บอกตามตรงว่าในชีวิตนี้เราไม่เคยสัมภาษณ์รองเท้ามาก่อน
ยิ่งเป็นรองเท้าที่ดูเพียงภายนอกก็รู้ว่าโชกโชนประสบการณ์อย่างรองเท้าของ ‘Can Do’ หรือ ยุ้ย–ปิยะธิดา มานะสถิตพงศ์ ด้วยแล้ว ยิ่งทำให้การสัมภาษณ์ครั้งแรกนี้น่าตื่นเต้นเข้าไปใหญ่ เพราะเธอคือนักเขียนหน้าใหม่แห่งสำนักพิมพ์ a book ผู้ออกหนังสือ THE APPALACHIAN TRAIL ใจก้าวเท้าเดิน ว่าด้วยบันทึกเดินเท้าของผู้หญิงไทยคนแรกที่พิชิต Appalachian Trail
ตั้งสติและหายใจเข้าลึกๆ ใจของเรากำลังก้าวไปพร้อมๆ กับเท้าที่เดินมุ่งหน้าไปหาคุณรองเท้า
อยากรู้เต็มทีว่าประสบการณ์การเดินทางของคุณรองเท้าที่ต้องบุกน้ำ ลุยป่าไปพร้อมๆ กับเจ้าของกว่า 6 เดือน ข้ามผ่าน 14 รัฐของสหรัฐอเมริกา เริ่มจากทางใต้ที่ภูเขาสปริงเกอร์ รัฐจอร์เจีย ไปสิ้นสุดทางเหนือที่เทือกเขาคาทาห์ดิน รัฐเมน ระยะทางโดยประมาณ 3,500 กิโลเมตรนั้นจะเป็นอย่างไร
ถ้าพร้อมแล้วก็นั่งลง แล้วล้อมวงฟังไปด้วยกันเลย
แนะนำตัวและเล่าให้เราฟังหน่อยสิว่าคุณรู้จักและมาร่วมเดินเส้นทาง Appalachian trail กับคุณเจ้าของได้อย่างไร
สวัสดี ฉันเป็นรองเท้าเดินป่าของผู้หญิงไทยคนแรกที่พิชิต Appalachain Trail หนึ่งในเส้นทางเดินป่าที่ยาวที่สุดในโลกจ้ะ
เรามาเจอกันได้เพราะ Back Scratcher (ชื่อของคนรักของ Can Do ในวงการ Thru-Hiker หรือวงการนักเดินเท้าระยะไกล) เล่าให้คุณเจ้าของฟังว่าเขาอยากไปเดินบนเส้นทางนั้น พูดก็พูดเถอะนะ ฉันคิดว่าตอนนั้นคุณเจ้าของคงยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคำว่า Trail หมายถึงอะไร (หัวเราะ) ด้วยประสบการณ์เลเวลศูนย์ คุณเจ้าของจึงเริ่มค้นคว้าทางอินเทอร์เน็ต ดูรีวิวของ Thru-Hiker คนอื่นๆ จากยูทูบ และพบว่าการเดินป่าครั้งนี้มีรองเท้าเดินป่าแค่คู่เดียวไม่พอแน่ๆ ฉันถึงได้มาอยู่กับคุณเจ้าของพร้อมกับพี่ๆ รองเท้าคู่อื่นๆ อีกสองคู่
ไม่อยากจะโม้หรอกนะ แต่ขออวดนิดหนึ่งก็แล้วกันว่าในบรรดารองเท้าสามคู่น่ะ คุณเจ้าของชอบฉันมากที่สุดเลย คงเป็นเพราะสีน้ำตาลสะดุดตาที่มองแล้วชวนให้นึกถึงพื้นดินที่ปกคลุมไปด้วยใบไม้แห้ง แถมยังให้ความรู้สึกอบอุ่นของฉันล่ะมั้ง คุณเจ้าของจึงตั้งใจจะใส่ฉันเป็นคู่สุดท้ายเพื่อไปพิชิตภูเขาคาทาห์ดินด้วยกัน นี่คงเป็นหนึ่งเหตุผลที่ทำให้ฉันอยู่รอดกลับมาใช้ชีวิตประจำวันกับคุณเจ้าของได้จนถึงทุกวันนี้ ไม่ตายในหน้าที่เหมือนพี่ๆ คู่อื่นๆ
พอจะรู้บ้างไหมว่าคุณเจ้าของคิดอะไรอยู่ ทำไมเธอถึงตัดสินใจเลือกไปเดินป่าที่ Appalachian Trail เส้นทางที่ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในสามเส้นทางเดินเท้าที่ยาวที่สุดในโลก
มันเป็นแค่ความคิดชั่ววูบน่ะ เธอมีความรู้สึกว่าการเดินทางครั้งนี้จะเปลี่ยนแปลงชีวิตไปอย่างสิ้นเชิง อีกอย่างตอนนั้นเธอเพิ่งดูภาพยนตร์เรื่อง Wild จบ และพบว่าการที่นางเอกในเรื่องออกมาเดินป่าเพื่อปลดเปลื้องอดีตที่ทำให้ชีวิตของเธอไม่ไปไหนสักที มันช่างเหมือนกับชีวิตของคุณเจ้าของในตอนนั้นไม่มีมีผิด เธอจึงตัดสินใจไขว่คว้าโอกาสนี้ ออกเดินทางบ้างอย่างไม่ลังเล
คุณต้องแบกน้ำหนักเจ้าของรวมกับของที่เธอแบกอีกกว่า 15 กิโลกรัม ตลอดการเดินวันละ 10 ชั่วโมงเลยนะ แค่ฟังยังรู้สึกทรหดเลย ทำไมคุณถึงไม่ถอดใจ
ต้องยอมรับว่าเรื่องใจสำคัญมาก ถ้าใจมันไม่ไป ต่อให้บังคับร่างกายแค่ไหน มากสุดก็คงขยับไปได้ไม่กี่ก้าว ยังไงซะก็ต้องหยุดเดิน แต่เพราะว่าฉันและคุณเจ้าของมีใจเป็นจุดเริ่มต้น การเดินทางมันถึงไปต่อได้
แน่นอนว่าระหว่างทางมีอุปสรรคมาให้ฝ่าฟันเรื่อยๆ ไม่ใช่แค่น้ำหนักของสัมภาระที่ฉันต้องแบก แต่ทั้งหิน รากไม้ โคลน ความชัน ไปจนถึงสภาพอากาศที่หนาวเหน็บ ไหนจะหิมะตกแบบที่คนบ้านนอกอย่างคุณเจ้าของไม่เคยเจอ ฝนที่ทำให้เหนอะหนะ เปรอะเปื้อน มันคือความทรมานทั้งนั้น แต่แย่ที่สุดคือการที่ฉันต้องใกล้ชิดกับเจ้าถุงเท้าเปียกๆ ในตอนเช้านี่ล่ะ เป็นสิ่งที่ไม่เคยทำใจได้สักที แต่อุปสรรคที่ว่ามาก็ไม่ได้เกิดขึ้นทุกวันหรอกนะ วันดีๆ ก็มีอยู่เยอะเช่นกัน
เล่าให้ฟังหน่อยว่าเรื่องสนุกๆ ระหว่างทางมีอะไรบ้าง
จริงๆ มีเยอะมากเลยล่ะ แต่ฉันอยากเมาท์คุณเจ้าของในเรื่องนี้สักหน่อย คือหลายๆ ครั้งที่คุณเจ้าของและคนรักนอนพักในเต็นท์หลังจากทานมื้อเย็น กระเพาะอาหารและลำไส้ก็เริ่มทำงาน แน่นอนว่าต้องมีกลิ่นแก๊สที่ไม่พึงประสงค์ ด้วยความที่ทั้งคู่นอนในเต็นท์ซึ่งมีพื้นที่จำกัด ทุกครั้งที่คุณเจ้าของตดจะเตือนแบ็ก สแครตเชอร์ เสมอว่าให้เตรียมตัวรูดซิปถุงนอน ไม่ก็รูดซิปเต็นท์เตรียมปอดออกไปรับออกซิเจนจากข้างนอกเสมอเลย แต่บางครั้งเธอก็เป็นฝ่ายโดนแก้แค้นเองบ้างน่ะนะ (หัวเราะ)
กับตอนที่เดินทางถึงรัฐเวอร์มอนต์ หลังจากกางเต็นท์ในสวนหลังบ้านของคุณป้าคนหนึ่ง ช่วงเย็นก่อนมื้ออาหาร คุณเจ้าของถือโอกาสลงไปเล่นน้ำและเป็นการซักผ้าไปในตัว ชาวบ้านแถวนั้นคงเห็นว่าเธอเล่นน้ำดูน่าสนุกจึงพากันลงมาเล่นน้ำและว่ายน้ำด้วยกันกับคุณเจ้าของด้วย แค่มองยังรู้สึกเหมือนได้ย้อนเวลากลับไปเป็นเด็กอีกครั้งเลยล่ะ เสียดายที่รองเท้าอย่างฉันไม่มีโอกาสได้ลงไปเล่นด้วย
จาก 14 รัฐ และเส้นทางที่ได้เดินมา คุณชอบสถานที่ไหนมากที่สุด เพราะอะไร
ฉันชอบเส้นทางช่วงเริ่มต้นที่รัฐจอร์เจียมากที่สุด เพราะทางเดินมันง่าย อากาศแห้งๆ เย็นๆ กำลังพอดี ทำให้เราเดินได้ไม่เหนื่อยมาก ความเงียบของป่า ทำให้ฉันได้ยินเสียงนกร้อง เสียงงูเลื้อยบนใบไม้เพื่อออกมาตากแดดคลายหนาว เสียงน้ำในลำธารที่ไหลผ่านก้อนหิน เสียงกระรอกกัดเปลือกผลไม้ป่าแข็งๆ และเสียงหายใจของคุณเจ้าของที่ไม่ค่อยมีโอกาสได้พิจารณาบ่อยครั้ง ทำให้รู้สึกว่าระหว่างที่เดิน เหมือนได้ฟังเพลงที่บรรเลงโดยศิลปินที่ชื่อว่า ‘ธรรมชาติ’
เอ้อ ว่าจะถามนานแล้ว ทำไมคุณเจ้าของถึงใช้ชื่อว่า Can Do ล่ะ
ที่มาของชื่อมันออกจะตลกสักหน่อย เพราะการเข้าส้วมในป่า มันเหมือนการรีบไปทิ้งระเบิด แล้วรีบออกมาจากจุดนั้นให้เร็วที่สุด ในป่าไม่มีสายชำระ ไม่มีกระดาษทิชชู่ มีแค่ใบไม้ กิ่งไม้ มันถึงทำให้คุณเจ้าของบ่นพึมพำว่า “คันตูด คันตูด” เธอต้องเดินไป เกาก้นไป ก่อนที่แบ็ก สแครตเชอร์จะบอกว่า ‘คันตูด’ ในภาษาไทย มันใกล้เคียงกับคำว่า ‘Can Do’ ในภาษาอังกฤษ
พอก้าวมาอยู่ในวงการนักเขียน เธอก็ยังคิดว่า ‘Can Do’ เป็นชื่อที่บ่งบอกตัวตนของตัวเองได้มากที่สุด และเป็นชื่อที่เป็นแรงกระตุ้นให้ตัวเองอยู่เสมอ ทุกอย่างที่เธอได้ทำ กำลังทำ และจะทำต่อไปในอนาคต เธอเชื่อว่า ‘ฉันทำได้’
คุณเคียงบ่าเคียงไหล่กับคุณเจ้าของมานานถึง 6 เดือน แถมเส้นทางนี้ยังผ่านทั้งถนน ผ่านทั้งป่า สมบุกสมบันขนาดนี้ ไหนบอกหน่อยสิว่าคนชื่อ ‘Can Do’ เคยท้อถอย และพูดว่า “Can’t Do” บ้างหรือเปล่า
ถ้าเป็นความท้อ แน่นอนว่าต้องเคยสิ ฉันตอบแทนได้แบบไม่กลัวคุณเจ้าของอายเลย บางวันเพียงแค่ตื่นขึ้นมาเห็นฉัน คุณเจ้าของถึงกับโอดโอยไม่อยากใส่ก็มี เพราะรู้ว่าเมื่อไหร่ที่ใส่จะต้องออกเดิน แต่เรื่องความคิดจะล้มเลิกน่ะ ไม่เคยมีในหัวคุณเจ้าของเลยล่ะ
มีคำไหนบ้างที่คุณเจ้าของบ่นออกมาตลอดทาง
นอกจาก “คันตูด!” แล้ว ก็มี “Fuck this shit!” นี่ล่ะ ทุกครั้งที่เห็นก้อนหินก้อนใหญ่ที่ต้องปีน ทางเดินหินๆ ความหิวที่ระงับไว้ไม่ได้ กระเป๋าที่หนักโคตรๆ ไม่มีอะไรสามารถระบายความรู้สึกได้ดีไปกว่า “FUCK THIS SHITTTTTTT !”
นอกจากรองเท้าลูกพี่คุณที่เสียชีวิตไปก่อนระหว่างทาง ยังมีใครอีกบ้างที่สิ้นอายุขัยระหว่างที่เจ้าของคุณเดินข้ามเส้นทางนี้
โอ้ ทุกอย่างในโลกเป็นสิ่งไม่ถาวร ทุกอย่างมีอายุขัย แม้ตอนนี้อาจยังไม่ถึงคิวของฉัน แต่ทั้งกระเป๋า เสื้อผ้า แผ่นรองนอน มันลาจากโลกนี้ไปแล้ว ฉันเองก็คงมีชะตากรรมไม่ต่างจากรองเท้าคู่ก่อนหน้านี้หรอก และหากต้องตายจริงๆ อย่างน้อยการได้พาคุณเจ้าของก้าวเดินไปข้างหน้า มีเรื่องราวในการเดินทางร่วมกัน นั่นก็เป็นความภูมิใจอย่างที่สุดแล้ว
เวลากว่า 6 เดือน คุณคงสนิทกับคุณเจ้าของมากเลยสินะ ก่อนหน้านี้คิดว่าเธอเป็นคนยังไง และคิดว่าเธอมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้างหรือเปล่าหลังเดินจบ
เอาด้านร่างกายก่อนแล้วกันนะ แม้โดยพื้นฐานแล้วคุณเจ้าของจะเป็นผู้หญิงที่แข็งแรงมากๆ อยู่แล้ว แต่หลังจบการเดินทางครั้งนี้ดูเหมือนเธอจะยิ่งแข็งแรงขึ้นไปอีก ฉันรู้สึกได้ถึงความฟิตของขา ไหล่บ่าที่แข็งแรง และกล้ามเนื้อที่เพิ่มขึ้นมานิดหนึ่งของคุณเจ้าของ เรียกว่าตอนนั้นเป็นช่วงเวลาที่เธอดูดีช่วงหนึ่งของชีวิตเลยล่ะ แม้ว่าอาจจะค่อนข้างแบนราบทั้งหน้าและหลังไปหน่อยก็เถอะ (หัวเราะ)
ส่วนด้านจิตใจก็ต้องยอมรับว่าแม้ภายนอกคุณเจ้าของจะดูแข็งแกร่ง แต่ลึกๆ แล้วเธอเป็นคนที่ค่อนข้างอ่อนไหวนะ เธอเคยคิดว่าเรื่องของตัวเองนั้นทุกข์ที่สุด เศร้าที่สุด เคยคิดว่าทุกเรื่องที่ทำนั้นมีเหตุผลและเป็นฝ่ายถูกเสมอ แต่หลังจบการเดินทางครั้งนี้ ความคิดและจิตใจของเธอเปลี่ยนไปมาก เธอเข้มแข็งมากขึ้น และพบว่าเรื่องที่เธอเคยคิดว่าทุกข์และเศร้านั้น จริงๆ แล้วมันเป็นเพียงแค่เรื่องเล็กๆ เท่านั้น ยิ่งเมื่อได้ฟังเรื่องราว ของ Thru-Hiker คนอื่นๆ ก็ยิ่งทำให้รู้ว่ามีอีกหลายคนในโลกใบนี้ที่ชีวิตเขาลำบากยิ่งกว่าเธอซะอีก
ตอนเจ้าของคุณเขียนหนังสือเรื่อง The Appalachian Trail คุณได้ช่วยอะไรคุณเจ้าของบ้างไหม
ฉันอยู่เคียงข้างคุณเจ้าของตลอดเวลาเลยล่ะ ทุกครั้งที่เธอนึกไม่ออกว่าจะเขียนอะไร เธอจะชอบใส่ฉันออกไปเดินนอกบ้าน หลายครั้งระหว่างที่คุณเจ้าของนั่งเขียนต้นฉบับอยู่ เธอก็มักจะมองมาที่ฉันด้วย คงเพราะเธอรับรู้ได้ว่าฉันกำลังส่งพลังใจให้เธออยู่เหมือนกัน
บางครั้งเธอก็เครียดกับการเขียนเหมือนกันนะ ที่เครียดเพราะคุณเจ้าของชอบกังวลไปเองว่าภาษามันจะบ้านๆ ไปหรือเปล่า แถมตอนที่เขียนหนังสือเล่มนี้เธอก็ยังไม่เคยติดต่อสำนักพิมพ์ไหนไปด้วยซ้ำ มันเลยทำให้สงสัยว่าจริงๆ แล้วเธอกำลังทำอะไรอยู่ เขียนไปเพื่ออะไร และใครจะมาอ่าน เคยสงสัยเหมือนกันว่าทำไมคุณเจ้าของไม่ไปติดต่อสำนักพิมพ์ก่อนแล้วค่อยกลับมาเขียนกันนะ แต่คิดไปคิดมาก็ได้คำตอบว่าเธอคงเพียงแค่อยากเขียน ไม่ได้คิดถึงการเป็นนักเขียน และการจะไปหาสำนักพิมพ์ก็ควรจะมีงานไปให้เขาดู ไม่ใช่ไปตัวเปล่าๆ
ได้ข่าวว่าคุณและคุณเจ้าของมีแพลนจะไปเดินป่าอีกครั้งบนเส้นทาง Pacific Crest Trail เหมือนในภาพยนตร์เรื่อง Wild ด้วย ทำไมคุณเจ้าของถึงชื่นชอบการเดินนัก
เพราะเรามีเรื่องราวระหว่างทางร่วมกันขนาดนี้ เราจึงอยากออกเดินทางและใช้เวลาร่วมกันอีก ฉันเชื่อว่าทุกครั้งที่เราออกเดินทาง เราย่อมได้เรียนรู้สิ่งใหม่และได้ทบทวนสิ่งเก่า ในวันที่คุณเจ้าของอายุล่วงเลยใกล้วัยสี่สิบ เธอจึงอยากเดินทางในรูปแบบนี้อีกครั้งในวันที่ยังมีแรง เพราะการเดินทำให้เธอแข็งแรงขึ้นทั้งกายและใจ แต่ในอนาคตหากร่างกายไม่อำนวย ยังไงซะฉันก็คิดว่าเธอจะคงยังออกเดินทางอยู่ แม้เป็นรูปแบบที่เปลี่ยนไป
มีคนเคยบอกว่าจุดหมายปลายทางอาจไม่สำคัญเท่าระหว่างทาง หลังจากเดินผ่าน 14 รัฐ คุณเชื่ออย่างนั้นไหม
เชื่อสิ ฉันว่าจุดหมายปลายทางมันสำคัญนะ แต่เรื่องราวระหว่างการเดินทางมันมีคุณค่าและความหมายต่อชีวิตของนักเดินทางทุกคน จุดหมายเป็นแรงกระตุ้นให้เราทำสิ่งนั้นให้สำเร็จ เป็นแรงจูงใจ ลากเราให้ถึงฝันที่ตั้งใจไว้ ส่วนระหว่างทางคือเรื่องราวที่เกิดขึ้นและทำให้เราสามารถอยู่กับปัจจุบัน ณ ขณะนั้น แต่แม้ว่าเราจะทำสำเร็จหรือไม่สำเร็จก็ตาม เรื่องราวย่อมบอกว่า เราได้ลงมือทำสิ่งนั้นแล้ว และไม่เสียดายเวลาที่ได้ทำ