งอาทิตย์
“สาเหตุของไข้ครั้งนั้นเกิดจากการที่เราติดเชื้อไวรัส ผลที่ตามมาคือเม็ดเลือดขาวของเราทำงานหนักผิดปกติ มันเป็นโรคที่เรียกว่า Hemophagocytic Lymphohistiocytosis ซึ่งถ้าไม่รีบรักษาอาจจะพัฒนาเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวได้ เคสนี้โอกาสเกิดคือหนึ่งในแปดแสน ตอนนั้นหมอเลยเริ่มให้คีโมและให้ยาสเตียรอยด์เราหนักมากเพื่อกดภูมิ เราอยู่ในโรงพยาบาล 20 วัน พอออกมาก็ยังต้องกินยาสเตียรอยด์ด้วยปริมาณที่สูงมาก และผลข้างเคียงของยาเนี่ยแหละที่ส่งผลกับเรามากกว่าอาการของโรคเสียอีก
“เราไม่มีสติ ไม่สามารถทำอะไรเองได้เลย จำอะไรไม่ค่อยได้ น้ำหนักขึ้นเยอะมาก ผิวเริ่มบางและแตกไปทั้งตัวเพราะเริ่มบวม รวมแล้วเป็นเวลา 6 เดือนที่กินยาและค่อยๆ ลดลงมาเรื่อยๆ จนหยุด แต่หลังจากหยุดยาได้ไม่กี่เดือน เราก็เริ่มเจ็บขา
“ตอนแรกคิดว่ามันเกิดจากออกกำลังกายหรือเปล่า แต่พอไปหาหมอแล้วบอกว่าเคยกินสเตียรอยด์ หมอก็แนะนำให้เรา MRI เลย เพราะมันเป็นหนึ่งในผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น ปรากฏว่าผลออกมาคือเราเป็นโรค Avascular Necrosis of Femoral Head หรือโรคหัวกระดูกสะโพกตาย พอได้ยินครั้งแรก เราคิดว่ามันน่าจะหายได้ แต่หมอบอกเราทันทีว่าโรคนี้มันไม่หายหรอก เราต้องเปลี่ยนข้อกระดูกเดิมทิ้ง
“โห ตอนนั้นเราเพิ่งอายุ 24 เอง มันเป็นเรื่องใหญ่สำหรับเรามากเลย เราพยายามยื้อไม่ผ่าตัดโดยใช้วิธีเจาะให้เลือดเข้าไปเลี้ยงตรงนั้นแทน ผลปรากฏว่าเราเจ็บมาก ช่วงแรกคือนอนติดเตียง หลังจากนั้นในทุกก้าวเดิน เราจะมีอาการเจ็บแปล๊บขึ้นมา
“เราพยายามหาทางรักษาอื่น ทั้งว่ายน้ำ หาหมอแผนไทย หาหมอแผนจีน ลองทุกอย่างแต่ก็ไม่ได้ดีขึ้น เวลาเดินเรายังเจ็บ งอขาไม่ค่อยได้ เวลานั่งก็เจ็บ ขึ้นบันไดไม่ได้ เดินเหินไม่เหมือนปกติ เราทำงานอย่างอื่นไม่ได้เลย ทำได้แค่งานออนไลน์
“ก่อนป่วย เราเคยมีแฟนคนหนึ่ง ตอนแรกก็โอเคดี แต่พอเริ่มป่วย หน้าตาเราก็เริ่มเปลี่ยน เราบวมขึ้น สติก็ไม่ค่อยมี เขาก็เริ่มตีตัวออกห่าง เริ่มหายไป ถึงมาเยี่ยมก็มาแต่ตัว ใจกับวิญญาณอยู่ไหนไม่รู้ ขนาดเราล้มแล้วลุกไม่ได้เพราะขาลีบ เขาก็ไม่ช่วยนะ เหมือนไม่กล้าจับ สุดท้ายเราก็เลิกกัน หลังจากนั้นเราก็ไม่มีใครและมองความรักในแง่ลบไปเลย เรารู้สึกว่าเราไม่ปกติแบบนี้ คงไม่มีใครรักเราจริงหรอก จะมีใครมาดูแลและเข้าใจเราได้ จะมีก็แค่ครอบครัวที่ซัพพอร์ตและดูแลเราอย่างดีเท่านั้น
“ตอนนั้นเรารู้สึกเหมือนอยู่คนละโลกกับคนทั่วไป ด้วยอายุเท่านี้ เพื่อนทุกคนเริ่มทำงาน เที่ยว ออกไปใช้ชีวิตตามปกติ แต่ตัวเราเองพอรักษาไปแล้วไม่หายสักที เราก็เริ่มรู้สึกว่าอาจจะไม่หายอีกแล้วก็ได้นะ คำพูดของหมอที่บอกว่า ‘คุณไม่หายหรอก’ มันวนอยู่ในหัว จนสุดท้ายเราปิดเฟซบุ๊กส่วนตัวไปเลยและใช้เฟซบุ๊กปลอมแทน เราไม่อยากเห็นคนอื่นใช้ชีวิตในแบบที่เราเคยอยู่ในจุดนั้น ตอนนั้นเหมือนเราทำใจแล้วและเลือกอยู่ในโลกของตัวเอง เราถึงขั้นเข้าไปในกรุ๊ปของคนพิการเพื่อเข้าไปอ่านว่าเขาคุยอะไรกัน เขาคิดอย่างไร อยู่กันอย่างไร
“จนเมื่อสงกรานต์ปีที่แล้ว เราได้ไปเจอกับสเตตัสของคนๆ หนึ่งที่จั่วหัวว่า ‘อุบัติเหตุไฟไหม้’”
อู๋, กระโดดลงมาจากตึกความสูง 8 ชั้นที่กำลังไฟไหม้
“ก่อนหน้านี้ผมเป็นติวเตอร์สอนคณิตศาสตร์และใช้ชีวิตอยู่ที่อพาร์ตเมนต์แห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 3 เมษายนปีที่แล้ว เวลาประมาณตี 2 ระหว่างที่ผมเล่นเกมอยู่ จู่ๆ ไฟก็ดับ
“ตอนแรกผมไม่ได้แปลกใจเพราะถือว่าเป็นเรื่องปกติสำหรับที่นี่ แต่ปรากฏว่าหลังจากนั้นผมเริ่มได้ยินเสียงคนเดินตะโกนตามทางและไล่ทุบประตูห้องไปเรื่อยๆ เสียงเริ่มใกล้เข้ามาทุกทีจนสุดท้ายผมได้ยินเสียงตะโกนนั้นเป็นคำว่า “ไฟไหม้”
“ผมลุกพรวดขึ้นมาจากเตียง ตอนนั้นไม่รู้เลยว่าไฟไหม้ระดับไหนเพราะมันเงียบและมืดมาก ผมเลยลองแง้มประตูเปิดออก เชื่อไหมว่าประตูห้องฝั่งตรงข้ามที่อยู่ห่างกันไม่ถึง 4 เมตร ผมไม่เห็นบานประตูนั้นแล้ว ควันสีขาวลอยอยู่เต็มไปหมด
“ผมรีบปิดประตูและเริ่มนั่งทบทวนความทรงจำ ก่อนหน้านั้นไม่นานผมเคยเดินไปตรงทางหนีไฟและจำได้ว่าประตูล็อก ดังนั้นตัดเรื่องการหนีไปทางหนีไฟได้เลย ผมเริ่มเอาผ้าเช็ดตัวชุบน้ำมาอุดรูตรงซอกประตูไว้และโทรไปหาสถานีดับเพลิง ปรากฏว่าเขาได้รับแจ้งเหตุแล้วแต่ไม่สามารถเอารถดับเพลิงเข้าไปได้เพราะซอยอพาร์ตเมนต์แคบมาก
“หลังจากชั่งใจกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น สิ่งที่ผมทำต่อไปคือโทรไปลา ผมโทรไปหาแม่และบอกเขาว่าอย่าตกใจนะ ไฟไหม้ อะไรที่ควรทำ ผมทำไปหมดแล้ว เวลาที่ผ่านมาผมได้ใช้ชีวิตของตัวเองในแบบที่อยากมาตลอดแล้ว ดังนั้นอะไรจะเกิดขึ้นก็ไม่ต้องห่วง ขอให้รู้ว่าผมรักม้านะ คุยกันสักพักผมก็วางสายไป
“หลังจากนั้นผมเริ่มเดินและคิดว่าจะทำอย่างไรต่อดี ไม่นานผมก็จัดการเอาหน้ากาก N95 มาใส่และเอาผ้าชุบน้ำโปะลงไปอีกชั้นหนึ่ง ผมเปิดประตูห้องและคลานไปตามพื้น เป้าหมายคือผมอยากไปเห็นว่าทางลงบันไดหลักมันพอลุยลงไปได้ไหม ถ้าได้ ผมจะสไลด์ลงไปรวดเดียว
“พอไปถึงบันได และเอาไฟฉายจากโทรศัพท์ส่องลงไป ภาพที่เกิดขึ้นมันตะลึงมาก รอบๆ ตัวเราตอนนี้มีควันล้อมอยู่เต็มไปหมดแล้ว แต่พอเราส่องลงไปข้างล่างเราเจอควันที่หนากว่านี้มากและมันกำลังลอยขึ้นมาเรื่อยๆ ผมรู้สึกว่าลงไปไม่ได้แล้ว ผมเลยคลานมาตั้งหลักที่ห้องอีกครั้ง
“ณ ตอนนั้นควันเริ่มเข้าในห้องแล้ว ผมนั่งพิจารณาหาทางออกที่เป็นไปได้ที่ยังเหลือ สุดท้ายผมก็นึกขึ้นมาได้ทางหนึ่ง
“ผมจำได้ว่าตรงระเบียงของอพาร์ตเมนต์นี้จะมีสาย LAN อินเทอร์เน็ตประมาณ 5 เส้นติดอยู่ ตั้งแต่ชั้นดาดฟ้าโรยลงไปจนถึงชั้นล่างสุด ผมลองกำและดึงดู ผมพบว่ามันแข็งแรงใช้ได้ ถึงจะรู้ว่ามันเสี่ยงมาก แต่ผมไม่มีทางหนีอื่นแล้ว ผมเลยเริ่มแผนการที่วางไว้
“ผมค่อยๆ โรยตัวลงมาโดยจับสายเน็ตเอาไว้แน่น ค่อยๆ จับและปล่อยเป็นจังหวะ จากชั้น 8 ที่ผมอยู่ลงมาชั้น 7 และหยุดได้สำเร็จ หลังจากหยุดพัก ผมก็ค่อยๆ โรยลงมาโดยกะว่าจะหยุดที่ชั้น 6 แต่ตัวผมหลุดร่วงลงมาจนอยู่ระหว่างชั้น 5-6 ความผิดพลาดเกิดขึ้นแล้ว ผมจำใจต้องปล่อยตัวเองลงมาอีกเพื่อให้หยุดที่ชั้น 5 แต่จังหวะนั้นคือไม่ทันแล้ว เราทิ้งตัวลงมาด้วยความเร็วที่มากเกินไปแถมไม่ได้หยุดพัก สายเน็ตเฉือนมือเราจนเละ ภายใน 3 วินาที ผมก็ตกจากชั้น 6 ลงมาถึงพื้น
“พอลงมาถึงพื้น สิ่งที่คิดอย่างแรกเลยคือเราตายหรือยัง แต่พอลืมตาถึงรู้ว่ายังไม่ตาย หลังจากนั้นผมเริ่มลองขยับแต่ละส่วนดู ตอนนั้นแหละถึงได้รู้ว่าสิ่งที่โดนพื้นอย่างแรกคือบริเวณกระดูกเชิงกรานด้านซ้ายและมันก็หักออกจากกัน ผมขยับไม่ได้ เรารู้สึกว่าตัวเราหนักมาก ท่อนล่างมันชาไปหมดและควบคุมขาซ้ายไม่ได้เลย
“สุดท้ายหลังจากตะโกนให้คนมาช่วยอยู่นาน กู้ภัยก็เข้ามา ตอนนั้นผมเริ่มหายใจลำบากแล้ว มารู้ทีหลังว่ากระดูกเชิงกรานมันแตกจนเส้นเลือดใหญ่ในตัวเราฉีกขาด เลือดที่ออกมาทะลักอยู่ข้างใน พอไปถึงที่โรงพยาบาลก็เหมือนในซีรีส์เลยนะ พยาบาลและหมอวิ่งกันมารุมเต็มไปหมดจนไม่นานผมก็สลบไป
“จากเหตุการณ์ครั้งนั้น ผมต้องอยู่ใน ICU 5 วัน หมอเคลื่อนกระดูกเชิงกรานที่แตกกลับเข้ามาตำแหน่งเดิมพร้อมเอาเหล็กมายึดเป็นโครงด้านนอกไว้ ตอนที่อยู่ในโรงพยาบาล มันเจ็บเหมือนนรกเลย เจ็บขึ้นสมอง มอร์ฟีนก็เอาไม่อยู่ เป็นอย่างนั้นในโรงพยาบาลอยู่เดือนหนึ่งเต็มๆ จนได้กลับบ้าน
“พอกลับมา ผมทำได้แค่นอนอยู่เฉยๆ เพราะลุกไม่ขึ้น อาการแทรกซ้อนอื่นๆ ก็ยังคงมีอย่างอาการปลายประสาทอักเสบ แค่มีอะไรมาสัมผัส ผมก็รู้สึกเหมือนมีคนเอาเข็มมาแทงทุกทิศทุกทางที่เท้า เหมือนมีใครเอาไฟมาลนขา เป็นอย่างนั้นต่อไปอีก 3-4 เดือน จะได้ลุกออกมาจากห้องก็ตอนออกมาหาหมอเท่านั้นและการออกมาแต่ละครั้ง ผมก็ต้องจ้างรถพยาบาลให้มาช่วยอีกต่างหาก
“ช่วงนั้นผมเลยไม่มีอะไรทำ มันมีแค่ตัวเราและมือถือเครื่องเดียวอยู่ในห้อง เวลาทั้งหมดเป็นของเรา ดังนั้นเหตุการณ์ที่เล่าให้ฟังทั้งหมดนี้ ผมเอาไปพิมพ์เป็นสเตตัสในเฟซบุ๊ก
“และบังเอิญว่ามิ้งค์เข้ามาเห็นพอดี”
จากสเตตัสนั้น อะไรเกิดขึ้นตามมา
มิ้งค์ : เราอ่านที่พี่อู๋เขียนแล้วรู้สึกนึกถึงตัวเองตอนที่ผ่าตัดแล้วเดินไม่ได้ เราสะดุดกับประโยคหนึ่งที่พี่อู๋เขียนว่าความฝันของตัวเขาเองตอนนี้คือการกลับไปเดินได้ปกติ ซึ่งนั่นเป็นความฝันของเราเหมือนกัน เราสะดุดจากตรงนี้ก็เลยตามอ่านมาตลอด
อู๋ : ผมว่ามันเป็นจังหวะบังเอิญที่เขาก็มีเวลา ผมก็มีเวลา ยอมรับนะว่าเราก็แอบเข้าไปดูในเฟซบุ๊กเขาแล้วเราก็รู้สึกว่าน่ารัก เราก็เลยแอดไปแล้วก็ได้คุยกัน
คุยกันด้วยเรื่องอาการป่วยไข้
มิ้งค์ : ใช่ๆ ตอนแรกเราก็แนะนำตัวก่อนแหละว่าเราเป็นอะไรคล้ายๆ กันเลย มีประสบการณ์คล้ายๆ กัน มันก็เลยมีเรื่องให้คุยเรื่อยๆ
อู๋ : มันทั้งอาการที่เราเป็นและฝันที่เรามีน่ะ เวลาที่คุยกันเลยไม่ได้รู้สึกติดขัด แต่ผมเองก็จะรู้สึกอะไรบางอย่างก่อน อย่างเวลาเขาถามเราว่าอาการเป็นอย่างไร เราก็จะเล่าไปเหมือนที่เล่าให้ทุกคนฟัง แล้วเขาก็บอกว่าเดี๋ยวไปถามนักกายภาพบำบัดให้ ผมรู้สึกว่าคำพูดนี้ ถ้าเป็นคนอื่น เดี๋ยวอีกสักพักเขาก็คงลืม ไม่เป็นไรหรอก แต่มิ้งค์ไปถามมาจริงจังมาก ว่าอาการที่เราเป็นมันเกิดจากเส้นประสาทไหนที่น่าจะบาดเจ็บพร้อมบอกคำแนะนำมาด้วย เราเลยรู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้เป็นคนที่สนใจคนอื่น เราก็ประทับใจ
มิ้งค์ : เหมือนเราเข้าใจน่ะ เราเคยสู้กับสิ่งนี้มานานแต่ในแบบตัวคนเดียว เรารู้สึกว่านอกจากครอบครัว คงไม่มีใครเข้าใจเรา ไม่มีใครที่เราจะคุยได้ว่าเป็นแบบนี้เหมือนกัน ดังนั้นถ้ามันมีโอกาสที่เราพอจะช่วยทำตรงนี้ให้คนได้ เราก็อยากทำ เราเองก็รู้สึกประทับใจเวลาเขาเขียน เขาจะแทรกมุมมองที่เป็นบวกไปทุกโพสต์เลย เราก็เลยอยากคุย
แล้วเจอกันครั้งแรกตอนไหน
อู๋ : ด้วยความที่คุยกันมาสักพักหนึ่ง ถ้าเป็นปกติเราต้องไปหาเขาแล้ว แต่คือผมไปไหนไม่ได้ ผมก็เลยบอกเขาไปว่าทำไมไม่มาเจอกันล่ะ ไม่ลองมาเยี่ยมพี่ดูเหรอ (หัวเราะ)
มิ้งค์ : ตอนนั้นพี่อู๋ใกล้ถอดเหล็กแล้ว เราก็รู้ว่าต่อไปคือเขาต้องทำกายภาพและคงต้องใช้วอล์กเกอร์เพื่อฝึกเดิน ตอนนั้นเราไม่ได้ใช้แล้ว เราเลยคิดว่าเดี๋ยวไปเยี่ยมก็จะเอาไปให้ด้วย เป็นจังหวะที่พอดีกัน
พอเจอกันแล้วเป็นอย่างไรบ้าง
มิ้งค์ : พี่อู๋ไม่เหมือนคนที่ป่วยคนอื่นเลย นี่คือคนที่นอนติดเตียงมา 3 เดือนแต่ทำไมร่าเริงได้เบอร์นี้ (หัวเราะ) เรารู้สึกลึกๆ ว่าจริงๆ คือความเข้มแข็งนะ เราประทับใจว่าเขาสู้จัง เพราะส่วนมากที่เจอไม่ว่าจะเพื่อนหรือครอบครัว อะไรนิดอะไรหน่อยก็ฝ่อ ก็ดาวน์แล้ว ต้องให้เราไปปลอบด้วยซ้ำ เราเลยรู้สึกว่าพี่อู๋ไม่เหมือนคนอื่น
อู๋ : สำหรับผม ตอนที่คุยกันสิ่งที่ประทับใจเขามันก็มี 1 2 3 4 มาแล้ว แต่พอเจอกันมันมี 5 6 7 8 ตามมาด้วย เขาน่ารักกว่าที่เราคิดอีก พอเขากลับไป จากที่คุยกันเยอะอยู่แล้ว ก็กลายเป็นว่าเราคุยกันทั้งวันเลย ยิ่งคุยกัน เรายิ่งรู้ว่าคนนี้เป็นคนจริงใจ ตรงไปตรงมา ซื่อสัตย์ ใส่ใจ จนถึงจุดหนึ่งที่ก็ตัดสินใจ ในเมื่อรู้สึกดีกันทั้งคู่ก็ลองคบกันดู
การเริ่มต้นรู้จักกันในสถานการณ์แบบนี้มันมีผลต่อความรักอย่างไรบ้าง
มิ้งค์ : มันก็มีความต่างจากปกตินะ คนอื่นเราต้องลุ้นว่าวันหนึ่งถ้าเราป่วยหรือบวมขึ้นมา เขาจะไปหรือเปล่า แต่นี่คือเราไม่ปกติอยู่แล้วแต่เขายังรับได้ เราบอกพี่อู๋หมดนะว่าเราเป็นอะไร เขาก็ยังโอเค เราก็รู้สึกว่าถ้าเขารับในข้อบกพร่องของเราตรงนี้ได้ มันก็จะน่าโอเคนะ
อู๋ : ผมรู้สึกว่าข้อบกพร่องที่มิ้งค์พูดถึงเนี่ย สำหรับผมผมมองเป็นเรื่องงั้นๆ เขาแค่เจออุบัติเหตุมานิดหน่อย แต่สิ่งที่มันหายากคือการเข้ากันได้ ผมรู้สึกว่าไม่ว่าจะด้านไหนของเราทั้งคู่ เราเข้ากันได้ มันทำให้เรายิ่งรู้สึกว่าก็ต้องคนนี้แหละ จริงๆ มิ้งค์เป็นแฟนคนแรกของผมนะและผมก็รู้สึกดีด้วยที่คนแรกในชีวิตของเราเป็นคนนี้
แล้วมันมีอุปสรรคบ้างไหมที่กลายเป็นว่าคู่เราทำเหมือนคู่อื่นไม่ได้
มิ้งค์ : มันดูเหมือนจะโชคร้ายใช่ไหม แต่จริงๆ เรามองมันเป็นโชคดีนะ ถ้าเราคบกับคนปกติที่ไม่เป็นอะไรเลย เขาคงอยากออกไปข้างนอกบ่อยกว่าเราแต่เราทำไม่ได้ มันก็ไปกันไม่ได้แล้ว แต่นี่เหมือนเราเป็นคนแก่เกษียณด้วยกันทั้งคู่ ถ้าเดินๆ อยู่แล้วมีคนหนึ่งเจ็บ ก็นั่งพัก เราเข้าใจตรงกันเลยไม่มีปัญหาอะไร
อู๋ : จริงๆ กว่าเราจะออกไปเที่ยวด้วยกันสองคนได้ก็ไม่นานมานี้เองนะ คราวนั้นผมต้องใช้ไม้ค้ำเดินช่วย
มิ้งค์ : เป็นคนแรกในชีวิตที่มาพูดกับเราว่า ‘รอด้วย’ (หัวเราะ)
อัพเดตอาการสักนิด ตอนนี้ทั้งคู่เป็นยังไงบ้าง
มิ้งค์ : หลังจากเราหาหมอต่างๆ แล้วไม่ดีขึ้น สุดท้ายเรามาเจอคลินิกกายภาพ ปรากฏว่าพอลองทำแล้วมันดีขึ้นนะ จากถือไม้เท้าอยู่ 3 ปีก็ไม่ถือแล้ว เราแข็งแรงขึ้น ไปไหนมาไหนได้ แต่เมื่อต้นปีที่ผ่านมานี่เองเราตัดสินใจผ่าตัดเปลี่ยนข้อที่โรงพยาบาลกรุงเทพ เขาใช้เทคนิคใหม่ในการรักษาและข้อเทียมแบบใหม่อยู่ได้ประมาณ 40 ปี ผ่าแล้วทุกอย่างก็ราบรื่นดี ตอนนี้อยู่ในช่วงพักฟื้น หมอบอกว่าเราจะใช้ชีวิตปกติได้ ซึ่งตอนผ่าพี่อู๋ก็มาส่งหน้าห้องผ่าตัดและมาเฝ้าตลอด
อู๋ : หลังจากมิ้งค์แนะนำคลินิกกายภาพที่เขาหาอยู่ ผมก็ไปหาที่เดียวกัน เราทำกายภาพมาเรื่อยๆ จนตอนนี้ก็ยังทำอยู่ จากตอนแรกที่งอขาไม่ได้ ตอนนี้ก็เริ่มงอได้ใกล้เป็นปกติแล้ว ทุกวันนี้ก็ยังสู้อยู่ครับ
สุดท้าย ทั้งคู่มองความรักครั้งนี้ที่เกิดจากการป่วยไข้ของตัวเองอย่างไรบ้าง
อู๋ : ถ้าจะมีข้อคิดอะไรสักอย่างหนึ่ง ผมรู้สึกว่าในบรรดาเหตุโชคร้าย เดี๋ยวโชคดีมันจะมาสลับๆ กันนะ เพราะฉะนั้นในเวลาที่อยู่จุดต่ำสุดของชีวิต เดี๋ยวมันก็จะขึ้นมาเอง
มิ้งค์ : จากอาการป่วยตลอด 6 ปีที่ผ่านมา สิ่งที่เราได้เรียนรู้คือหนึ่ง ไม่ว่าเรื่องอะไรที่เข้ามาในชีวิตเรา ถ้าเรามีมุมที่ดีอยู่เสมอและโฟกัสสิ่งที่ดี มันก็จะทำให้เราเดินต่อไปได้ ในวันที่มืดมิดที่สุดเรามีครอบครัวเป็นแสงสว่าง หรืออย่างเรื่องที่เราเลิกเชื่อในความรัก สุดท้ายมุมมองเราก็เปลี่ยนไป สองคือวันที่หมอบอกเราว่าคุณอาจจะเป็นมะเร็ง เราคิดเลยนะว่าถ้าเราตายพรุ่งนี้ เราเสียดายอะไรหรือเปล่า เราทำอะไรพลาดแล้วเราอยากกลับไปแก้ไหม ตอนนั้นเราคิดว่าถ้าหาย อะไรที่เราอยากทำ อะไรที่เราชอบ เราจะทำเลย ไม่ลังเล อย่าปล่อยเวลาไปเรื่อยๆ เพราะเราไม่รู้หรอกว่าจะตายเมื่อไหร่ มันเป็นเรื่องของอนาคต ดังนั้นทำปัจจุบันให้ดีก็พอ