ซึมซับงานศิลป์ในนิทรรศการจาก 6 แกลเลอรีทั่วทุกมุมโลก

เดินชมผลงานศิลปะในอาร์ตแกลเลอรี น่าจะเป็นกิจกรรมที่อยู่ในแพลนของหลายคนเวลาไปเที่ยวต่างประเทศ เพราะนอกจากผลงานศิลปะที่ดึงดูดให้พินิจใกล้ๆ กับนิทรรศการหมุนเวียนที่ทำให้ใจเต้นแรงตั้งแต่เห็นชื่อศิลปินแล้ว แกลเลอรีหลายแห่งยังมีการออกแบบที่สวยสะดุดตา ชวนให้เดินทางไปเยือนสักครั้ง

แกลเลอรีที่มีคาเฟ่หน้าตาเก๋ออกแบบโดย Wes Anderson แกลเลอรีที่ตั้งโดดเดี่ยวท่ามกลางความเวิ้งว้างของทะเลทราย หรือโซนอินเตอร์แอ็กทีฟอาร์ตของศิลปินชื่อดังที่สวยราวกับหลุดเข้าไปอีกโลก ความพิเศษเหล่านี้คือสิ่งที่สร้างความประทับใจให้เหล่านักท่องเที่ยวสายอาร์ต โดยเฉพาะผู้คนในแวดวงศิลปะที่มักจะเก็บเกี่ยวแรงบันดาลใจกลับบ้านกันจนเต็มกระเป๋า

เพราะช่วงนี้หลายแกลเลอรีในไทยปิดชั่วคราว แถมสถานการณ์ก็ไม่เอื้อให้เดินทางออกจากบ้าน เราเลยอยากชวนไปชมนิทรรศการศิลปะใน 6 แกลเลอรีทั่วโลก เพื่อเยียวยาจิตใจและเติมความหวังให้กับเหล่านักท่องเที่ยวผู้มีใจรักในงานศิลปะทุกคน

Musée d’Orsay
Paris, France

ทิชา วงศ์พิมลพร, กราฟิกดีไซเนอร์และอินฟลูเอนเซอร์

แกลเลอรีและมิวเซียมหลายที่ในฝรั่งเศส ถ้ามีบัตรที่ยืนยันได้ว่าเราเป็นนักเรียน อายุต่ำกว่า 26 ปี ก็จะเข้าได้ฟรี (แต่ทางที่เซฟสุดคือทำบัตร international student identity card ราคาไม่แพงเลยถ้าเทียบกับต้องจ่ายค่าเข้า)

เราในวัย ม.2 ติดสอยห้อยตามแม่ที่ไปทำงานที่ฝรั่งเศสในช่วงปิดเทอม เลยมีเวลาว่างไปเดินเล่นในปารีสคนเดียวในวันธรรมดา เราเดินทางไป Musée d’Orsay โดยรถไฟใต้ดิน ขึ้นมาจากสถานีก็จะเจออาคารหน้าตาเหมือนสถานีรถไฟที่อยู่ข้างแม่น้ำแซน โชคดีที่เราไม่ต้องต่อแถวยืดยาวซื้อบัตรกับนักท่องเที่ยว แค่ยื่นบัตรนักเรียนให้เจ้าหน้าที่ตรงทางเข้าก็เข้าได้เลย

เข้าไปจะเห็นสุดโถงอีกฟากของอาคารเป็นนาฬิกาเรือนใหญ่โบราณ ถ้าไปในช่วงที่แสงดีจะเห็นชิ้นงานประติมากรรมต่างๆ ถูกพาดด้วยแสงแดดที่ส่องผ่านหลังคากระจก บรรยากาศข้างในเงียบและเชื่องช้าผิดกับความวุ่นวายตรงบริเวณซื้อตั๋วอย่างสิ้นเชิง ชิ้นงานข้างในมีการจัดแสดงทั้งประติมากรรม เฟอร์นิเจอร์ ภาพถ่าย แต่สิ่งที่คนมาดูกันมากที่สุดคงเป็นภาพวาด

ยิ่งใครที่ชอบงานในยุคอิมเพรสชั่นนิสม์และโพสต์อิมเพรสชั่นนิสม์ยิ่งต้องไม่พลาดที่จะมาที่นี่หากมีโอกาสได้มาเยี่ยมประเทศฝรั่งเศส ผลงานที่อยู่ด้านในมีทั้งภาพวาด Le Déjeuner sur l’herbe ของ Édouard Manet ที่สร้างเสียงฮือฮาอย่างมากในยุคนั้น ภาพ Poppy Field, Blue Water Lilies และ The Magpie ของ Claude Monet ภาพนักบัลเลต์ผ่านมุมมองของ Degas ภาพวาดสีสดของ Gauguin และ Cézanne ภาพวาดสีพาสเทลของ Sisley ผลงานในช่วงโพสต์อิมเพรสชั่นนิสม์ของ Henri de Toulouse-Lautrec และภาพดังมากมายของ Vincent van Gogh ไม่ว่าจะเป็น The Starry Night, Sunflowers, self-portrait ฯลฯ

ที่นี่มีม้านั่งตลอดโถงทางเดิน ทำให้เราสามารถนั่งดูภาพ Bal du moulin de la Galette ของ Renoir ได้นานหน่อย ชิ้นงานจริงใหญ่กว่าที่เราคิดไว้ เราในวัย ม.2 ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะถูกชะตากับภาพวาดหวานๆ ของเรอนัวร์มาก่อนจนกระทั่งได้เห็นภาพของจริงด้วยตา เหมือนดวงแสงในรูปที่ส่องผ่านต้นไม้มันขยับไปมาตามลมที่พัดโดนใบไม้ เสียงคนคุยกันเซ็งแซ่เหมือนดังออกมาจากรูป หลังจากนั้น Bal du moulin de la Galette ก็กลายเป็นหนึ่งในภาพวาดชิ้นโปรดของเรา

Recommend : ไม่ใช่แค่งานในช่วงอิมเพรสชั่นนิสม์ แต่ Musée d’Orsay มีงานในหลากหลายยุค ไม่ว่าจะภาพวาดยุค romanticism ของ Eugène Delacroix หรือ The Gleaners ภาพดังของ Jean-François Millet จากยุค realism ซึ่งทำให้เราใช้เวลาอยู่ที่ Musée d’Orsay ยาวนานจนถึงเวลาปิดแบบงงๆ อาคารที่ดูข้างในเหมือนขนาดเล็ก แต่จริงๆ แล้วมีห้องบรรจุงานให้เดินเข้าไปดูได้เต็มไปหมด แพลนที่จะไปดู Rodin Museum ต่อก็เลยต้องพับเก็บไป

How to get there : นั่งรถไฟใต้ดินสาย 12 สถานี Solférino หรือรถไฟ RER สาย C จะไปโผล่ตรงด้านหน้าพิพิธภัณฑ์พอดี
goo.gl/maps/HP465aD2Aj9D4ZKX6

Galeria Municipal do Porto
Porto, Portugal

มานิตา ส่งเสริม, กราฟิกดีไซเนอร์

เมื่อ 3 ปีก่อนเราไป design summer school เกี่ยวกับ editorial design course ที่ปอร์โต ประเทศโปรตุเกส จำได้ว่าก่อนไปมีโอกาสหาข้อมูลแค่เฉพาะสถานที่เรียน ที่พัก และการเดินทางอย่างคร่าวๆ ตั้งใจว่าขอเอาตัวให้รอดก่อนค่อยว่ากันอีกที

ทุกครั้งเวลาไปเรียน โถงที่พักของเรสซิเดนซ์จะเห็นโต๊ะวางแผ่นพับของนิทรรศการที่กำลังจัดอยู่ในมิวเซียมและแกลเลอรีทั่วเมือง เราก็เลือกหยิบโปสเตอร์ที่ชอบเก็บเอาไว้ พอถึงช่วงหยุดสุดสัปดาห์เราปักหมุดไปที่ Galeria Municipal do Porto ที่แสดงงาน contemporary visual arts เป็นความคิดส่วนตัวของเราเองที่อยากทำความรู้จักประเทศนี้ผ่านงานร่วมสมัยมากกว่า เพราะด้วยสภาพแวดล้อมของปอร์โตในด้านสถาปัตยกรรมจะเป็นการบูรณะตึกจากยุคเก่า ซึ่งเราว่ามันทั้งคลาสสิกและคอนทราสต์ไปพร้อมกัน

วันนั้นเราเริ่มต้นด้วยการนั่งเมโทรจากหอพักไปลงสถานีหลักชื่อ Trindade แล้วเดินต่อไปอีก 2 กิโลเมตร ใช้เวลาครึ่งชั่วโมงได้ จนไปถึง Galeria Municipal do Porto ก็รู้สึกว่าเป็นสถานที่ที่จัดสัดส่วนได้ดีมากๆ คือการใช้พื้นที่ร่วมกับ landscape garden เพราะตั้งอยู่บนที่สูง ถ้ามองลงมาก็จะเห็นวิวของเมืองทั้งหมด แล้วยิ่งเป็นฤดูร้อนคนก็ออกมานั่งเล่นที่สวนกันเยอะเลย

ปกติแกลเลอรีแบบร่วมสมัยจะออกแบบด้วยฟอร์มที่เรียบง่ายแต่มีบางมุมที่ดู deconstruction การที่ Galeria Municipal do Porto ออกแบบเป็นทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าและมีระแนงไม้เป็นแผงครอบลงมาก็แปลกตาดีสำหรับเรา

ช่วงที่ไปกำลังมีนิทรรศการชื่อ The Paulo Cunha e Silva Art Prize เป็นการคัดเลือกงานของกลุ่มศิลปินรุ่นใหม่ของโปรตุเกสพอดี รู้สึกว่าทุกอย่างมันอินไปหมดตอนนั้น เพราะมันเชื่อมโยงกับงานออกแบบที่เราทำอยู่ประจำ ได้เห็นการใช้พื้นที่การติดตั้งงานในแบบที่เราไม่เคยเจอ รวมถึงพวกกราฟิกในนิทรรศการบางชิ้นที่ท้าทายมาก เราชอบที่ได้มาเห็นงานประเภทเดียวกันในบริบทและพื้นที่ที่แตกต่างออกไป

Recommend : เพราะเป็นเมืองที่นักท่องเที่ยวไม่พลุกพล่าน ทุกอย่างเรียบง่าย คนก็ชิลล์ เพราะฉะนั้นเลยไม่ต้องรีบเร่ง บางทีระหว่างทางถ้าลองเดินไปเรื่อยๆ จะเจอร้านโลคอลที่ศิลปินเปิดบ้านทำสินค้าแฮนด์เมดแทบทุกซอยตึก

How to get there : ควรค่าแก่การเดิน 20 นาทีจากสถานี Trindade เพราะเป็นเมืองที่ถูกสร้างเพื่อให้เดินชมสถาปัตยกรรมแบบบาโรกที่ผสมผสานกับสถาปัตยกรรมแบบใหม่มาก
goo.gl/maps/uSgpFrL8PxFPhqev9

Bon Davinci Art Museum
Seoul, South Korea

Paerytopia, นักวาดภาพประกอบ อินสตาแกรม @paerytopia

เรากับเพื่อนที่เป็นสายอาร์ตทั้งคู่ตกลงไปเที่ยวเกาหลีด้วยกัน ซึ่งก่อนไปทริปนั้นเราได้หาข้อมูลที่เที่ยวเกี่ยวกับพิพิธภัณฑ์และนิทรรศการต่างๆ ไว้ค่อนข้างเยอะ จนไปสะดุดตากับ Bon Davinci Art Museum พิพิธภัณฑ์แสดงผลงานศิลปะแบบอินเตอร์แอ็กทีฟ ซึ่งตอนนั้นเรารู้สึกว่าที่ไทยยังไม่ค่อยมีเท่าไหร่ เลยตัดสินใจซื้อตั๋วเข้าไปกัน

ช่วงที่เราเดินทางไปเป็นช่วงที่ทางพิพิธภัณฑ์นำผลงานของศิลปินอิมเพรสชั่นนิสต์อย่างเรอนัวร์มาจัดพอดี ชื่อนิทรรศการคือ Scent of a woman ซึ่งส่วนตัวเรากับเพื่อนชอบงานเขามากๆ อยู่แล้ว เพราะงานของเรอนัวร์โดดเด่นในเรื่องการวาดผู้หญิงให้ออกมาสวยงามและอ่อนหวานเป็นธรรมชาติ

ก่อนเข้าไปชมนิทรรศการ เราแอบส่องโลเคชั่นในอินสตาแกรมเพื่อดูบรรยากาศข้างใน ในใจเราไม่ได้คาดหวังอะไรมาก แต่พอได้เข้าไปแล้วเรากลับรู้สึกว้าวมากจริงๆ เพราะนอกเหนือจากงานของเรอนัวร์ที่ทำให้ดูมีชีวิตด้วยการใช้อินเตอร์แอ็กทีฟอาร์ตแล้ว การใช้แสง สี เสียงควบคุมบรรยากาศทุกอย่างข้างในนั้นทำให้เรารู้สึกเหมือนได้หลุดเข้าไปในโลกของเรอนัวร์จริงๆ 

สิ่งที่ทำให้เราประทับใจมากๆ ในตอนที่เข้าไปเลยคือฉากแรกสุด เขาจัดเป็นเหมือนต้นไม้ไดคัตเป็นชั้นๆ หลายเลเยอร์ซ้อนกันเป็นกรอบ แล้วด้านหลังสุดตรงกลางคือภาพศิลปะวิวธรรมชาติที่เคลื่อนไหวได้ สร้างความประทับใจแรกได้ดีมาก

Recommend : ที่อยากแนะนำเป็นพิเศษคือโซนหลังๆ ที่เราเดินไป เพราะถ่ายรูปออกมาสวยมากจริงๆ เหมือนทุกห้องอยู่ในภาพวาดยังไงอย่างนั้นเลย และมีห้องหนึ่งที่อยากแนะนำเป็นพิเศษ เพราะเราเพิ่งมารู้ทีหลังว่า ซึลกิ ไอดอลวง Red Velvet ก็เคยมานั่งถ่ายรูปมุมนี้แล้วเหมือนกัน เป็นห้องสีเขียวเวอริเดียนที่จะฉายไฟให้เกิดเงาของดอกกุหลาบอยู่ตรงมุมห้อง เข้าไปนั่งตรงนั้นถ่ายรูปออกมาก็เหมือนมีโมเมนต์ร่วมกับซึลกิทันที

How to get there : ขึ้นเมโทรแล้วลงสถานี Seoul Forest
goo.gl/maps/T5ftakP2vxa7U1uZA

Museum of Contemporary Art Taipei
Taipei, Taiwan

ease around, แบรนด์โปรดักต์

ก่อนจะไปไทเป เราตั้งใจลิสต์สถานที่ที่ต้องไปเยือนให้ได้ และ Museum of Contemporary Art Taipei ก็เป็นหนึ่งในนั้น เพราะคอนเทนต์ที่อยู่ข้างใน และสถานที่ตั้งอยู่ในย่านที่เดินทางสะดวก และมีที่อื่นๆ ให้ไปต่อได้ง่าย

คนส่วนใหญ่มักจะมีความเข้าใจว่าสถานที่ที่เป็นมิวเซียมหรือแกลเลอรีศิลปะจะต้องมีฟอร์มที่คล้ายๆ กัน มีห้องโถงใหญ่ๆ โล่งๆ ขาวๆ และจัดโซนเดินให้ดูงานอย่างเต็มที่ ปรากฏว่าเรามาทราบทีหลังว่าที่นี่เคยเป็นโรงเรียนมาก่อน (ซึ่งเดินเข้าไปข้างในลึกๆ ก็จะพบกับโรงเรียนที่ยังเปิดทำการอยู่จริงๆ ข้างหลัง) การเดินชมงานเลยเป็นการเดินผ่านห้องเรียนไปเรื่อยๆ ทีละห้อง แต่ละห้องก็จัดแสดงงานศิลปะต่างๆ รูปแบบกันไป โดยมีแอมเบียนต์เป็นเสียงน้องๆ นักเรียน บวกกับบรรยากาศร่มรื่นในโรงเรียนข้างหลัง

Recommend : โซนที่ชอบเป็นพิเศษของที่นี่คือโซน museum shop ก่อนจะเข้าโซนเดินชมงาน เป็นร้านค้าที่จำหน่ายสินค้าจากศิลปินในไต้หวัน มีงานหลากหลายประเภทและรูปแบบ ตั้งแต่งานประติมากรรมชิ้นใหญ่ไปจนถึงเข็มกลัดชิ้นเล็ก และสติ๊กเกอร์น่ารักๆ กลายเป็นว่าเราใช้เวลากับตรงนี้มากกว่าข้างในแกลเลอรีอีก ได้ของกลับมามากมายเลย

How to get there : นั่ง MRT มาลงที่ Zhongshan Station ที่เป็นแหล่งที่รวมร้านเก๋ๆ เอาไว้มากมาย ขอแนะนำให้ใช้เส้นทางภายใน Metro Mall ใต้สถานีรถไฟฟ้า มาออกที่ทางออก R4 แล้วเดินตามถนนมาอีกหน่อย ก็จะเจอ Museum of Contemporary Art Taipei แล้ว
goo.gl/maps/qmZvMW35tQuh8ery6

John Dynon Art Gallery
Silverton, Australia

สะอาด, นักเขียนการ์ตูน

เราบังเอิญเจอที่นี่ตอนไปเที่ยวมั่วๆ ที่ Broken Hill ประเทศออสเตรเลีย เข้าไปแบบไม่คาดหวังอะไรเลยจริงๆ เลยตกใจตอนเห็นศิลปินเจ้าของแกลเลอรีนั่งวาดรูปอยู่ แล้วชอบที่เขาขายตัวเองชัดเจนดี มีแม็กกาซีนลงบทสัมภาษณ์ของตัวเองโชว์ให้ลูกค้าดูด้วย

Broken Hill เป็นเมืองทะเลทรายแห้งแล้ง ระดับที่ใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำหนัง Mad Max และมีมิวเซียม Mad Max 2 ให้เข้าชมด้วย แต่ที่คนไม่ค่อยรู้คือมันเป็นย่านแกลเลอรีของศิลปินหลายคน ผลงานก็มักเป็นแลนด์สเคปแปลกตาของ Broken Hill นี่แหละ (นึกภาพเข้าไปแล้วเจองานแนวอิมเพรสชั่นนิสม์ที่เต็มไปด้วยทะเลทราย) เราได้ไปคุยกับเจ้าของแกลเลอรีอีกที่หนึ่ง เขาบอกว่ากลุ่มลูกค้าของเขาก็คือนักท่องเที่ยว และเขาก็หวังเป็นพิเศษว่าวันหนึ่งจะมีนักรักบี้เดินเข้ามาในร้าน เพราะที่นั่นรักบี้ดังมาก และนักกีฬาส่วนใหญ่มีเงิน

Recommend : จริงๆ เราไม่ได้ชื่นชอบผลงานข้างใน John Dynon Art Gallery มากนัก เพราะส่วนใหญ่ให้ความรู้สึกเหมือนงานเพนต์รูปช้าง รูปพระ ขายฝรั่งตามเชียงใหม่ มันจะมีความเป็นสินค้าเพื่อขายนักท่องเที่ยวประมาณหนึ่ง แต่เราชอบเซตติ้งของร้านมาก ในความเวิ้งว้างของทะเลทราย อาคารแต่ละหลังจะตั้งอยู่แยกห่างกันไกลประมาณหลายสิบถึงร้อยเมตร แต่มีแกลเลอรีของนักวาดคนนี้ที่ยืนหยัดอย่างโดดเดี่ยว เราเลยชอบวิธีการพรีเซนต์ตัวเองของศิลปินมากๆ กลับจากทริปนั้นเราบอกตัวเองเลยว่า ถ้าจะทำงานศิลปะต้องอย่าอายทำกิน

How to get there : Broken Hill อยู่ในรัฐ New South Wales (รัฐเดียวกับ Sydney) เราเดินทางไปเมืองนั้นโดยรถไฟ แต่แกลเลอรีจะอยู่ไกลจากตัวเมืองหลายกิโลเมตร ต้องเช่ารถเอา
goo.gl/maps/9kz4qd9sSPUGukG27

Fondazione Prada
Milan, Italy

กุลกานต์ กลิ่นระคนธ์, ทีมงานศูนย์ปฏิบัติการศิลปกรรมดิจิทัล หรือ FAAMAI Digital Arts Hub คณะศิลปกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

เรารู้จัก Fondazione Prada จากการตั้งคำถามว่า “พรุ่งนี้เราจะไปไหนดี” ในระหว่างที่อยู่มิลาน ที่นี่ค่อนข้างไกลจากสถานีรถไฟใต้ดิน และด้วยความที่ไปช่วงหน้าร้อน ตอนเดินเราจึงคิดอย่างเดียวว่าเมื่อไหร่จะถึง แต่พอไปถึงจริงๆ ก็ทำให้เราอารมณ์ดีมากๆ เพราะอาคาร นิทรรศการ การออกแบบทุกอย่างสนุกและมันมาก อย่างห้องน้ำที่เราก็ต้องหาประตูเปิดอยู่สักพักเลย 

แต่สิ่งที่ว้าวที่สุดคือ Bar Luce คาเฟ่ที่ได้ผู้กำกับชื่อดังอย่าง Wes Anderson มาออกแบบให้ กับอีกอย่างคือผลงาน Tulips ของ Carla Accardi และ Jeff Koons เพราะเพิ่งเคยดูงานจริงครั้งแรก

เราสนุกกับผลงาน Upside-Down Mushroom Room, 2000 ของ Carsten Höller มาก เพราะว่าเขาออกแบบทิศทางของนิทรรศการอย่างน่าสนใจ คือเราต้องเดินผ่านห้องมืด ใช้ประสาทสัมผัสกับความรู้สึกในการเดินเพื่อไปถึงผลงาน เหมือนเราหลับตามาตลอดทาง พอลืมตา Upside-Down Mushroom ก็ปะทะดวงตาอย่างจัง เจ้าเห็ดหมุนช้าๆ ลอยเต็มไปหมด ศิลปินผสมผสานวิทยาศาสตร์ในงาน installation art ร่วมสมัยได้อย่างน่าทึ่ง

Recommend : แนะนำให้พักดื่มกาแฟที่ Bar Luce ก่อนออกเดินทางไปที่อื่น เพราะตัวเราจะหลุดเข้าไปในฉากภาพยนตร์ และสนุกไปกับการจับคู่สีของ Wes Anderson

How to get there : นั่งเมโทรมาลงที่สถานี Lodi T.I.B.B. แล้วเดินต่ออีกนิดหน่อย
g.page/FondazionePradaMilano?share

AUTHOR