2Bees Garden : สวนเพาะเลี้ยงพืชอวบน้ำของพระเอกภาพยนตร์มหา’ลัยเหมืองแร่

Highlights

  • 2Bees Garden คือสวนเพาะเลี้ยงพืชอวบน้ำของ บี–พิชญะ วัชจิตพันธ์ พระเอกภาพยนตร์ มหา'ลัยเหมืองแร่ หลังจากออกจากวงการบันเทิง เขาไปศึกษาต่อในสิ่งที่ตัวเองรักนั่นคือพืชอวบน้ำจนกลับมาเป็นอาจารย์และเจ้าของฟาร์มนี้
  • ในความเป็นจริง ตลาดธุรกิจของพืชอวบน้ำในไทยนั้นเติบโตสูงมาก และเขาเองก็ทำธุรกิจนี้อย่างจริงจังจนเลี้ยงตัวเองและภรรยาได้ ถึงแม้จะเจอปัญหาในแง่กระบวนการอยู่บ้าง แต่เขาก็ผ่านมาได้ด้วยใจที่รักในสิ่งที่ตัวเองทำจริงๆ และความรู้ที่ตัวเองมี

14 ปีที่แล้ว หลายคนจดจำ บี–พิชญะ วัชจิตพันธ์ ได้จากบทบาทพระเอกในภาพยนตร์ มหา’ลัยเหมืองแร่

ภาพยนตร์เรื่องนี้ดัดแปลงจากวรรณกรรมเรื่องราวชีวิตช่วงวัยหนุ่มของ อาจินต์ ปัญจพรรค์ นักเขียนชั้นครูผู้ล่วงลับ ว่าด้วยช่วงชีวิตหลังจากที่ถูกรีไทร์ออกจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ และต้องมาใช้ชีวิตทำงานอยู่ภายในเหมืองแร่ถึง 4 ปี หนังเรื่องนี้ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีจนทำให้ใครหลายคนจำบีได้จากบทบาทที่เขาแสดง

แต่หลังจบจาก มหา’ลัยเหมืองแร่ ได้ไม่นาน กลายเป็นว่าบีได้หายไปจากทั้งวงการจอแก้ว จอเงิน และสายตาคนดูไปเลย

จากมหา’ลัยสู่มหา’ลัย

ในความเป็นจริง หลังแสดงภาพยนตร์ มหา’ลัยเหมืองแร่ จบ บีตัดสินใจเดินทางไปเรียนต่อทางด้านชีวพันธุกรรมที่เขาสนใจที่สหรัฐอเมริกา และศึกษาต่อระดับปริญญาโทในด้านเดียวกันที่ประเทศอังกฤษ เขากลับมาเป็นอาจารย์สอนในระดับมหา’ลัย ขณะเดียวกันระหว่างนั้นเขาก็เริ่มต้นเพาะพันธุ์พืชอวบน้ำเป็นงานอดิเรกที่บ้าน และจากงานอดิเรกก็ค่อยๆ ขยับขยายกลายเป็นอาชีพเสริม กระทั่งเป็นอาชีพหลักที่สามารถหล่อเลี้ยงชีวิตของเขาและภรรยาได้ในที่สุด

ปัจจุบันเขาและภรรยามีฟาร์มชื่อ 2Bees Garden เพาะพันธุ์พืชอวบน้ำจำหน่ายอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ ที่สำคัญคือนี่ไม่ใช่ฟาร์มธรรมดา เพราะฟาร์มนี้เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในหมู่นักสะสมพืชประเภทนี้ทั่วประเทศ

“หลายคนอาจรู้จักผมจากบทบาทของการเป็นนักแสดง แต่ความเป็นจริงแล้ว ผมไม่ได้มาสายการแสดงหรือสายบันเทิงเลย

“ตั้งแต่เด็กแล้ว ผมเป็นคนที่ชอบปลูกต้นไม้ ชอบอยู่กับธรรมชาติ ตั้งแต่เด็กก็วิ่งเล่นอยู่แต่ในสวน เด็ดใบไม้ เล่นกับแมลง ผมเป็นเด็กที่ขี้อายมาก เข้าสังคมไม่เป็น เล่นกีฬาก็ไม่เป็น ใส่แว่นหนาเตอะ อ่านหนังสือ อยู่กับต้นไม้แล้วสบายใจ เป็นโคตรเด็กเนิร์ดแบบคลาสสิกเลย” เขาหัวเราะเขินๆ ขณะเล่าย้อนความให้ฟัง

“เราปลูกสะสมเล่นๆ มาเรื่อยๆ มันเหมือนอยู่ในสายเลือด แล้วมันก็ค่อยๆ ขยายจนสามารถนำไปขายเป็นรายได้มาเรื่อยๆ ซึ่งโดยส่วนตัวผมชอบพืชอวบน้ำเป็นพิเศษ เพราะว่ามันมีรูปร่างที่สวย ดูเป็นงานศิลปะดี และมันไม่ต้องการการดูแลเยอะเท่าไหร่”

“ตอนแรกที่ตัดสินใจมาทำ ทางบ้านผมเขาก็ไม่เข้าใจหรอกครับว่ามันจะเป็นอาชีพได้ยังไง” บีเล่าถึงปัญหาในช่วงแรกของเส้นทางนี้ก่อนจะว่าต่อ

“หลายคนเองก็น่าจะนึกภาพไม่ออก บางทีเราไปเดินตลาดนัดเห็นขายกระถางละ 10-20 บาท มันจะไปได้กำไรยังไง อาชีพแบบนี้จะดีจริงเหรอ แต่หารู้ไม่ว่าต้นไม้ราคา 10-20 บาทนี่แหละ ถ้าคุณมีเป็นฟาร์มเดือนหนึ่งขายได้ 10,000 ต้น มันก็เป็นเงินแล้วนะ และมันหมุนเวียนเรื่อยๆ โดยเฉพาะไม้ที่ได้รับความนิยม คนจะซื้อไปประดับกันเยอะมาก แต่แป๊บหนึ่งก็ตาย เพราะเขาไม่เข้าใจวิธีการเลี้ยง แล้วก็กลับมาซื้อไปประดับใหม่ง่ายกว่า อันนี้คือตลาดแมส ซึ่งตลาดแบบนี้ในประเทศไทยรวมถึงทั่วโลกใหญ่มากเลยครับ คนซื้อจำนวนเยอะมาก แต่ตลาดแบบนี้เราต้องใช้พื้นที่ในการผลิตค่อนข้างมาก มีคนงาน เพื่อที่จะผลิตได้จำนวนเยอะ เพื่อให้ได้เงินมาก… ซึ่งผมไม่ทำตลาดนี้” เขาหยุดหัวเราะเขินๆ กับสิ่งที่ตัวเองทำก่อนจะเฉลยถึงสิ่งที่เขาโฟกัสจริงๆ

“คำตอบว่ามันเป็นอาชีพที่รายได้ดียังไง ก็เพราะว่ามันมีอีกตลาดหนึ่ง นั่นคือตลาดนักสะสม”

“ตลาดนักสะสมขนาดเล็กกว่าแต่มีกำลังซื้อมาก ใช้พื้นที่ในการเพาะน้อยกว่า ใช้คนงานน้อยกว่า ตอนแรกสวนผมอยู่ที่กรุงเทพฯ มีพื้นที่แค่ 300 ตารางวา เป็นที่กลางเมือง เราขยายไปไหนไม่ได้ เราจะมาทำไม้ขายตลาดแมสยังไงก็เหนื่อย จ้างคนเยอะเราไม่ถนัด เราไม่ใช่คนที่มีหัวด้านธุรกิจด้วย แต่เรามีความเป็นนักสะสม เราย่อมเข้าใจนักสะสมด้วยกัน รู้ว่าเขาต้องการอะไร ต้องการของใหม่ ของแปลก ของสวย ของที่ไม่ค่อยมีที่ไหน หายากๆ บางอย่างไม่สวยเลย แต่ใกล้สูญพันธุ์หรือสูญพันธุ์แล้วในแหล่งธรรมชาติ ไม้ปกติที่ฮิตๆ กันอาจขายได้ต้นละ 10 บาท ขาย 100 ต้น ถึงได้ 1,000 บาท แต่ไม้ลักษณะนี้แค่ต้นเดียวเราก็ได้ 1,000 บาทแล้ว

“มันใช้พื้นที่น้อยกว่า แต่จะทำแบบนี้ได้ต้องศึกษาเยอะพอสมควรว่ามีชนิดไหนบ้างที่น่าสนใจ และพันธุ์ไหนที่ไทยเลี้ยงได้บ้าง ต้องลองผิดลองถูก กว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ผมทำต้นไม้ตายเยอะมาก เรียกว่าต้องลงทุนเยอะเหมือนกัน บอกได้เลยว่าตั้งแต่เลี้ยงมาจนถึงตอนนี้มีต้นไม้ตายไปมหาศาล มูลค่าเป็นสิบล้านบาทเลยนะที่เราปลูกขึ้นมาแล้วตาย บางต้นมันก็มีคุณค่าทางใจด้วย เราปลูกมา 20 ปี แล้วมันตายไป และไม่สามารถหาได้อีกแล้ว”

ระหว่างพาเดินชมสวน บีเน้นย้ำตลอดการพูดคุยว่า กว่าที่เขาจะเพาะจนมีจำนวนมากขนาดนี้ได้นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆ สำหรับคนที่สนใจอยากหันมาทำอาชีพนี้ จะไม่มีทางทำสำเร็จได้เลยหากไม่เริ่มต้นมาจาก ‘ใจรัก’ เป็นอันดับแรก โดยเฉพาะยิ่งปลูกพันธุ์สำหรับตลาดนักสะสมด้วยแล้ว เขาต้องใช้เวลาศึกษาและทดลองปลูกเยอะมาก กว่าจะขยายพันธุ์บางต้นได้ ต้นไม้ประเภทนี้กว่าจะออกดอกขึ้นมาก็ต้องใช้สภาพแวดล้อมที่เหมาะสม ซึ่งบางต้นใช้เวลาไม่น้อยเลยทีเดียว กว่าที่เขาจะสามารถทำหน้าที่เป็นผึ้งมาเขี่ยเกสรจากดอกเพื่อเพาะพันธุ์ต่อ

“ถ้าคุณเลี้ยงมันด้วยใจรักจริงๆ พอถึงวันหนึ่งต้นไม้ที่เราเลี้ยงมันจะกลับมาเลี้ยงเรา”

ปัจจุบันเขาและภรรยาเป็นเจ้าของสถานอนุบาลพันธุ์พืชอวบน้ำที่มีเรือนเพาะดูแลขนาดใหญ่ มีคนงาน มีลูกค้าประจำจำนวนมากที่เขาขายส่งผ่านช่องทางออนไลน์ และเร็วๆ นี้ เขากำลังจะขยายสวนให้ผู้สนใจเข้ามาเดินเลือกซื้อพันธุ์ไม้ได้อย่างสะดวก และมีร้านกาแฟคอยให้บริการ

สำหรับใครที่สนใจไม้อวบน้ำพันธุ์หายากต่างๆ หรืออาจคิดถึงพระเอกจากเหมืองแร่คนนี้ ก็สามารถแวะมาหาเขาได้ที่เชียงใหม่

ไม่แน่ว่าคุณอาจจะเป็นอีกคนที่รักในพืชพันธุ์เหล่านี้ก็เป็นได้


Contacts

Facebook :  2Bees Garden

Website : 2BeesGarden.com

AUTHOR