อัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา ผู้เป็นที่รักของแฟนบอลเลสเตอร์ ซิตี้ ก่อนคว้าแชมป์ประวัติศาสตร์

หมายเหตุ : บทสัมภาษณ์นี้เผยแพร่ครั้งแรกในคอลัมน์ q & a day นิตยสาร a day ฉบับที่ 188 เดือนเมษายน 2559 อัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา

วันที่เรานัดสัมภาษณ์อัยยวัฒน์ เป็นช่วงเวลาที่สโมสรเลสเตอร์ ซิตี้ กำลังนำเป็นจ่าฝูง พรีเมียร์ลีก อังกฤษ โดยมีคะแนนทิ้งห่างอันดับ 2 อยู่ 5 คะแนน หลังจากผ่านการแข่งขันมาแล้ว 31 นัด

สำหรับคนที่ยังไม่รู้ว่าสโมสรพรีเมียร์ลีกอังกฤษ ที่มีเจ้าของเป็นคนไทย ซึ่งมีฉายาว่า ‘จิ้งจอกสยาม’ ได้ผ่านอะไรมาบ้างในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา

เดือนสิงหาคมปี 2010 สื่อมวลชนไทยพร้อมใจกันนำเสนอข่าว วิชัย ศรีวัฒนประภา นักลงทุนชาวไทยเจ้าของอาณาจักรสินค้าปลอดภาษีอย่างคิง เพาเวอร์ เข้าเทคโอเวอร์สโมสรเลสเตอร์ ซิตี้ ซึ่งขณะนั้นเป็นทีมที่อยู่ในลีกล่างอย่างแชมเปี้ยนชิพ ไม่ใช่ทีมในลีกสูงสุดอย่างทุกวันนี้

นั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ทุกสายตาจับจ้องมาที่เด็กหนุ่มวัยเพียง 30 ที่ชื่อ ต๊อบ–อัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา ซึ่งได้รับมอบหมายจากผู้เป็นพ่อ ให้นั่งแท่นรองประธานสโมสรและเป็นผู้บริหารหลัก

ในปี 2013-2014 ทีมเลสเตอร์ ซิตี้ ภายใต้การบริหารของอัยยวัฒน์คว้าแชมป์ลีกแชมเปี้ยนชิพได้สำเร็จด้วย 102 คะแนน คว้าสิทธิเลื่อนชั้นสู่พรีเมียร์ลีกในฤดูกาล 2014-2015 และฤดูกาลแรกบนลีกสูงสุดภายใต้เจ้าของชาวไทย พวกเขาต้องอยู่ในโซนตกชั้นยาวนาน ก่อนจะกัดฟันสู้จนจบฤดูกาลด้วยอันดับ 14 รอดตกชั้นสำเร็จ

ก่อนเปิดฤดูกาล 2015-2016 เลสเตอร์ ซิตี้ คือหนึ่งในทีมเต็งที่จะตกชั้น ในตอนนั้นอัตราต่อรองการเป็นแชมป์ของเลสเตอร์อยู่ที่ แทง 1 จ่าย 5,000 ซึ่งทั้งอังกฤษมีคนแทงว่าเลสตอร์ ซิตี้ จะเป็นแชมป์เพียง 47 คน

และอย่างที่ว่าไว้ วันที่เรานัดพบกับรองประธานสโมสรเลสเตอร์ ซิตี้นั้น เลสเตอร์ ซิตี้กำลังนำเป็นจ่าฝูงพรีเมียร์ลีกอังกฤษ โดยมีคะแนนทิ้งห่างอันดับสองอยู่ถึง 5 คะแนน หลังจากผ่านการแข่งขันมาแล้ว 31 นัด เหลืออีกเพียง 7 นัดจะจบฤดูกาล

แม้โอกาสในการคว้าแชมป์จะอยู่ใกล้แค่เอื้อม แต่ก็ไม่มีประโยคคุยโวจากปากของอัยยวัฒน์แต่อย่างใด ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะเขารู้ว่าสัจธรรมของโลกฟุตบอลคือ อะไรก็เกิดขึ้นได้

อย่างเช่นวันนี้ที่ฝูงจิ้งจอกขึ้นมายืนอยู่เหนือยักษ์ใหญ่ทั้งหลายบนเกาะอังกฤษก็เข้าข่ายสัจธรรมข้อนั้น

อัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา

ถ้ามีใครสักคนมาบอกว่าจะไปแทงพนันว่าเลสเตอร์จะเป็นแชมป์ ก่อนที่พรีเมียร์ลีกจะเปิดฤดูกาล คุณจะแนะนำเขาว่าอะไร

เอาเงินไปบริจาคดีกว่า (หัวเราะ)

คุณไม่เชื่อเหรอ

มันไม่อยู่บนพื้นฐานความเป็นจริง เราเพิ่งหนีตกชั้นมา แล้วจะบอกว่าอีกปีหนึ่งจะเอาแชมป์ ตอนนั้นเราเองก็ไม่เชื่อ จริงๆ ตอนที่ขึ้นชั้นพรีเมียร์ลีกวันแรกพ่อผมบอกว่าอีก 3 ปีจะไปเล่นแชมเปี้ยนส์ลีก ติดอันดับ 1 ใน 4 ให้ได้ ฝรั่งขำกันทั้งบางเลย ผมก็บอกว่าอย่าเพิ่งไปสัญญา คือผมเชื่อนะ แต่ผมไม่คิดว่ามันจะเร็วขนาดนี้

ย้อนกลับไปวันแรก ทำไมถึงเลือกซื้อสโมสรเลสเตอร์ ซึ่ง ณ เวลานั้นไม่ได้อยู่ในลีกสูงสุด แทนที่จะเป็นทีมใหญ่ๆ ที่มีโอกาสประสบความสำเร็จสูงกว่า

พ่อผมกับผมเป็นคนมองคล้ายๆ กัน ทำอะไรต้องท้าทายตัวเอง สองคือเราคิดว่าถ้าจะทำธุรกิจต้องมีวิธีหากำไรในการลงทุน ถ้าเกิดเราทำทีมในพรีเมียร์ลีก ค่าใช้จ่ายมันสูงกว่าทีมจากแชมเปี้ยนชิพมหาศาล แล้วเมื่อไหร่มันจะรีเทิร์นผมมองไม่ออก ผมมองว่าถ้าสร้างทีมจากแชมเปี้ยนชิพขึ้นพรีเมียร์ลีก แล้วค่อยๆ สร้างทุกอย่างขึ้นมา กำไรจะมหาศาล ซึ่งก็ต้องมีวิธีลงทุนด้วย ไม่ใช่แค่ความรักอย่างเดียว

คุณคิดว่าการลงทุนกับทีมฟุตบอลต่างจากการลงทุนในธุรกิจอื่นยังไงบ้าง

ฟุตบอลเป็นธุรกิจที่ผันแปรตามกระแสเยอะ วันนี้ถ้าเลสเตอร์ไม่เป็นที่หนึ่งก็คงไม่มีคนมาสนใจขนาดนี้ เพราะฉะนั้นผลการแข่งขันสำคัญมาก ถ้าเกิดเทียบกับธุรกิจอื่นยอดขายสูงใครจะไปสนใจ เพราะว่าเป้าหมายของธุรกิจทั่วไปก็คือยอดขายอยู่แล้ว เป้าหมายของฟุตบอลคือชัยชนะ มันต่างกัน เพราะฉะนั้นฟุตบอลชนะมีแต่คนสนใจ ทุกอย่างมันวิ่งเข้ามาหมด ไม่ใช่แค่มูลค่าพื้นที่สื่อ ไม่ใช่แค่เงิน แต่มันเป็นเรื่องที่ทั้งโลกให้ความสนใจ นัดที่ชนะแมนยูฯ 5-3 ผมได้ข้อความจากเพื่อนทั้งโลกที่รู้จักกัน ประหลาดไหม คุณพ่อนี่ยิ่งไม่ต้องพูด ระเบิดเลยโทรศัพท์มือถือ ไม่มีธุรกิจไหนที่ใช้เวลาแค่ 90 นาที แล้วทำให้คนทั้งโลกสะเทือนได้เท่าวันที่แข่งกับแมนยูฯ แล้ว ผมยังคิดไม่ออกเลยว่าจะใช้เงินกี่ล้านถึงจะทำได้อย่างนั้น จะทำมาร์เก็ตติ้งอะไรได้แรงขนาดนี้ ไม่มี

ทำไมคุณถึงเคยให้สัมภาษณ์ว่าธุรกิจฟุตบอลมันไม่เป็นตรรกะ

กีฬาฟุตบอลใครก็ชนะได้ อะไรก็เกิดขึ้นได้ คุณจะทำดีแค่ไหนมันก็ขึ้นอยู่กับ 11 คนนั้นกับ 11 คนอีกทีมหนึ่งสู้กัน คุณจะใส่เงินเข้าไปให้ทีมดีแค่ไหนให้ตายเถอะ แต่ถ้าเกิดนักฟุตบอลทะเลาะกับแฟนมาล่ะ แล้วคุณรู้เหรอ คุณไม่รู้หรอก เขามีปัญหาที่บ้านเราก็ไม่รู้ เขากินอะไรผิดมาปวดท้องก็ไม่บอกเรา รายละเอียดมันเยอะ สมมติเราใส่เงินทุ่มไป ซื้อตัวแพง ทุกอย่างดีหมด 11 ตัวผู้เล่นดีมาก แต่ถ้าในทีมไม่ถูกกันเลย ก็เจ๊ง ก็เล่นไม่ได้ เพราะฉะนั้นมันไม่เป็นตรรกะในเรื่องการลงทุนของเจ้าของกับผลการแข่งขัน  ซึ่งไม่เหมือนธุรกิจทั่วไป อย่างเช่นสมมติยอดขายคิง เพาเวอร์ตก ผมใส่เงินไปเพิ่มตรงนั้นตรงนี้ เพิ่มงบมาร์เก็ตติ้ง เดี๋ยวยอดขายมันก็เพิ่ม เห็นผลแน่นอน แต่ฟุตบอลถ้าแพ้ คุณใส่เงินเข้าไปอีก อาจจะแพ้หนักกว่าเดิมก็ได้ นี่ไง มันไม่เป็นตรรกะ แต่ฟุตบอลมันแฟร์ตรงที่มันเกิดขึ้นได้ทุกอย่าง

คุณเคยเล่าว่าเข้าไปช่วงแรกๆ มีแฟนบอลต่อต้าน ทำไมแฟนบอลที่อังกฤษส่วนใหญ่ถึงต่อต้านเวลามีนักลงทุนเข้ามาเทคโอเวอร์สโมสร

เขาต่อต้านเพราะเขากลัว คนอังกฤษมองว่าการที่เขาซื้อตั๋วฟุตบอลมาดู เขาลงทุนให้สโมสร เขาเป็นเจ้าของ เหมือนการลงทุนซื้อหุ้น เขามองว่านี่คือสโมสรเขา เขาซื้อมาตั้งแต่รุ่นปู่เขา แล้วคุณเป็นใครมาเอาความเป็นเจ้าของของเขาไป สโมสรเคยเดือดร้อนแค่ไหน พวกเขานี่แหละที่คอยสนับสนุน เขาให้เงินบริจาค ดึงให้สโมสรไม่ล้มละลายตั้งแต่รุ่นพ่อรุ่นปู่ มันมีประวัติ มันเลยเข้มข้นมาก ผมว่าฤดูกาลแรกเป็นฤดูกาลที่ถือว่าปรับทั้งแฟนบอลทั้งเรา ผมยังจำได้เลยว่าวันที่แถลงข่าวกับสื่อมวลชนที่เลสเตอร์วันแรก นักข่าวฝรั่งถามผมว่า คุณจะเข้ามาโกยเงินจากสโมสรใช่ไหม

แล้วตอบเขาไปว่ายังไง

ก็ตอบไปว่า ผมทำทีมโปโล ซึ่งเป็นกีฬาเหมือนกัน ผมจ่ายให้กับโปโลรวมทั้งหมดเลย ทั้งค่าสนาม ค่าม้า ค่าอะไรต่างๆ ปีละ 15 ล้านปอนด์ แล้วไม่เคยได้รีเทิร์นเลยแม้แต่บาทเดียว ทำมาสิบปีแล้ว คุณว่ากีฬากับผมมันเป็นยังไง ถ้าผมรักจริงผมทำเต็มที่ ไม่ได้มองรีเทิร์นเลย แล้วเขาก็ไปเช็ก ซึ่งมันก็เป็นจริงตามนั้น เราจ่ายกับโปโลอย่างนั้นจริงๆ โดยที่ไม่ได้อะไรเลย แล้วนี่เป็นกีฬาฟุตบอลที่เรารัก เราก็บอกไปว่าการรีเทิร์นมันรีเทิร์นกับแฟนบอลมากกว่า ถ้าจะได้ก็ได้พร้อมกัน นั่นคือการได้ขึ้นชั้นพรีเมียร์ลี

อัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา

คุณเข้าไปเปลี่ยนอะไรที่เลสเตอร์บ้าง

บังเอิญผมเคยเล่นบอลทีมโรงเรียน ผมเคยซ้อมบอลแล้วรู้ว่าอะไรที่สำคัญ เลยรู้ว่าอะไรที่ต้องทำก่อนในด้านฟุตบอล สนามต้องดี อุปกรณ์ต้องดี เรื่องวิทยาศาสตร์การกีฬาต้องดี ผมใส่มาตั้งแต่วันแรกที่ซื้อทีม ตอนเข้าไปเราเห็นว่าลูกฟุตบอลตกบนสนามอินดอร์แทบไม่เด้ง เราถามว่าแล้วคุณซ้อมกันยังไง เขาบอกก็ซ้อมกันอย่างนี้ อยู่ไปวันๆ เราบอกว่ามันไม่ใช่แล้วมั้ง แล้วมันส่งผลถึงนักกีฬา ที่จริงผมควรจะต้องเอาเงินบางส่วนไปซื้อนักกีฬา แต่ผมตัดเงินซื้อนักกีฬาไปทำสนาม คุณพ่อก็บอกว่าบ้าหรือเปล่า สตาฟทุกคนบอกว่า คุณผิดนะ ผมบอกว่าไม่ผิดหรอก ปีแรกมันอาจจะยังไม่เห็นผล แต่เชื่อสิว่าเดี๋ยวจะดี

แล้วคุณคิดอะไรตอนที่อนุมัติซื้อตัว Jamie Vardy นักเตะที่แทบไม่มีใครรู้จักเมื่อปี 2012 ด้วยค่าตัวที่เป็นสถิติการซื้อ-ขายนักเตะจากนอกลีก

ตอนนั้นผมก็ค้านอยู่ช่วงหนึ่งนะ ผมถาม Nigel Pearson ผู้จัดการทีม และ Steve Walsh ที่เป็นแมวมองอยู่สักสัปดาห์หนึ่ง เอาข้อมูลมานั่งอ่าน มันก็โอเค แต่ว่ามันเสี่ยง แล้วผมจะตอบสังคม ตอบแฟนบอลยังไง ว่าทำไมซื้อนักเตะนอกลีกตั้ง 1 ล้านปอนด์ ผมต้องเป็นเจ้าของทีมที่โง่ที่สุดในโลกแน่ๆ คิดอย่างนั้นเลย ผมก็เลยถามทั้งสองคนว่า ถ้าผมมีงบให้ 1 ล้านเพื่อไปซื้อนักเตะฤดูกาลหน้า คุณจะซื้อใคร เขาบอกว่าซื้อวาร์ดี้ ผมเลยบอกว่าถ้าอย่างนั้นซื้อเลย ตอนนั้นแฟนบอลด่ากันลั่นประเทศเลย มีโทรมาด่าว่าบ้าหรือเปล่า ทำไมถึงซื้อนักเตะนอกลีกแพงขนาดนี้

ตอนนั้นคิดไหมว่าวาร์ดี้จะมาถึงทุกวันนี้ที่ขึ้นนำตารางดาวซัลโวพรีเมียร์ลีก   

ถ้าเป็นวาร์ดี้ตอนนั้น ผมว่าเขายังเล่นพรีเมียร์ลีกไม่ได้ วันที่ซื้อมาเขาเดินมาบอกว่าขอบคุณมากนะที่ทำให้ชีวิตเขาเปลี่ยน แล้ววาร์ดี้ไม่เคยได้เงินขนาดนี้ มาถึงก็รู้สึกว่าเท่แล้ว จากลีกล่างสุดขึ้นมาอยู่แชมเปี้ยนชิพ ก็เมาทุกวัน จนเราก็ไม่รู้จะทำยังไง ผมไม่รู้เรื่องหรอกนะ แต่มีคนบอกว่าเขาเมามาซ้อมเลย เราก็เลยเดินไปบอกว่า คุณอยากจะจบชีวิตนักเตะแบบนี้ใช่มั้ย คุณจะเอาแบบนี้ จะอยู่แบบนี้ใช่มั้ย เราก็จะปล่อยสัญญาจนจบแล้วคุณก็ไปจากทีมนะ อย่าคิดว่าจะได้โตไปกว่านี้

เขาก็บอกว่าเขาไม่รู้จะทำตัวยังไง เพราะไม่เคยได้เงินขนาดนี้ ผมก็ถามว่าแล้วคุณฝันอะไร คุณอยากจะให้ชีวิตเป็นยังไง คุณคิดให้ดีว่าจะเอายังไงกับทีม ผมลงทุนกับคุณ คุณต้องทำอะไรคืนหรือเปล่า หลังจากนั้นเขาก็เลิกกินเหล้าเลย ตั้งใจซ้อม ร่างกายวาร์ดี้แต่ก่อนไม่ได้ดีขนาดนี้ เรารู้ว่าเขาสปีดต้นดี แต่ไม่คิดว่าจะดีขนาดนี้ เขาเริ่มปรับตัว เข้าฟิตเนส ทำตัวใหม่หมดเลย แล้วมันก็ดีขึ้น

พอต่อสัญญาใหม่ของวาร์ดี้ วันที่ขึ้นชั้นมาพรีเมียร์ลีก จำได้ว่าเขาเดินมาแบบซึ้งๆ เลยนะ มาบอกผมว่าเขาไม่มีทางลืมสิ่งที่ผมลงทุนกับเขาเลย แล้วก็ขอบคุณมากที่ให้โอกาสกับชีวิตเขา เขาจะทำทุกอย่างให้ทีมประสบความสำเร็จ และจะทำทุกทางให้ติดทีมชาติอังกฤษ ผมก็มองหน้าเขา อะไร ติดทีมชาติอังกฤษ เพ้อเจ้อหรือเปล่า เขาก็บอกว่าให้คอยดู วันหนึ่งเขาจะเล่นให้ทีมชาติอังกฤษ ผมก็บอกโอเค

แล้วตอนที่วาร์ดี้ติดทีมชาติอังกฤษจริงๆ ได้แซวอะไรกันหรือเปล่า

ตอนที่ต่อสัญญาเขาโทรมาหาผมที่สโมสรเลย เขาบอกว่าให้เขียนลงไปด้วย ถ้าติดทีมชาติให้โบนัสเขาด้วยเท่านี้ๆ ผมบอกว่าคุณบ้ารึเปล่าวาร์ดี้ คุณไม่ติดหรอก เขาก็บอกว่างั้นเขียนลงไปได้มั้ยล่ะ แล้วจะทำให้เห็น ผมก็เลยบอกว่าต้องเล่นก่อนนาทีที่ 75 นะ คือกลัวติดแบบเป็นติ่ง แบบกองหน้าเจ็บหมดแล้วโดนเรียกเข้าไป ก็โอเคเซ็น จบ แล้ววันแรกที่วาร์ดี้ติดทีมชาติผมก็ลืมไปแล้วด้วย ผมก็ไม่ได้ดูเวลา ไม่ได้สนใจหรอกนะ รู้ว่าติดทีมชาติก็ดีใจกับเขา อีกวันหนึ่งเขาโทรมาที่สโมสร ส่งรูปมาทางอีเมล นาทีที่เขาลงนาทีที่ 74.30 โอเค ผมจ่าย เรื่องนี้ตลก เขาก็บอกว่านี่ไง เขาทำได้แล้ว

ผมมองว่าเขาเป็นแรงบันดาลใจของเด็ก ของนักฟุตบอล ของทุกคนที่เล่นกีฬาเลยนะ มันเป็นเรื่องที่ฟันฝ่าชีวิตมา เป็นเรื่องของการพยายาม ถ้าจะทำจริงๆ ถ้าตั้งใจเราทำได้ ทุกอย่างเหลือเชื่อมาก แล้วเราดีใจกับเขา เราเห็นมาตั้งแต่แบบอะไรก็ไม่รู้ จนถึงวันนี้ก็ดีใจนะที่เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยเขามา

ปกติคุณวางตัวกับนักเตะยังไง เป็นเจ้านายกับลูกน้อง หรือเป็นเพื่อนเล่นหัวได้

เป็นเพื่อนได้ เล่นกันตลอด

อะไรทำให้เลือกวางตัวแบบนี้ทั้งที่เป็นถึงผู้บริหาร

เพราะพ่อผมวางตัวเป็นบอสอยู่แล้ว ผมก็จะเป็นประเภทแบบ เอายังไงบอกนะ คือมันต้องมีคนที่เขาพูดได้ทุกเรื่อง กับบอสที่บางเรื่องจะไม่กล้าพูด เรื่องดีเทลเล็กๆ กับผมเขากล้าพูด เช่น นักเตะจะไปทริปด้วยกัน จะขอเช่าเครื่องบินส่วนตัวของบอส เขาถามผมว่าคุณว่าคุยกับบอส บอสจะให้ไหม ด้วยความที่เราสนิทมากเขาก็มาปรึกษาเราว่าเอายังไงดี เราก็บอกชนะสัก 3 เกมติดสิเดี๋ยวขอให้ ตอนแข่งเขาสู้ตายเลย

อยากรู้ว่านัดไหนในฤดูกาลที่คุณเริ่มรู้สึกว่าเลสเตอร์จะเป็นแชมป์

ยังไม่มีเลย ต้องเหลือสัก 3 นัด นำสัก 9 แต้ม ถึงจะรู้สึกว่าแชมป์แน่ เพราะไม่มีอะไรแน่นอนหรอกฟุตบอล อะไรก็เกิดขึ้นได้หมด ผมว่ามันต้องดูเกมต่อเกม ค่อยๆ ไปดีกว่า ถ้าจะเป็นมันก็เป็น ถ้าไม่เป็นก็ไม่เป็น แค่นั้น แต่เป้าหมายเราตอนแรกคือการอยู่รอดในพรีเมียร์ลีกเราทำได้แล้ว ที่เหลือคือโบนัส จะได้โบนัสใหญ่มาก ใหญ่ หรือเล็กลงมา เท่านั้นเอง

ดูจากข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์ เห็นคุณนิมนต์พระไปทำพิธีที่สนาม มันเกี่ยวกับเรื่องสภาพจิตใจในช่วงลุ้นแชมป์ไหม

เราทำบุญสนามเหมือนทำบุญบ้าน ไม่ใช่ว่าเพิ่งนิมนต์ไปตอนพรีเมียร์ลีกนะ แต่นิมนต์ไปตั้งนานแล้ว ด้วยความที่เราเป็นพุทธ พอดีบริเวณทางเข้าสนามของเลสเตอร์ผมไปเจอจุดหนึ่งมีป้ายชื่อ มีดอกไม้วาง เราเข้าใจว่าคนคงตายแล้วเอามาวางไว้เฉยๆ ระลึกถึงตอนดูบอลด้วยกัน ถามคนที่ดูแล เขาบอกว่าคือแฟนบอลที่รักทีมมากๆ เมื่อตายเขาก็ฝากแฟนบอลที่เหลือ เอากระดูกมาโรยที่สนามเพราะอยากอยู่ เราเลยบอกคุณพ่อ เรามีความเชื่อแบบพุทธ คุณพ่อก็บอกทำบุญให้เขาหน่อยเถอะ ร้อยกว่าปีคงไม่เคยมีใครทำบุญให้วิญญาณเจ้าที่เจ้าทาง ยิ่งไปกว่านั้นอีกคือเราเอาทุกศาสนามาทำพิธี เพราะผมไม่รู้ว่าคนตายไปศาสนาอะไร ก็เอาบาทหลวงมา เอาอิหม่ามมา เพราะเรารู้สึกว่าเขารักทีม แล้วเราจะได้สบายใจ หลังจากนั้นมันก็ดีขึ้น มันอาจไม่ได้ดีเพราะพวกนี้หรอก แต่เราสบายใจ ก็ทำ หลายคนก็เลยมองว่าเล่นของ

นักฟุตบอลเข้าใจเรื่องการนิมนต์พระไปที่สนามใช่ไหม

นักเตะทุกคนเป็นเด็กสมัยใหม่ วัยรุ่น เขาไม่ได้นับถือศาสนาเป็นเรื่องใหญ่แล้ว พอมีพระมา เขาเคยไปเที่ยวเมืองไทย เขาเห็นว่าคนไทยนับถือกันแค่ไหน เขารู้ว่าเราเคารพอะไร เขาก็โอเค มี holy water มีน้ำมนต์ เอาเลย ถ้ามันดีมันก็ไม่ได้เป็นอะไร รับๆ มาเลย แล้วบังเอิญหลังจากนั้นดันชนะ พวกเขาเลยมองว่าเพราะพระแน่ (หัวเราะ) คือคนจะพูดกันว่าเพราะพระเลยชนะ แต่ไม่ถูกหรอก แค่มันเป็นกำลังใจอีกแบบหนึ่งของเรา

เห็นว่ามีนักเตะสักยันต์ด้วย

เขาสักของเขาเอง วันแรกที่ซื้อสโมสรพอผมเดินเข้ามาก็ไม่รู้จักเลยนะนักเตะคนนี้ เขาเดินเข้ามาแล้วบอกว่าเขาสักแบบไทย เราก็บอกว่าขอดูหน่อย โห เสือเผ่นนี่หว่า ถามว่าสักที่ไหน เขาบอกว่าสักที่อิตาลี แล้วเขาชอบมาก เราเลยเปิดรูปคนไทยที่สักแล้วของขึ้นตอนทำพิธีพระสวดให้เขาดู เล่าให้เขาฟัง เขาก็ถามว่าจริงเหรอ งั้นเอาพระมาสวดหน่อย (หัวเราะ)

อัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา

ตั้งแต่บริหารทีมมาวันแรกจนวันนี้ มันยิ่งตอกย้ำความเชื่ออะไรเรา

จริงๆ ตอกย้ำเรื่องที่ว่า ถ้าทำสิ่งที่ถูกแล้วสุดท้ายผลมันจะออก นั่นคือผมทำรากฐานดี ผมวางระบบทีมเยาวชนดี สิ่งอำนวยความสะดวกดี ผมวางระบบดี นั่นคือสิ่งที่ต้องทำ แต่บางคนมองข้าม แล้วถ้าไม่ทำตอนนั้น ตอนนี้ก็คงไม่ทัน เลสเตอร์จะกลายเป็นทีมพรีเมียร์ลีกที่ไม่พร้อม จะเป็นทีมแบบกลางๆ เล็กๆ ไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไร มันตอกย้ำให้เห็นว่าสิ่งที่เราลงทุนลงแรง พยายาม ไม่ว่าจะอะไร มันไม่ได้เสียอะไรไปเลย ทุกอย่างคืนมาจนรับไม่ไหวแล้ว

แล้วมีความเชื่ออะไรเปลี่ยนไปบ้าง

ผมมองฟุตบอลเปลี่ยนไปเยอะ ผมมองชีวิตเปลี่ยนไปเยอะ ฟุตบอลมันสอนเราจริงๆ แต่ก่อนแมตช์แรกๆ ยิงเข้านี่ดีใจเหมือนคนบ้า สมมติคุณเป็นกองเชียร์แมนยูฯ นะ แมนยูฯ ยิงเข้าคุณก็กระโดดดีใจ อีกวันนึงก็แฮปปี้ คุยกับเพื่อน ข่มกันได้ เป็นเจ้าของนี่คูณความรู้สึกไปสักร้อยเท่า แต่ตอนแพ้ก็คูณร้อยเท่าเหมือนกัน ฉะนั้นอารมณ์มันสวิงมาก แต่วันนี้ผมไม่รู้สึกถึงขั้นนั้นแล้ว ผมนิ่งกับฟุตบอลไปเยอะ ถ้ายิงสวยก็บ้าบอเหมือนเดิม แต่มันก็จะกลับมารู้สึกว่าอีกตั้ง 70 นาที 60 นาที ถามว่าดีใจไหม ดีใจ แต่ต้องรอจนจบ หรือพอจบแมตช์ เราก็รู้สึกว่ามันก็ยังเหลืออีกตั้ง 30 แมตช์ ถ้าจะฉลองอย่าเพิ่งเลย ถ้าเกิดชนะก็มองว่าจะเอายังไงต่อ ถ้าแพ้ก็คิดว่าแมตช์หน้าเอาใหม่ มันทำให้มีกำลังใจถ้าเฟล ซึ่งดีกับผม

ทุกวันนี้เวลาคุณเดินไปบนถนนที่เลสเตอร์บรรยากาศเปลี่ยนไปจากวันแรกไหม ผู้คนรุมล้อมหรือเปล่า

เวลาคนทำอะไรประสบความสำเร็จ คนอังกฤษเขาเคารพแล้วมองเราเป็นพลเมืองชั้นหนึ่ง เขาเห็นว่าเราช่วยให้เมืองเขาดีขึ้น เขายกย่อง เห็นเราเหมือนคนที่ทำให้บ้านเมืองเขาดีขึ้น ส.ส.เขาก็มาดูทุกแมตช์ แล้วบอกว่าผมอย่าลงแข่งกับเขานะ เดี๋ยวผมชนะ เขากลัว (หัวเราะ) เขายอมรับว่าเราทำจริง เขาบอกว่าเขาไม่เคยคิดว่าจะมีคนต่างชาติที่เข้ามาทำให้คนเลสเตอร์รักได้ขนาดนี้ และอย่าว่าแต่คนที่เป็นเจ้าของเลย คนไทยได้ผลประโยชน์หมด เด็กนักเรียนไทยที่นี่กลายเป็นคนอีกชั้นไปเลย ยูเป็นคนไทย ยูมาเลย เขาดูแลอีกแบบเลย

ยกตัวอย่างให้ฟัง ผมเลี้ยงตอนจบซีซั่น ให้นักกีฬาและแฟนบอลเข้ามากินเลี้ยงกัน มีคนแก่คนหนึ่ง อายุเกิน 85 แน่ๆ แก่มาก เดินมาหาผม บอกว่าเขาเป็นแฟนเลสเตอร์ตั้งแต่ 7 ขวบ เขาเห็นการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ไม่มีอะไรเลยจนถึงวันนี้ และนี่เป็นโมเมนต์ที่เขามีความสุขมากที่สุดในชีวิต ขอบคุณมากนะในสิ่งที่ทำ เขาพูดแล้วน้ำตาก็ไหล เขารักของเขาจริง เขาเห็นเราทำจริง เขาก็ชื่นชม ตื้นตัน เขาก็เอาของมาให้ เอาการ์ดมาให้ คือเราเหมือนเป็นฮีโร่ไปเลย

อัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา

เหมือนทุกอย่างเปลี่ยนไป จากวันแรกที่มีคำถามว่าจะเข้ามาสโมสรเพื่อกอบโกยหรือเปล่า

มันหมดไปนานมากแล้ว คำถามพวกนี้

อัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา

AUTHOR

PHOTOGRAPHER