เราเริ่มวิ่งเมื่อ 4 ปีก่อนค่ะ หลังจากตรวจพบว่าเป็นมะเร็ง
เมื่อปี 2557 เราตรวจพบเนื้องอก ขนาด 5×5 เซนติเมตรที่ผนังอก และผ่าตัดออกแล้ว แต่หลังจากนั้น เราพบว่าเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลือง แม้เตรียมใจยอมรับผลมาแล้วก็ตาม วันนั้นกลับเหมือนโลกถล่มใส่ตัว หูอื้อ ตาลาย
เราทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตเรา นั่งทำเช็กลิสต์ว่าอะไรบ้างที่เราบกพร่อง มีปัจจัยอะไรบ้างที่ทำให้เราเจ็บป่วยในอายุ 30 นี้ สิ่งหนึ่งที่เราพบคือ เราไม่เคยออกกำลังกายเลยตั้งแต่เล็กจนโต
ตอนเด็กๆ เราฝังใจอย่างยิ่งว่าเราไม่เก่งกีฬา เล่นกีฬาไม่ได้ เราเคยได้เกรด 1 วิชาพละ ถูกคนอื่นล้อเลียนเหมือนเป็นตัวตลกเพราะทำไม่ได้อย่างเพื่อนๆ รู้สึกแพ้มาตลอด เราเลยเก็บความรู้สึกนั้นไว้ในใจ จนโตมา เราพยายามเรียนให้ได้ดีเพื่อปิดปมด้อยเรื่องพละ และไม่เคยคิดอยากออกกำลังกาย ทุกครั้งที่ต้องทำอะไรที่เกี่ยวข้องกับการออกกำลังกาย เรามักรู้สึกกดดันและหาทางเลี่ยงเสมอ ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่การแข่งขันอะไรจริงจังก็ตาม
เรากลับมานั่งคิดว่า เราไม่ได้อยากจะเป็นนักกีฬานี่ ไม่จำเป็นต้องเก่งก็ได้ ส่วนความคิดที่ว่าเราดูเป็นตัวตลกก็แค่ยอมรับมัน ตลกแล้วจะเป็นไร แล้วการออกกำลังกายยังมีประโยชน์อีกตั้งมากมาย ทำไมไม่ลองดูล่ะ เราคิดต่อว่า เราจะทำอะไรได้บ้างถ้าเราอยากออกกำลังกาย เราคิดได้ว่าเราเคยได้เกรด 3 วิชากรีฑานี่ เรามาลองวิ่งดูสักทีจะเป็นไร ไหนๆ ก็ไม่รู้จะทำอะไร เราจึงเลือกการวิ่งเป็นการออกกำลังกายหลัก
เริ่มจากเดินไปเดินมา วิ่งช้าๆ ทีละนิดในสวนที่บ้าน ช่วงนั้นเริ่มรักษาตัวพอดี คุณหมอให้ยาเคมีบำบัด ทำให้ร่างกายอ่อนเพลียมาก อาเจียนเยอะมาก พอเริ่มตั้งตัวได้ เราจะมาวิ่งเหยาะๆ ให้เหงื่อซึมๆ เราเริ่มรู้สึกดีเมื่อเหงื่อออก เคยอ่านเจอว่าการออกกำลังกายทำให้ร่างกายหลั่งสารแห่งความสุข ความสุขที่เหงื่อออกคงเป็นอย่างนี้ล่ะมั้ง อย่างน้อยก็เป็นสิ่งหนึ่งที่เราทำเพื่อร่างกายของตนเอง
พอเว้นจากการทำคีโม เราค่อยเริ่มไปวิ่งที่สวนสาธารณะใกล้บ้านเพื่อสร้างภูมิคุ้มกัน จะได้พร้อมต่อสู้กับการให้คีโมครั้งถัดไป เราเริ่มรู้สึกมีความสุขทุกครั้งที่ก้าววิ่ง ถึงแม้ว่าตอนนั้นแทบจะไม่มีผมแล้วก็ตาม เราใส่หมวกบ้าง ใส่วิกบ้าง ออกไปวิ่งแทบทุกวัน รู้สึกว่าการวิ่งกับเราเป็นเพื่อนกัน เราเริ่มสนุกกับการมีเหงื่ออก สนุกกับกับการวิ่งมากขึ้น เห็นผู้คนที่ออกมาวิ่งก็รู้สึกมีเพื่อนวิ่ง เห็นคนที่อายุ 50-60 ปียังออกมาวิ่งเหยาะๆ หรือเดินเร็ว เรารู้สึกว่าทุกคนต่างกำลังทำเพื่อสุขภาพตนเองอยู่ เพราะไม่มีใครออกกำลังกายแทนเราได้ เราต้องทำเอง และไม่เห็นมีใครสนใจเลยว่าเราเก่งพอมั้ย หรือเมื่อก่อนเราเคยได้เกรดอะไรมา ไม่เหมือนที่เราคิดสมัยก่อนเลย ว่าเราต้องเก่งเท่านั้นถึงจะเล่นกีฬาได้
เราเห็นทั้งคนวิ่งช้าและเร็ว แต่ไม่ว่าวิ่งช้าหรือวิ่งเร็วก็ได้ประโยชน์เหมือนกัน ทุกคนชนะเหมือนกัน คือชนะใจตัวเองที่แต่ละวันออกมาวิ่ง มาทำประโยชน์ให้สุขภาพตนเอง วิธีคิดเราเปลี่ยนไป ทัศนคติการมองโลกเปลี่ยนไป เราเลิกดูถูกตัวเอง เลิกจมปลักกับความรู้สึกว่าเราไม่เก่งกีฬาแล้วออกกำลังกายไม่ได้ เราวิ่งแทบทุกวัน จนเรารักษามะเร็งครบคอร์ส อาการดีขึ้นตามลำดับ
4 ปีผ่านมา เรายังคงวิ่งอยู่ จาก 500 เมตร เป็น 1 กิโลเมตร 2, 3, 4, จน 10 กิโลเมตร วันนี้เป้าหมายเราคือฮาล์ฟมาราธอน ทุกวันนี้การวิ่งเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเรา เหมือนเช่นการมีมะเร็งเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต มะเร็งเปลี่ยนชีวิตเราให้เป็นคนใหม่ คนที่ปล่อยวางชีวิตได้ คนที่ใส่ใจสุขภาพมากขึ้น และการวิ่งก็เปลี่ยนชีวิตเรา ให้ก้าวผ่านความอับอายและความกลัวว่าจะเป็นตัวตลก กล้ายอมรับความไม่สมบูรณ์แบบของตนเอง และกลายเป็นคนกล้าทำสิ่งที่คิดว่าทำไม่ได้
ไม่มีอะไรที่เราทำไม่ได้หรอก อยู่ที่เราคิดว่าจะทำมันหรือเปล่า ถ้าทำไม่ได้ก็แค่ฝึก ฝึกบ่อยๆ เดี๋ยวก็ดีขึ้น