ชีวิตนี้สอนให้รู้ว่า “บางเรื่องลืมๆ ไปบ้างก็ได้” – อารักษ์ อาภากาศ

Highlights

  • อารักษ์ อาภากาศ ชายผู้มีชีวิตผ่านฝนมาแล้ว 65 ฝน ใช้ชีวิตในฐานะศิลปินโฟล์กเพื่อชีวิตมาแล้ว 27 หนาว เคยได้รับรางวัลศิลปินหน้าใหม่ยอดเยี่ยม เวทีสีสัน อะวอร์ดส์ ครั้งที่ 4 เมื่อปี 2534 จากอัลบั้ม คนเดินดิน
  • เขาไม่ได้ตั้งใจจะเป็นนักดนตรี เขาทำเพราะว่ามันเป็นสิ่งที่ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะสมองซีกซ้ายของเขาได้รับการกระทบกระเทือนซ้ำๆ จากอุบัติเหตุ เขาไม่ได้ตั้งใจจะแต่งเพลงที่กินใจด้วยความคิดที่คมคาย มันเป็นเพียงความรู้สึกและเรื่องราวที่เขาซึมซับไว้ และดนตรีก็เป็นเพียงสิ่งเดียวที่เยียวยาความผิดหวังในชีวิตของเขาได้
  • บทเรียนสำคัญของเขาคือการมองเห็นความรักจากคนที่รักเราบ้าง

คุณอาจจะรู้มาบ้างว่าสมองซีกซ้ายและขวานั้นมีหน้าที่แตกต่างกัน ซีกซ้ายรับหน้าที่ดูแลการใช้เหตุผล การพูด การควบคุม ส่วนซีกขวานั้นรับหน้าที่เป็นผู้เปิดรับสุนทรียะ จินตนาการ ความคิดสร้างสรรค์ และสัญชาตญาณ แม้จะอยู่คนละฟากฝั่ง ทว่าทั้งสองซีกนั้นก็ถูกสร้างขึ้นมาให้ทำงานร่วมกันอยู่ดี

หากขาดซีกใดซีกหนึ่งไป หรือมีซีกไหนที่ทำงานได้ไม่เต็มที่ เรานึกภาพไม่ออกเลยว่าชีวิตจะดำเนินไปยังไง

อารักษ์ อาภากาศ

จนกระทั่งเราได้พูดคุยกับ อารักษ์ อาภากาศ ชายผู้มีชีวิตผ่านฝนมาแล้ว 65 ฝน ใช้ชีวิตในฐานะศิลปินโฟล์กเพื่อชีวิตมาแล้ว 27 หนาว เคยได้รับรางวัลศิลปินหน้าใหม่ยอดเยี่ยม เวทีสีสัน อะวอร์ดส์ ครั้งที่ 4 เมื่อปี 2534 จากอัลบั้ม คนเดินดิน ที่เป็นเหมือนสปอตไลต์สาดส่องลงมาให้ผู้คนเริ่มสนใจในตัวเขา ก่อนที่อีกหลายเพลงหลังจากนั้นจะตามไปประทับอยู่ในใจของใครหลายๆ คนอย่าง ส่วนที่หายไป, น้อยก็หนึ่ง, กรุงเทพฯ รมควัน จึงพบว่าเขาดำเนินชีวิตโดยมีความรู้สึกเป็นผู้บัญชาการชีวิตมาตั้งแต่เด็ก

ไม่ใช่เพราะเขาเกิดมาเพื่อเป็นศิลปินผู้ใช้ความรู้สึกทำงานศิลปะ แต่เป็นเพราะสมองซีกซ้ายของเขาได้รับการกระทบกระเทือนซ้ำๆ จากอุบัติเหตุต่างกรรมต่างวาระ

“ถ้าสมองผมไม่ได้เป็นอย่างนี้ ผมไม่เป็นหรอกนักดนตรี ผมอยากเป็นวิศวกร เป็นนายแพทย์ เป็นนักวิทยาศาสตร์ อยากมีคฤหาสน์ มีเครื่องบินส่วนตัว แต่ชีวิตมันไม่ได้เป็นแบบนั้น และคล้ายว่าไม่มีอะไรดีไปกว่าการเล่นดนตรีแล้ว”

อารักษ์ อาภากาศ

เขาไม่ได้ตั้งใจจะเป็นนักดนตรี เขาทำเพราะว่ามันเป็นสิ่งที่ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ เขาไม่ได้ตั้งใจจะแต่งเพลงที่กินใจด้วยความคิดที่คมคาย มันเป็นเพียงความรู้สึกและเรื่องราวที่เขาซึมซับไว้ และดนตรีก็เป็นเพียงสิ่งเดียวที่เยียวยาความผิดหวังในชีวิตของเขาได้

จากที่เราคิดว่าจะไถ่ถามถึงเรื่องนามธรรม อย่างวิธีคิด วิธีมองโลก วิธีทำความเข้าใจธรรมชาติของเพื่อนมนุษย์ ซึ่งน่าจะเป็นพื้นฐานที่นักดนตรีเพื่อชีวิตใช้สร้างสรรค์ผลงานเพลง กลายเป็นว่าชีวิตที่ใช้ความรู้สึกนำทางของเขากลับน่าสนใจกว่า 

ถัดจากประโยคนั้นจึงเต็มไปด้วยเรื่องราวการต่อสู้ การประนีประนอม การทำความเข้าใจกับความป่วยไข้อันเป็นที่มาที่ไปของชีวิตในปัจจุบัน และเป็นเบื้องหลังผลงานเพลงแสนเรียบง่ายที่ทำให้ผู้ฟังยังอยากใช้ชีวิตต่อไป ด้วยถ้อยคำที่เรียบง่าย คล้ายบทเพลงเพื่อชีวิต

 

ชีวิตในวัยเด็กของคุณเป็นยังไง

ผมเติบโตมาในห้องแถวย่านบางขุนพรหม เติบโตมากับภาพพ่อแม่ทำงานอย่างหนัก แทบไม่ได้ออกไปเที่ยวไหน ซึ่งก็เข้าใจได้ว่าต้องประหยัด ต้องใช้เงินจำนวนมากในการเลี้ยงลูก 11 คน ส่วนผมก็เป็นเด็กซุกซนแบบเซ่อๆ ไม่ค่อยมีสมาธิ เดินสะดุดขาตัวเองหกล้มก็บ่อย เกิดอุบัติเหตุอยู่เรื่อยๆ รุนแรงที่สุดคือตอนอายุยี่สิบกว่าขี่มอเตอร์ไซค์ประสานงากับแท็กซี่ ที่น่าประหลาดคืออุบัติเหตุแทบทุกครั้งมักทำให้สมองฝั่งซ้ายได้รับการกระทบกระเทือน เป็นอยู่ที่เดียว ทำให้ผมเป็นเด็กที่จดจำอะไรไม่ค่อยได้ เรียกให้สมองส่วนความจำช่วยมันก็ไม่ยอมให้ความร่วมมือ บ่อยๆ เข้าก็เลยขี้เกียจยุ่งด้วย มันเหนื่อยฉิบหายเลย คล้ายกับว่าสมองของผมถูกใช้งานเพียงซีกเดียว นอกจากจำอะไรไม่ค่อยได้แล้ว ก็ทำให้เป็นเด็กที่สะเทือนใจง่าย ควบคุมชีวิตได้ยาก เพราะมันขาดสมดุล ซึ่งผมเพิ่งมาคิดทบทวนเมื่อไม่นานมานี้ว่าจริงๆ แล้วอาจจะเป็นเพราะบาปกรรม ทั้งที่ผมเคยประกาศตนว่าไม่นับถือศาสนาอะไรเลยนะ แต่มันจะบังเอิญอะไรขนาดนั้น อาจเป็นเพราะผมชอบยิงนกตกปลาก็ได้ 

Arak Arpakard

อะไรคือสิ่งที่คุณบอกว่าควบคุมยาก อธิบายหน่อยได้ไหมว่ามันควบคุมยากขนาดไหน

ผมว่าคุณนึกไม่ออกหรอกว่าการใช้สมองเพียงซีกเดียวมันเหนื่อยขนาดไหนที่คุณแนะนำตัวกับผมเมื่อกี้ อีก 5 นาทีข้างหน้าผมอาจจะลืมชื่อของคุณแล้ว แก่ตัวก็ยิ่งแย่ลง ทีนี้การที่ผมไม่สามารถจำเรื่องต่างๆ ได้ตั้งแต่เป็นวัยรุ่นมันสร้างความหงุดหงิดใจเอามากๆ ทำให้ผมผิดใจกับคนอื่นก็บ่อย เพราะเป็นคนที่ตึง ไม่ยอมผ่อน นั่นคือเรื่องที่หนึ่ง เรื่องที่สองคือมันเหมือนขาดผู้ช่วย ชีวิตคนเราจะดีถ้ามีเครื่องควบคุมอารมณ์ แต่ผมไม่มี ไม่ว่าจะเจอเรื่องดีเรื่องร้ายก็ยกให้ส่วนความรู้สึกไปหมด ไม่มีสมองอีกส่วนคอยห้ามปรามให้ใจเย็นๆ ไม่มีตัวช่วยประนีประนอม ส่วนความรู้สึกมันก็ยิ่งได้ใจ ควบคุมยากขึ้นไปอีก นี่ถ้าผมเป็นคนแข็งแรงหน่อยหรือมีดีเอ็นเอเลวๆ สักหน่อยผมอาจจะกลายเป็นฆาตกรก็ได้ 

 

แล้วพ่อกับแม่ของคุณรับมือหรือช่วยเหลือยังไงบ้าง

ทั้งคู่ไม่มีเวลา ที่ร้านเป็นร้านทองเล็กๆ เตี่ยเป็นช่างทอง แม่เป็นผู้ช่วยขาย แม่ต้องรับภาระในการดูแลลูก ทำงานบ้าน ทำกับข้าว และช่วยขายของ แล้วทั้งคู่ก็ไม่ได้เรียนมาสูง คิดแต่เรื่องทำมาหากิน ก็เลยไม่ได้ผลักดันให้ผมไปเรียนต่อหรือทำอะไรอย่างอื่น ผมเองก็เรียนไม่ไหว ทรมาน ไม่สนุกเอาเสียเลย ผมไม่จบ ม.8 ด้วย ช่วงนั้นเป็นเด็กล่องลอย สะเปะสะปะไปวันๆ

แล้วอะไรคือจุดเปลี่ยนที่ทำให้คุณไม่ผันตัวไปเป็นคนที่ใช้กำลังหรือก้าวร้าว

ดนตรี วันหนึ่งผมไปจับกีตาร์ที่พี่ชายซื้อมาแต่ไม่ได้เล่น อารมณ์โกรธ ความฉุนเฉียวของผมลดลง ผมอธิบายความรู้สึกตอนนั้นไม่ถูกเหมือนกัน แต่คล้ายกับว่าตั้งแต่ผมได้จับกีตาร์ ความอ่อนโยนของดนตรีมันเข้ามาช่วยสร้างสมดุล พอเริ่มเล่นได้ก็เล่นไม่หยุด เล่นจนนิ้วแตกเลือดออก คล้ายเจอทางที่จะสามารถระบายทุกสิ่งออกมาได้ ซึ่งก็แปลกดี เหมือนผมมีเซนส์ ผมไม่ต้องใช้ความพยายามเท่าไหร่ในการเล่นกีตาร์ ขนาดว่าหลังจากนั้นผมพยายามอ่านหนังสือดนตรีเพื่อเรียนรู้เพิ่ม ก็พบว่าตัวเองจำได้ดีกว่าเรื่องอื่นๆ รวมถึงเซนส์ด้านความรู้สึก เพลงไหนเพราะไม่เพราะผมบอกได้ทันที ยิ่งเพลงคลาสสิก เพลงแจ๊ส ผมจะชอบมากๆ

 

ค้นพบตอนนั้นเลยหรือเปล่าว่าเจอทางที่ใช่แล้ว

ไม่ ตอนนั้นก็แค่เล่นกีตาร์แหกปากร้องเพลงอยู่ในห้องนอนคนเดียว ยังจับจุดอะไรไม่ได้เลยด้วยซ้ำว่าอยากทำอะไร อยากเป็นอะไร พ่อแม่เคยส่งไปทำงานในโรงงานปั่นด้ายของญาติที่เกาลูน ทำงานอยู่สัก 6 เดือนแต่ก็ไม่เป็นโล้เป็นพายอะไร ได้เรียนภาษาอังกฤษอีกนิดหน่อย ก่อนจะกลับมาล่องลอยที่ไทยเหมือนเดิม

ทีนี้ด้วยความที่บ้านอยู่บางขุนพรหม เลยไปอีกหน่อยก็คือถนนข้าวสาร ยุคนั้นเป็นยุคที่เพิ่งมีเกสต์เฮาส์ เริ่มมีฝรั่งเดินเที่ยวผ่านแถวบ้านมากขึ้น ไอ้ผมก็เป็นเด็กที่ชอบทักทายฝรั่งไปเรื่อย ก็เลยได้รู้จักกับทอม เป็นคนกรีก คุยจนเป็นเพื่อนกัน ผมเล่าให้เขาฟังว่าผมอยากไปเห็นโลก เขาเลยเอาใบประกาศรับสมัครงานของเอเจนซีให้ดู มีให้เลือกระหว่างอเมริกากับอังกฤษ ผมชอบตึกรามบ้านช่องของอังกฤษ ผมก็สมัครเลย ตอนนั้นอายุ 18-19 ปี ไปทำงานอยู่ลอนดอน ทำตั้งแต่งานรับจ้าง ทำความสะอาด จัดของในซูเปอร์มาร์เก็ต แต่ผมไม่มีความสุขเลย ไม่ชอบทำงาน ผมร้องไห้เลยนะ อยู่บ้านผมออกจะเป็นคุณหนูหน่อยๆ ด้วยซ้ำ แต่นี่ผมต้องเจอการแบ่งชนชั้น การเหยียดผิว ซึ่งเป็นเรื่องที่สะเทือนใจผมที่สุด เก็บมาระบายออกกับกีตาร์ที่พกไป ทำงานครบปีก็คิดอยากใช้กีตาร์พาเดินทาง ผมเลยลาออก โบกรถเที่ยวไปเรื่อย ฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี สวิตเซอร์แลนด์ ออสเตรีย ไปที่ไหนก็ไปเปิดหมวกเล่นดนตรี

อารักษ์ อาภากาศ

การไปทำงานและใช้ชีวิตอยู่เมืองนอกเปลี่ยนแปลงคุณยังไงบ้าง

ได้รู้จักตัวเองมากขึ้น ตอนที่โบกรถเที่ยว ผมได้เจอพวกฮิปปี้ พวกพังก์ หลายกลุ่ม ผมชอบชีวิตพวกเขามาก เขาทำให้ผมไม่อยากได้อะไรอีกเลย ผมไม่เห็นสาระของการทำงาน ผมว่ามันบ้าฉิบหาย เช้ามาก็ต้องรีบตื่นไปตอกบัตร ตกเย็นก็ต้องรีบ ต้องเบียดกันขึ้นรถเมล์รถไฟกลับบ้าน ทำให้รู้ว่าที่ผมไม่ชอบทำงานไม่ใช่เรื่องแปลก ที่ผมเป็นคนไม่อดทนกับชีวิตแบบนั้นไม่ใช่เรื่องแปลก ผมอิจฉาสัตว์นะ ผมโคตรอยากเป็นหมา อยากเป็นนก ได้บิน ได้ร้อง ผมไม่ชอบสภาพความเป็นคนเลย ผมว่ามันน่าเบื่อ ซึ่งก็อาจเป็นเพราะเก็บกดจากการที่เห็นพ่อแม่เอาแต่ทำงานด้วย

 

แล้วกลับมาไทยทำไม

พ่อป่วย กลับมาดูใจครั้งสุดท้าย จริงๆ หลังจบงานศพพ่อก็ยังคิดว่าจะออกไปเที่ยวรอบโลกต่อ แต่เผอิญว่าระหว่างนั้นมีโอกาสไปเล่นดนตรีตามผับตามบาร์แล้วติดใจ มันถือเป็นงานที่ผมทำได้นานที่สุดแล้ว ทีนี้เล่นไปสักพักก็เริ่มเบื่อการเล่นเพลงคนอื่น ความคิดที่จะแต่งเพลงเองก็เกิดขึ้นตอนนั้น ผมก็เลยลองทำแล้วก็ทำมันได้ง่ายๆ สิ่งที่เก็บกดไว้มานานตั้งแต่เด็ก ตอนเจอฝรั่งเหยียดผิวที่ยุโรป ทุกอย่างออกมาง่ายๆ อย่างนั้น

Arak Arpakard

แต่กว่าที่อัลบั้มแรกของคุณจะวางแผงก็ปี 2534 ซึ่งก็คือตอนที่คุณอายุ 38 ปี ห่างจากช่วงที่คุณกลับมาใช้ชีวิตในไทยหลายสิบปี มันเกิดอะไรขึ้นระหว่างนั้น

มีแฟน มีครอบครัว มีลูก เริ่มคิดอยากมีชีวิตมั่นคง เล่นดนตรีโฟล์กมันได้เงินไม่มาก ผมก็เลยหันมาค้าขาย พยายามลืมๆ เรื่องที่ผ่านมา ทำมาหากินดีกว่า ตอนนั้นอาจจะโตขึ้นด้วยมั้ง ซึ่งผมก็ทำได้ดีเลยนะ ผมขายเก่งเลย ได้กำไรดี ใช้ความรู้จากการที่บ้านเคยขายทอง ผมก็ไปรับพวกเครื่องประดับมาขาย

สุดท้ายผมหนีความเบื่อไม่พ้น สมองส่วนความรู้สึกมันไม่ยอม ต้องกลับมาหาดนตรี สนองความต้องการภายในของผม สมองส่วนความรู้สึกก็เหมือนได้รับการตามใจมากขึ้นเรื่อยๆ ความอดทนต่อสิ่งรอบตัวของผมที่มีน้อยอยู่แล้วก็ยิ่งน้อยลงไปอีก แต่เขาเป็นคนปกติไงก็เลยทนผมไม่ไหว แยกทางกันไป เป็นเรื่องที่ผมสะเทือนใจมากนะ ตอนนั้นไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงทนเราไม่ได้ แต่ไม่โทษใคร โทษตัวเอง 

ถ้าย้อนกลับไปได้ก็จะเลือกครอบครัว (นิ่งเงียบ) แต่พูดไปก็เท่านั้น มันเหมือนเด็กงอแง แต่พูดไว้ตรงนี้เลยก็ได้เผื่อลูกจะได้ยิน ผมอยากให้ลูกบางคนที่ผมไม่ได้เลี้ยงได้ยินว่าผมแคร์เขามาก (นิ่งเงียบ) ผมรู้ว่าผมไม่ได้เลี้ยงเขามา จะให้เขาอินกับผมได้ยังไง มันต่อไม่ติด เขาก็คงแค้นผมมาก ซึ่งผมก็เข้าใจนะ ก็พูดๆ กันไป สารภาพให้จบๆ เดี๋ยวก็ตายห่ากันแล้ว

หลังจากอัลบั้ม คนเดินดิน เผยแพร่ออกไป ได้รางวัล มีผู้คนยอมรับในตัวคุณมากมาย สมองส่วนความรู้สึกของคุณแสดงอาการยังไงออกมา

ภูมิใจ เป็นสิ่งหนึ่งในชีวิตที่พอจะอวดได้ ผมซื่อสัตย์กับความรู้สึกตัวเอง เพลงที่แต่งออกมานั้นก็เป็นเพียงความธรรมดาในชีวิตของผม ไม่ต้องไปปั้นคำ ความจริงผมก็ไม่ได้มีคลังคำอะไรมาก ก็เอาคำที่ผมรู้นั่นแหละ แต่มันกลับกลายเป็นว่ามีคนฟังที่ชอบอะไรง่ายๆ แบบนี้ ถือเป็นโชคดีที่มีคนตอบรับ ผมไม่ต้องพยายามอะไรเท่าไหร่เลย นี่แหละสิ่งที่ผมต้องการ การไม่ต้องพยายามทำอะไร เพราะจริงๆ ผมเป็นคนไม่เอาไหน ชอบอะไรก็ไม่ชอบจริงๆ จังๆ ไม่อดทน อยากได้อะไรก็ไม่พยายาม ช่วงแรกๆ ที่แต่งเพลงผมอ่านชีวิตพวกคนดังในนิตยสาร Starpics เฮ้ย พวกมันมีปาร์ตี้ทุกคืนเลยว่ะ มีคฤหาสน์ มีเครื่องบินส่วนตัว ผมโคตรอยากได้แบบนั้น ชีวิตแม่งโคตรดี แต่พอรู้ว่าไม่สามารถหามาได้ก็จะบอกตัวเองว่าไม่เป็นไร ไม่ได้ก็ไม่เอา จะให้กูตะเกียกตะกายเพื่อคว้ามากูไม่เอาหรอก แต่ถ้าขายเพลงแล้วมีเงินไปซื้อคฤหาสน์ได้ แบบนั้นเอา ถ้าไม่ได้ก็ช่างแม่ง ขนาดจะทำอัลบั้มของตัวเอง ถ้าไม่ได้เพื่อน วสันต์ สิทธิเขตต์ รบเร้าให้ทำและช่วยจัดการให้ ผมคิดว่าเวลาคงจะล่วงเลยไปมากกว่านั้นอีก

 

ทำไมไม่คิดว่าการที่อัลบั้มได้รางวัล มีคนสนใจ จะเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้คุณได้ใช้ชีวิตแบบคนดังอย่างที่คุณต้องการ

ภาพชีวิตคนดังที่ผมเห็นในนิตยสารคือคนต่างชาติไง ผมเคยอยากเป็นแบบ Ralph McTell คนแต่งเพลง Streets of London ตอนแรกเขาก็เป็นคนทำงานรับจ้างกิ๊กก๊อก แต่พอเพลงโด่งดัง ได้รางวัลแผ่นเสียงทองคำ เขาก็กลายเป็นสตาร์ มีชีวิตแบบที่ผมอยากมี แต่ผมมันเพี้ยนไง ตอนนั้นคิดตื้นๆ อยากมีอยากได้เหมือนคนอื่น ทั้งที่ผมไม่มีความสามารถพอจะทำเพลงให้ดังหรือสื่อสารกับคนจำนวนมากได้ด้วยซ้ำ ผมไม่ได้ตั้งต้นเล่นดนตรีเพราะหวังสิ่งไหน ผมแต่งเพลงเพราะมันช่วยปลดปล่อยความสะเทือนใจที่เก็บสะสมไว้อย่างถึงใจ เพราะพูดปากเปล่ามันไม่ถึงใจ ร้องเพลงคนอื่นมันก็ไม่ถึงใจ และความอ่อนโยนของดนตรีก็ช่วยทำให้ผมเอาชนะความป่วยไข้ได้ด้วย ผมเพิ่งจะมาคิดหวังกับผลงานตัวเองก็เมื่อแก่ตัว เริ่มละอายใจต่อลูกหลานที่ไม่ได้สร้างอะไรไว้ให้พวกเขา ผมเพิ่งจะไปจดลิขสิทธิ์เพลงทั้งหมดเมื่อไม่นานมานี้ แต่ก่อนผมไม่เคยสนใจเลย

การเป็นคนป่วยไข้ มีอารมณ์เป็นเครื่องนำทางชีวิตแบบคุณนั้น มันจะไม่มีข้อดีอยู่บ้างเลยเหรอ

ส่วนใหญ่ไม่ดี มันจะดีถ้ามีเครื่องควบคุม อย่างที่บอกไปตอนแรก สมองคนเรามันต้องสมดุล ถ้ามีสมองฝั่งเหตุและผลคอยช่วยควบคุมมันก็จะสุดยอด คุณลองไปถามคนที่ประสบความสำเร็จดูก็ได้ ส่วนใหญ่เขาก็จะบอกว่าจะสำเร็จได้ถ้าใช้ความคิดนำ อย่าเอาความรู้สึกนำ ผมก็อยากทำแบบนั้นนะ แต่ทำไม่ได้ ก็เลยช่างแม่ง กูก็จะทำให้มันได้ในแบบที่กูเป็น ถ้าสมองผมไม่ได้เป็นอย่างนี้ ผมไม่เป็นหรอกนักดนตรี ผมอยากเป็นวิศวกร ผมอยากเป็นนายแพทย์ เป็นนักวิทยาศาสตร์ อยากมีคฤหาสน์ มีเครื่องบินส่วนตัว จริงๆ ผมอยากไปกระโดดร่มฉิบหายเลย (หัวเราะ) ผมอยากให้ดนตรีมันเป็นงานอดิเรกด้วยซ้ำ เพราะผมจะได้ไม่ต้องเล่นซ้ำๆ จำเจ เล่นเมื่ออยากเล่น แต่ชีวิตมันไม่ได้เป็นแบบนั้น คล้ายว่าไม่มีอะไรดีไปกว่าการเล่นดนตรีแล้ว

 

แล้วชีวิตนักดนตรีที่คุณไม่ได้อยากเป็นนั้นให้อะไรกับคุณบ้าง

ให้ความรู้ทางจิตวิญญาณ จากที่ผมไม่รู้เรื่องอะไรเลย ล่องลอย ทำให้ผมเข้าใจสุนทรียภาพ ความงามในธรรมชาติ ทำให้ผมได้พบเจอกับหนึ่งในไม่กี่เรื่องที่ผมสนใจ ผมชอบเพลงยุคที่ยังไม่มีไฟฟ้า ไม่ต้องร้องผ่านไมโครโฟน เพลงคลาสสิก โมซาร์ท บีโธเฟน โชแป็ง เพลงพื้นบ้าน เพลงไทยเดิม ผมฟังแล้วร้องไห้เลย แต่พวกวัตถุเงินทองที่ผมเล่าไปก่อนหน้านั้นมันเป็นเพียงแค่ความอยากชั่วครั้งชั่วคราว เห็นคนอื่นมีก็อยากมีเหมือนปุถุชนทั่วๆ ไป พอเอามาไม่ได้ เวลาผ่านไปผมก็ลืมความอยากนั้นแล้ว แต่นก ท้องฟ้า ธรรมชาติ เสียงเพลง สุนทรียภาพเหล่านี้สามารถตอบสนองผมได้ทันที

 

ในฐานะที่คุณสนิทใกล้ชิดกับอารมณ์มาก พอจะแนะนำวิธีใช้อารมณ์ให้เกิดประโยชน์ได้ไหม

ไม่แนะนำ ชีวิตผมก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จอะไร ไม่กล้าจะแนะนำ ที่เล่าชีวิตให้ฟังอย่างบริสุทธิ์ใจนี้ก็คงเหมือนการแนะนำแล้ว ให้พวกคุณเห็นว่าชีวิตกูเป็นแบบนี้เพราะทำแบบนี้ ตรงไหนที่เอาไปต่อยอดได้ก็เลือกไป ใจเย็นคือสิ่งสำคัญ แต่พูดไปมันก็เท่านั้น กว่าผมจะทำได้ก็แก่แล้ว ดีเอ็นเอจากพ่อแม่ สิ่งที่แต่ละคนพบเจอมาก็แตกต่างกัน คนที่ใจเย็นก็คงทำได้ตั้งแต่เด็กแล้ว คนใจร้อนก็คือใจร้อน ถ้าคุณไปบอกคนใจร้อนให้ใจเย็นเขาก็คงด่า ‘ไอ้เหี้ย เรื่องแบบนี้จะให้ใจเย็นได้ยังไงวะ’ (หัวเราะ) แนะนำไปเขาก็ไม่รับ จนกว่าจะเรียนรู้สิ่งนั้นเอง

แล้วมีเรื่องไหนบ้างที่คุณคิดว่าใช้เหตุผลกับมันมากที่สุดในชีวิต

เพลง ถึงผมจะแต่งเพลงด้วยความรู้สึก จากเรื่องราวในชีวิต แต่ก็ต้องรับผิดชอบทำเพลงออกมาให้ดี ต้องตรวจสอบความคิดในเพลงอยู่เสมอ ผมไม่ใช่พวกแต่งเพลงแล้วคิดว่าใครไม่เข้าใจก็เรื่องของมึง คือเราก็ต้องทำเต็มที่เท่าที่ทำได้ ผมจะคิดถึงคนฟังด้วย คิดว่ามันจะต้องมีประโยชน์กับใครบ้าง อาจจะเป็นเหตุผลที่ทำให้ยังมีคนฟังและสนใจเพลงของผมอยู่บ้าง ความสนใจจากคนอื่นนี่แหละที่ยังทำให้ผมสนใจเล่นดนตรีซ้ำๆ ซากๆ ได้

อีกเรื่องก็คือความรักครั้งใหม่ ต้องใช้สติ ใช้เหตุผลมากขึ้น ต้องระมัดระวัง ต้องแคร์คนที่เรารัก อะไรที่เขาทำแล้วไม่ชอบก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้บ้าง หยวนๆ กันบ้างก็ได้ แต่เมื่อก่อนทำไม่ได้นะ แตกหัก เป็นเรื่องที่เสียใจจนถึงวันนี้ เรื่องเล็กๆ ก็ทำให้เป็นเรื่องใหญ่ จริงจังเกินไป ทั้งที่บางเรื่องลืมๆ ไปบ้างก็ได้ แกล้งไม่รู้บ้างก็ได้ เดี๋ยวนี้ทำได้แล้ว อาจเพราะรู้ว่าชีวิตมันก็แค่นี้ เดี๋ยวก็จากไปแล้ว เอาอะไรกับมันมาก

 


ทุกวันนี้มีชีวิตอยู่เพื่ออะไร

แหม ก็มันยังไม่อยากตาย ตอบยาก มันหลายอย่างมาก อยู่ไปเพื่อสูบกัญชาเหรอ (หัวเราะ) อยู่เพื่อจะได้กอดคนรัก อยู่กับลูก อยู่เพื่อจะกินของอร่อย อยู่เพื่อสูดอากาศดีๆ อยู่เพื่อเล่นดนตรี เยอะแยะไปหมด แต่ยังไม่อยากตาย ไม่ชอบเลย มันวังเวง น่ากลัว จริงๆ ผมเข้าข่ายโรคซึมเศร้าหลายข้อเลยนะ ยกเว้นเรื่องอยากตาย 

เหตุการณ์ที่มอบบทเรียนสำคัญกับชีวิตคืออะไร

เมื่อเร็วๆ นี้เอง กับคนรักใหม่ อยู่ๆ เราก็คุยกันไม่รู้เรื่อง ทะเลาะกัน แล้วเขาหายไป สุดท้ายผมไปง้อแล้วเขากลับมาก่อนจะพูดความในใจว่า เขาแค่ต้องการให้เราพูดคุยกับเขาบ้าง อยากให้เราเอาใจเขาบ้างเวลาเขากลับจากที่ทำงาน แต่เราคิดว่ามันเป็นเรื่องกระจุ๋มกระจิ๋ม มองเห็นแต่ความรักของตัวเองที่คิดว่ายิ่งใหญ่นักหนา ไม่เคยเห็นความรักของคนอื่นทั้งๆ ที่เราอยากได้อะไรเขาก็ซื้อหามาให้ อยากกินอะไรเขาก็ซื้อมา อะไรที่เราไม่ชอบเขาก็พร้อมจะปกป้องเรา แต่แค่เขาอยากจะคุยกับเรา เรากลับไม่เคยแบ่งเวลาให้ เป็นเรื่องที่ผมเพิ่งมาเรียนรู้

อยากให้คนจดจำตัวเองแบบไหน

ไม่ต้องคิดอะไรขนาดนั้นหรอก พอเราได้เรียนรู้ชีวิตของมหาบุรุษทั้งหลายแล้ว เรามันเป็นแค่กระพี้นิดเดียว ไม่กล้าคิดให้ใครจดจำอะไรของเรา ไม่ควรคิด มันจะว้าวุ่น (จับแก้วน้ำ) อย่างแก้วใบนี้จะอยู่ได้กี่ปีก็ขึ้นอยู่กับว่ามันแข็งแรงแค่ไหน คุณไม่ต้องไปสนใจหรอกว่ามันจะอยู่ได้กี่ปี มันแข็งแรงเท่าไหนก็อยู่ได้นานเท่านั้น งานศิลปะก็มีอายุ มันจะพิสูจน์ตัวมันเอง ถ้าพูดให้ภูมิใจหน่อย ผมก็มีอัลบั้มเพลงเป็นอนุสาวรีย์ของชีวิตแล้ว ผมสร้างไว้แล้ว ถ้าแน่จริงมันก็ต้องอยู่รับใช้ผู้คนไปได้อีกนาน ถ้าไม่มีประโยชน์มันก็เสื่อมสลาย

AUTHOR

PHOTOGRAPHER

ชนพัฒน์ เศรษฐโสรัถ

ช่างภาพนิตยสาร a day ที่เพิ่งมีพ็อกเก็ตบุ๊กเล่มใหม่ชื่อ view • finder ออกไปเจอบอลติก ซื้อสิ ไปซื้อ เฮ่!